ผลการเลือกตั้ง “จตุจักร-หลักสี่” สะท้อนแนวคิดทางการเมืองของคนกทม.ปัจจุบัน
[แต่ยังไม่อาจเป็นข้อสรุปเบ็ดเสร็จได้]
เป็นการพูดหลังตรุษจีนนะคะ
ก็ขออวยพรตรุษจีนให้กับพี่น้องประชาชน เพราะเราคนไทย ไม่ว่าจะเป็นตรุษจีน ตรุษไทย
ตรุษฝรั่ง เราก็ส่งความปรารถนาดีแล้วก็มีความสนุกสนานรื่นเริงเหมือนกันทั้งสิ้น
แม้นการเมืองการปกครองเราจะยังห่างไกลจากความสุขมาก แต่เพื่อที่จะดำเนินชีวิตให้ได้
แล้วก็ยังสามารถที่จะต่อสู้ได้อย่างมีพลัง สุขภาพต้องดี และมีความสุขกับการทำงาน
เพื่อที่จะทำให้เป้าหมายของการเมืองการปกครองและฝ่ายที่ก้าวหน้านั้นบรรลุ
ดิฉันก็คิดว่าวันนี้ดิฉันอยากจะคุยเรื่องของผลการเลือกตั้ง
“จตุจักร-หลักสี่” สะท้อนแนวคิดทางการเมืองของคนกทม.ปัจจุบัน [แต่ยังไม่อาจเป็นข้อสรุปเบ็ดเสร็จได้] เป็นเฉพาะในเวลานี้ด้วย เพราะว่ามีคนบอกว่าคนกรุงเทพฯ
มีการเปลี่ยนแปลงง่าย
แต่ดิฉันอยากจะคุยในเชิงหลักการเพื่อที่จะทำให้การทำนายผลการเลือกตั้งนั้นมีความสัมพันธ์กับแนวคิดทางการเมืองและอนาคตของประเทศ
ผลการเลือกตั้งของเขตหลักสี่ก็เป็นที่ทราบรู้กันโดยทั่วไปแล้วนะคะว่าพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ
แล้วก็รองลงมาก็เป็นพรรคก้าวไกล ถัดมาก็จะเป็นพรรคกล้า ที่ตกต่ำมากก็คือพรรคพปชร.ซึ่งครองที่นั่งเดิม
ก็เหลือน้อยมาก ซึ่งผลการเลือกตั้งนี้ถ้าเป็นไปตามหัวข้อที่เราตั้งไว้
มันจะสรุปเบ็ดเสร็จหรือเปล่าว่าถ้าเอาพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยบวกกัน จำนวนผู้มาเลือกตั้ง
88,124 คน ถือว่าน้อยมาก เท่ากับผู้มาใช้สิทธิ์ 52.68% พรรคเพื่อไทยได้
29,416 คะแนน คิดเป็น 33.38% อีกส่วนหนึ่งก็คือพรรคก้าวไกล
ได้ 20,361 คะแนน คิดเป็น 23.10% ดังนั้น ถ้าเรารวมกัน ก็คือเราถือว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลเป็นสองพรรคที่เด่นชัดในเรื่องการเมืองการปกครองเสรีประชาธิปไตย
แนวคิดเสรีนิยม และต้องการให้การเมืองการปกครองที่มีอำนาจเป็นของประชาชน พูดง่าย ๆ
ว่าต้องการประชาธิปไตยแบบสากลนี่แหละ ดิฉันจะไม่พูดความแตกต่างเรื่องอื่นนะคะ
เอาเรื่องหลักใหญ่ ๆ ว่าค่ายเสรีประชาธิปไตย หรือพูดง่าย ๆ ว่าฝ่ายค้าน
รวมกันแล้วก็คือเอา 29,416 + 20,361 = 49,777 คะแนน คิดเป็น
56.49% แปลว่าเกินครึ่งหนึ่งของผู้มาเลือกตั้ง
อีกฝั่งหนึ่งเริ่มต้นจากพรรครัฐบาลคือพรรคพลังประชารัฐได้
7,906 คะแนน ดิฉันเอาพรรคกล้ามาร่วมด้วยนะ พรรคกล้าอาจจะบอกว่าผมไม่ได้เป็นพรรครัฐบาล
แต่ในทัศนะดิฉัน พรรคกล้าอาจจะบอกว่าเป็นพรรคกลาง ๆ
ยังไม่พูดถึงองค์ประกอบว่ามาจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคจารีตนิยมอำนาจนิยม
แต่ว่าพอในวันท้าย ๆ ชูลุงตู่ ชูประยุทธ์เลยว่าสนับสนุน เข้าใจว่าคงมีความเชื่อว่าต้องการเปลี่ยนแปลงคะแนนของพลังประชารัฐ
เปลี่ยนแปลงคะแนนของประชาธิปัตย์มาอยู่ในมือของพรรคกล้าหรือเปล่า?
พรรคกล้าอาจจะบอกว่าขายตัวของคุณอรรถวิชช์ โอเค นั่นก็เป็นบุคคลส่วนหนึ่งในฐานะอดีตส.ส.
แต่ในฐานะของการแบ่งกลุ่มพรรคการเมืองดิฉันถือว่าที่มาขององค์ประกอบและการแสดงออกของพรรคกล้า
จะบอกว่าเป็นพรรคกลางก็คงไม่ได้ เพราะว่าบอกเลยว่าสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์
ก็ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะจัดเอาไว้ในพรรคการเมืองฝ่ายอำนาจนิยมจารีตนิยม
ดังนั้นก็เอาคะแนนพรรคกล้า
20,047 คะแนน บวกกับไทยภักดี นี่ชัดเจน ไม่มีใครเถียงว่าเป็นพรรคจารีตนิยม 5,987
คะแนน แล้วก็พลังประชารัฐ 7,906 คะแนน รวมเป็น 33,940 คะแนน คิดเป็น 38.51% ดิฉันคิดว่าดิฉันใจกว้างนะ
คือพรรคกล้าเขาแม้จะอ้อมแอ้ม แต่ว่าเราถือว่าให้เป็นฝ่ายพลังค่อนข้างจารีตนิยมและชูอำนาจนิยม
ดังนั้น
เราจะเห็นว่าความแตกต่างระหว่างผลการเลือกตั้ง คะแนนของพรรคการเมืองค่ายฝ่ายค้าน
ค่ายเสรีประชาธิปไตย ได้เสียงมากกว่าค่ายจารีตนิยม 17.98% นี่คือผลจากการเลือกตั้งซ่อม
ซึ่งครั้งนี้มันมีข้อดีก็คือ ประการแรก มีความหลากหลายของพรรคการเมือง คือคนละค่าย
มันไม่เหมือนกับตอนเลือกตั้งภาคใต้นะคะ ค่ายเดียวกัน
ค่ายอำนาจนิยมจารีตนิยมแข่งกันเอง ก็เป็นพรรครัฐบาลด้วยกัน แต่เที่ยวนี้มีพรรครัฐบาล
มีฝ่ายค้าน มีพรรคเกิดใหม่ การเลือกตั้งครั้งนี้มีข้อดีก็คือ
มีความหลากหลายของพรรคการเมือง แล้วก็มีผู้สมัครที่มีคุณภาพ คุณอรรถวิชช์ก็มีคุณภาพ
พรรคเพื่อไทยแน่นอนมีคุณภาพคับแก้ว ก็คืออดีตส.ส.สุรชาติ เทียนทอง
ซึ่งมีความมุ่งมั่น อุตสาหะ ทำงานหนัก มีความภาคภูมิใจในฐานะส.ส.
และต้องการเข้าสู่สภาในฐานะส.ส. ไม่ต้องการเป็นกรรมาธิการเป็นอะไรทั้งนั้น
เขาเคยพูดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็มีคะแนนเห็นใจ เห็นชอบในคุณงามความดี
กระทั่งสงสารก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้สมัครก็มีความหลากหลาย ของพรรคก้าวไกลก็เป็นคนดังระดับหนึ่ง
แต่ละคนก็คือ พรรคพลังประชารัฐซึ่งเห็นว่าฐานเสียงเดิมของพรรคพลังประชารัฐในอดีตปี
2562 คุณสิระ ได้ 34,907 คะแนน แต่ผู้มาใช้สิทธิ์ 74.54% จาก
34,907 คะแนนมาเหลือ 7,906 คะแนน อันนี้มันก็บอกอะไรมากมาย
แต่ถามว่าเขาเลือกตัวเลือกใคร ตัวเลือกก็เป็นตัวเลือกซึ่งเป็นภรรยาคุณสิระ เพราะคิดว่าจะได้ใช้อย่างน้อยฐานเสียงเดิมของคุณสิระ
เจนจาคะ
.
พรรคประชาธิปัตย์สละสิทธิ์
แต่ว่าพรรคกล้าซึ่งคุณอรรถวิชช์ ก็เป็นคนมีคุณภาพ
เป็นอดีตส.ส.เขตจตุจักรแล้วก็มีความสามารถ
และเข้าใจว่าแม้พลาดตรงนี้แต่ก็คงจะเดินหน้าการเมืองต่อไปอย่างรู้สึกมีความกระตือรือล้น
เพราะว่าคะแนนก็ไม่เลว มากกว่าประชาธิปัตย์เที่ยวที่แล้ว
ดังนั้น
ความหลากหลายก็คือมีตัวแทนความคิดการเมืองการปกครองคนละแบบ
นี่เป็นข้อดีของการเลือกตั้งครั้งนี้อีก ข้อดีก็คือผู้สมัครเท่าที่ดู ดิฉันยังไม่พูดเรื่องการนินทาว่าใครขายเสียงซื้อเสียง
แต่เอาว่าพอเลือกตั้งเสร็จแล้วก็มีสปิริต คุณอ๊อบก็มีสปิริตที่จะชื่นชม
ชื่นชมคู่แข่ง แล้วคนที่พลาดการเลือกตั้งก็ดีใจไปกับคุณอ๊อบ ส.ส.สุรชาติ
เพราะว่าเห็นสมควรและยอมรับความเป็นจริง แม้กระทั่งคุณสิระ เจนจาคะ
ซึ่งเสียงหายไปตั้ง 2 หมื่นกว่า เป็นไปได้อย่างไร?
เพราะว่าก่อนหน้านั้นก็คิดว่าอย่างน้อยเขาต้องได้ 2 หมื่นกว่าตามที่เขาให้สัมภาษณ์
มีข้อดีของพรรคที่หลากหลาย
ข้อดีของผู้สมัครที่มีสปิริต แล้วก็ดูในวันเลือกตั้ง
ดิฉันดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไรที่สกปรก ทีนี้ข้อดีที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ พื้นที่นี้
เพื่อที่จะมาเป็นตัวแทนความคิดนะ พื้นที่นี้มีความหลากหลายของผู้คน
นอกจากผู้สมัครพรรคหลากหลาย ประชาชนก็หลากหลาย มีประชาชนยากจนอยู่ชายคลองอยู่สลัม
ประชาชนที่อยู่คอนโด คนรุ่นใหม่ มีค่ายทหาร มีชุมชนเก่าแก่ มีบ้านมีรั้ว
มีความหลากหลายมาก จึงทำให้เป็นข้อดีที่ว่าเสียงมาจากเสียงที่หลากหลาย
ไม่ใช่เสียงที่มีแต่คนจน ไม่ใช่เสียงที่มีแต่คนรวย หรือไม่ใช่เสียงที่มีแต่ทหาร
อันนี้ก็เป็นข้อดี
แต่ว่าข้อด้อยที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ
คนมาใช้สิทธิน้อยมาก จากผู้มีสิทธิ 167,287 คน มาใช้สิทธิ 88,124 คน คิดเป็น 52.68%
ไม่น่าเชื่อ! มันก็ต้องวิเคราะห์ว่าทำไม?
บางคนอาจจะบอกว่าคนที่ชื่นชมรัฐบาลไม่มาลงเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงเท่าที่ดิฉันดู
เพราะว่าเสียงของรัฐบาลน้อยไป แต่ว่าดูคะแนนของเพื่อไทยและคะแนนของก้าวไกล
อย่างเพื่อไทยของเดิมคุณสุรชาติได้ 32,115 คะแนน แต่เที่ยวนี้คุณสุรชาติได้ 29,416
คะแนน หายไป 2,699 คะแนน ส่วนพรรคอนาคตใหม่ (ก้าวไกล) หายไป 5,374 คะแนน
รวมแล้วสองพรรคนี้คะแนนเสียงก็หายไปเกือบหมื่น
แต่ในส่วนของพรรคฝ่ายจารีต
ก็ถือว่าเสียงหายไปเยอะทีเดียว พอสมควร
แต่ว่าจากพปชร.ก็กลายเป็นคุณอรรถวิชช์จากพรรคกล้า 20,047 พลังประชารัฐได้ 7,906
แล้วก็พรรคไทยภักดีได้ 5,987 รวม ๆ กันก็ได้น้อยลงนิดหน่อย ดังนั้น
ถ้าว่าไปก็คือจะบอกว่าคนที่เลือกพรรครัฐบาลไม่มาเลือกตั้งก็ไม่ใช่
เพราะว่าเสียงน้อยลงทั้ง 2 ปีก
.
นี่ก็คือข้อด้อยที่ว่าคนมาน้อย
ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ว่า ทำไมคนถึงมาน้อย?
วิเคราะห์ได้ด้านหนึ่งก็คือว่าหมดหวังกับเวทีรัฐสภา คือไม่สนใจ
อาจจะเป็นพระว่าปัญหาเศรษฐกิจปากท้องก็ได้ เขาไม่มีกำลังใจที่จะมา ต้องทำมาหากิน ต้องมีความยากลำบากก็ได้
หรือกระทั่งคนที่เขามีกิน เบื่อ ไม่เอาเวทีรัฐสภา
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย
คำถามก็คือว่า
ถ้าเราคิดว่าคนที่มาเลือกตั้งครั้งนี้พลังประชาธิปไตยเหนือกว่าพลังของฝ่ายจารีตอำนาจนิยม
แล้วก็มนต์ขลังของลุงตู่ ลุงป้อม กับต่อฝ่ายจารีตนั้นได้หมดไปแล้ว
แม้นเขาจะแบ่งส่วนไปให้พรรคกล้าหรืออะไรก็ตาม ถ้ามนต์ขลังของบิ๊กป้อมยังอยู่
อุตส่าห์ไปช่วยหาเสียง พรรคพลังประชารัฐมันไม่น่าจะวูบถึงขนาดนี้
แต่ดิฉันก็อยากจะฝากพวกเราว่า
ดิฉันยอมรับว่าดิฉันสนับสนุนพรรคฝ่ายประชาธิปไตย
ต้องการการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองให้อำนาจเป็นของประชาชน
ดิฉันดีใจที่ครั้งนี้การเลือกตั้งดี ถือว่าไม่มีสกปรก เรียกว่าแฟร์ ๆ
แต่ส่วนไปทำกันลับหลัง ซื้อกันอย่างไร ดิฉันไม่รู้ อาจจะมีการซื้อกันบ้างก็ได้
เท่าที่ทราบ แต่ว่าอย่างน้อยในวันที่เลือกตั้งมันไม่มีหมกเม็ด
เท่าที่เราเคยเจอก็คือเกิดเป็นความลับ เอาหีบไปนับต่างหาก ผลไม่ตรงกัน
บัตรในหีบกับผู้มีสิทธิไม่ตรงกัน บัตรเขย่ง อะไรต่าง ๆ มากมาย
เที่ยวนี้ไม่มีก็ต้องถือว่าดี
แต่ถามว่าจะสรุปได้มั้ยว่าขณะนี้ความคิดของคนกรุงเทพฯ
เลือกข้างประชาธิปไตยมากกว่าเลือกข้างเผด็จการอำนาจนิยม และโดยเฉพาะจารีตนิยม
ในทัศนะดิฉันก็คิดว่ามันยังเร็วไป แต่ถ้าถามเป็นกราฟ แน่นอน!
พรรคพลังประชารัฐและรัฐบาล ตก! แต่ถ้าเราเอาความคิดของทั้งจารีตด้วย
ไม่ใช่เป็นพรรคของทหารอย่างเดียว
อย่าลืมว่าพรรคในแนวทางจารีตมันไม่ได้มีแต่พลังประชารัฐ ฝ่ายรัฐบาลทุกวันนี้
คือถ้าประชาชนมีความคิดต่อต้านต้องการต่อต้านอำนาจนิยมจารีตนิยมจริง ๆ
มันไม่ใช่พปชร.พรรคเดียว พรรคที่ร่วมรัฐบาลในขณะนี้และที่กำลังจะมาร่วมในอนาคต
ประชาชนจะรู้และปฏิเสธหมด จริง ๆ มันต้องไปถึงขั้นนั้น
เพราะฉะนั้น
ในขณะนี้ดิฉันไม่แน่ใจว่ามันจะถึงขั้นนั้น เอาเป็นว่าพลังของลุงตู่ ลุงป้อม เสื่อม!
พลังประชารัฐ ถึงจุดเสื่อม แต่ไม่ได้หมายความว่าภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์
หรือว่าพรรคกล้าที่จะขึ้นมาจะหมดมนต์ขลังไปเสียเลย
แต่ว่าทิศทางของฝ่ายประชาธิปไตยนั้น ต้องใช้ภาษาเก่าที่ว่า มันดูรุ่งโรจน์ เพราะมันมีแต่คนรุ่นใหม่มาเพิ่มมากขึ้น
คนรุ่นใหม่เกือบ 100% ไม่เอาจารีตนิยม ไม่เอาอำนาจนิยม
ส่วนคนรุ่นเก่าจำนวนหนึ่งก็เปลี่ยน เปลี่ยนจากจารีตนิยมอำนาจนิยม จำนวนหนึ่งนะ
ไม่ได้หมายถึงทั้งหมด แต่ว่าดิฉันคิดว่าในกรุงเทพฯ ก็เปลี่ยนไปพอควร
ถือว่าโดยสรุปเลยว่า
เรายินดีที่การเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ครั้งนี้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะ
และเมื่อรวมทั้งสองพรรคแล้วก็ถือว่าเป็นคะแนนที่มากกว่าครึ่ง
ทั้งก้าวไกลบวกกับเพื่อไทย มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้คนที่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด
อันนี้เราชื่นชม แต่ถามว่าถ้าจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปคนในกรุงเทพฯ
จะเลือกแบบนี้ทั้งหมดหรือเปล่า? ก็ยังไม่แน่ อาจจะมีการฟื้นตัวของพรรคพลังจารีต เช่น
ประชาธิปัตย์มาเป็นจำนวนหนึ่ง หรือพรรคกล้าอาจจะได้มาจำนวนหนึ่ง
อันนี้ก็มีความเป็นไปได้
แต่ที่ดิฉันอยากจะถามอีกก็คือว่า
อย่างน้อยที่สุดเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ถามว่าจะเลือกเมื่อไหร่?
อยากให้บรรยากาศของการเลือกตั้งมีตลอดไป ไม่ใช่เพื่อแก้เซ็ง ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาของการออกมาต่อต้านนะ
แต่ว่าฝ่ายประชาชนและพรรคการเมืองต้องเรียกร้อง เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าฯ
ให้เกิดขึ้นเร็ว ไม่ต้องรอ
คุณจะรอกี่มาดามพรรคพลังประชารัฐที่จะได้คนมาสมัครผู้ว่าฯ กทม. ไม่ไหวแล้ว
เพราะว่านี่มันนานมากเกินไปแล้ว จะให้ประชาชนนั้นได้เลือกผู้ว่าฯ ด้วยมือของเขา
แสดงพลังอีก ไม่ว่ากัน เพราะว่าคนบางส่วนก็ไม่ได้ลงในนามพรรค
บางส่วนอาจจะลงในนามพรรคก็ได้ ไม่เป็นไร
เพราะฉะนั้น
ดิฉันก็อยากจะฝากว่า นับจากวันนี้พรรคการเมืองก็ต้องปรับตัว
ขานรับกับเสียงเรียกร้องของประชาชนมากขึ้น พรรคก้าวไกลได้เสียงมากทีเดียว ทั้งที่ผู้สมัครเป็นคนหน้าใหม่
ห่างชั้นกับผู้สมัครของเพื่อไทยมาก ซึ่งลงพื้นที่มา 17 ปีแล้ว แต่ก็ยังได้คะแนนมาก
ห่างกันยังไม่ถึงหมื่นคะแนนเลย ดังนั้น
นี่เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยก็ต้องตระหนักว่า
ครั้งนี้ได้ส.ส.สุรชาติซึ่งมีต้นทุนของตัวเองอยู่เยอะ ถามว่าถ้าเป็นลำพังเสียงของพรรคเพื่อไทยอย่างเดียว
ไม่ใช่ส.ส.สุรชาติ ก็อาจจะชนะก็ได้ แต่ว่าคะแนนอาจจะไม่ห่างมากกับพรรคก้าวไกลก็ได้
หรือพรรคก้าวไกลอาจจะพลิกขึ้นมาชนะก็ได้ ฉะนั้นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องปรับตัว
พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ต้องตระหนักว่าประชาชนเขาไม่เอานะ
จาก 3 หมื่นกว่าลงมาเหลือ 7 พันกว่า มีที่ไหน? รู้สึกตัวบ้างหรือเปล่า?
แล้วพรรคที่บอกว่าตัวเองเป็นกลาง ๆ แต่พอตอนท้าย อย่างเช่นพรรคกล้า ชูลุงตู่
ตกลงคุณจะเอายังไงแน่ เอาให้ชัด กลางของคุณแต่สนับสนุนรัฐบาล
สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ใช่มั้ย? อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าเป็นกลาง
เขาเรียกว่าเป็นพรรคใหม่ที่สนับสนุนจารีตและอำนาจนิยมค่ะ.
#ธิดาถาวรเศรษฐ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์