วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบพี่น้องประชาชนและแฟนคลับผ่านทาง Facebook Live #เป็นอย่างไรกันบ้าง

 


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบพี่น้องประชาชนและแฟนคลับผ่านทาง Facebook Live #เป็นอย่างไรกันบ้าง


วันนี้ (28 ก.พ. 65) เวลา 10.00 น. ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ได้มีการสนทนาตอบคำถามที่แฟนเพจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งคำถามมา โดยมี นายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ หรือ กาย อดีตโฆษกพรรคไทยรักษาชาติ และอดีตผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ เป็นคู่สนทนา


เปิดการสนทนาด้วยการกล่าวถึงเพลงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ขับร้องเอง ชื่อเพลง “เพลงของเธอ” ซึ่งเธอได้เลือกเพลงนี้เพราะมีความหมายดีและสื่อถึงความรู้สึกในใจได้ชัดเจน และเนื่องจากเธอไม่ได้พบเจอพี่น้องประชาชนและแฟนคลับมานาน จึงรู้สึกคิดถึงและอยากจะถามว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง นั่นจึงเป็นที่มาของ #เป็นอย่างไรกันบ้าง ในขณะนี้


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนมาอยู่ต่างประเทศเกือบ 4 ปีแล้ว ไม่น่าเชื่อวันเวลาผ่านไปเร็วมาก จะบอกว่าสบายดีมันก็คงไม่ใช่ เพราะว่าคนเราจากบ้านเกิด จากสิ่งที่เราเคยทำมาทุกวันก็กลับมาอยู่ ๆ ก็ว่างงาน ต้องห่างบ้านห่างเมือง ไม่ได้เจอญาติพี่น้องเพื่อนฝูงคนรู้จัก ก็คิดถึง แต่เราก็คงต้องทำอย่างไรให้เราดำรงอยู่ให้ได้ และได้จำคำสอนของพี่โทนี่ (ทักษิณ ชินวัตร) ที่บอกว่า “น้อง เวลามาอยู่นี่นะ เราต้องรักษาสุขภาพ ทำตัวเองให้มีความสุขเพื่อคนที่รักของเรา” นั่นคือสิ่งแรกที่ต้องทำ ถามว่าอยู่ได้ แต่ใจน่ะมันคิดถึงคนไทยอยู่ตลอดเวลา


อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์ทางประเทศไทยมาตลอด เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ราคาสินค้าที่แพงขึ้น แต่เงินในกระเป๋ารายได้ของพี่น้องประชาชน ค่าแรงงาน ไม่ได้ขึ้น อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก แล้วยังเจอกับโควิดระบาดเหมือนเป็นการซ้ำเติม หวังให้ทุกคนเข้มแข็ง และขอร้องรัฐบาลปัจจุบันให้ช่วยพี่น้องประชาชน


ตอบคำถามว่าอยากจะเป็นนายกฯ อีกสักรอบไหม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ 50 กว่าแล้ว ใกล้ปลดระวางแล้ว จริง ๆ แล้วการเป็นนายกฯ อยู่ที่พี่น้องประชาชน ฟังเสียงพี่น้องประชาชนว่าอยากให้ใครมาบริหารประเทศ และประเทศไทยก็มีคนมีความรู้ความสามารถมาก สำหรับตัวเองไม่ว่าสถานะไหนก็อยากจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในฐานะที่ประเทศไทยเป็นบ้านเกิด มีความรักความผูกพัน แม้ตัวจะอยู่ต่างแดนก็แต่ใจอยู่ประเทศไทยตลอดเวลา


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวถึงนโยบายเมื่อครั้งเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่า ตอนนั้นมีนโยบายหลายตัวที่ออกไปแล้วก็คงต้องสานต่อให้เสร็จ โดยเฉพาะโครงการใหญ่ ๆ เช่น โครงการ 2 ล้านล้าน, รถไฟความเร็วสูง, การบริหารจัดการน้ำ ตอนเป็นรัฐบาลปีที่ 3-4 เตรียมที่คิดถึงการวางอนาคตข้างหน้าแล้ว ช่วงปีแรก ๆ มุ่งแก้ไขปัญหา เรื่องหนี้สินหรือรายได้ให้พี่น้องประชาชน วางไปถึงเรื่องยุทธศาสตร์จังหวัดเพื่อสร้างความแตกต่างในแต่ละจังหวัด เป็นการกระจายความเจริญจากเมืองหลวงไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ก็พยายามทำอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้สานต่อ นโยบายบางตัวที่ได้ริเริ่มไปก็ถูกยกเลิกไป


ตอบคำถามกรณีเป็นนายกฯ หญิงคนแรกและรัฐมนตรีกลาโหมของประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายนั้นยากอยู่แล้ว ซึ่งขณะที่ตนเป็นอยู่ในช่วงที่มีความขัดแย้งด้วย ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยก็เยอะ รวมทั้งหนี้สินของพี่น้องประชาชน ตรงนี้ก็ยากอยู่แล้วในเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจ พอมาเป็นผู้หญิงยิ่งลำบากกว่า การคาดหวังต่าง ๆ มีเยอะ เพราะบางทีเขาไม่ได้มองว่าเราจะอาศัยความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ของเรามาทำตามความตั้งใจจริง บางทีก็มัวแต่ไปมองเรื่องของเพศหญิงว่าทำไม่ได้ อ่อนแอบ้าง เราต้องอดทน ต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเพื่อพิสูจน์ว่าเราทำได้ ความเป็นผู้หญิงไม่ได้ทำให้งานลดน้อยถอยลงไป โดยเฉพาะการเป็นรัฐมนตรีกลาโหมมันท้าทายมากที่ต้องทำงานกับเหล่าทัพ ซึ่งตนเองมีความหนักใจ ตนต้องใช้ข้อกฎหมายในการสั่งงาน เพราะอยู่ ๆ ไปสั่งตรง ๆ เขาก็คงจะไม่ทำ เพราะเขามองว่าเราเองไม่มีอำนาจบางส่วน


ตอบคำถามกรณี ถ้าเจอหน้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยังคุยกันได้อยู่หรือไม่? น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า ต้องถามพล.อ.ประยุทธ์ฯ ว่าเจอหน้ายิ่งลักษณ์ ยังคุยกันได้อยู่หรือเปล่า?


นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้พูดถึงโครงการ UCEP (ยูเซป) เป็นโครงการที่ตนเองก่อนมาเป็นนายกฯ ได้ไปเยี่ยมชาวบ้านตามโรงพยาบาลและทราบว่าพี่น้องประชาชนในกรณีฉุกเฉินไม่สามารถที่จะใช้ประกันหรือเบิกจ่ายได้ ซึ่งอาจจะเสียชีวิตไปได้ระหว่างที่รอนั้น เลยติดอยู่ในใจว่าเราจะขอต่อยอดจาก 30 บาทรักษาทุกโรคที่มีอยู่ พอได้เป็นรัฐบาลแล้วจึงมีการประชุมบูรณาการทั้ง 3 กองทุนนี้ให้ได้สิทธิตรงนี้ เรียกว่าบริการแพทย์ฉุกเฉิน คือป่วยที่ไหน ฉุกเฉินภายใน 72 ชม. รักษาได้ทุกโรงพยาบาล รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนด้วย ซึ่งตอนนั้นตามสถิติก็สามารถช่วยผู้คนได้


ในส่วนเรื่องค่าครองชีพปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงความเห็นว่า จริง ๆ รัฐบาลต้องดูแลและคำนวณว่า ค่าครองชีพในปัจจุบันจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้แรงงานเพียงพอแก่การยังชีพอยู่ได้ รัฐบาลต้องดูว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้น จะเพิ่มค่าแรงได้อย่างไร แต่จะไม่ถาวรเท่าต้องสร้างรายได้ให้กับประเทศ ให้กับทุกคน ทำให้ประเทศมีรายได้ มีนักท่องเที่ยวมา ภาคธุรกิจก็จะดีขึ้น จะขึ้นค่าแรงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป


สุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฝากถึงผู้ที่ติดตามและให้กำลังใจมาตลอด โดยกล่าวว่า ขอบคุณแฟนเพจทุกคนที่เข้ามาฟัง วันนี้ได้หายคิดถึง ได้มีโอกาสได้พูดบอกความรู้สึกของตัวเองกับทุกคน สิ่งที่อยากจะบอกคือวันนี้ไม่ได้อยู่บ้านเกิดมา 4 ปีแล้ว เป็นปกติที่เราจะคิดถึงกัน ไม่ว่าฝนจะตกที่ไหน คนทางนี้ก็ต้องคิดถึงและอยากรู้เรื่องราว ถ้าบ้านเรามีความทุกข์ยากลำบาก คนที่อยู่ทางนี้ ดิฉันเอง พี่โทนี่เอง ก็รู้สึกสะเทือนใจและเป็นห่วงทุกคน และถ้ามีอะไรก็อยากจะเล่าสู่กันฟัง แม้จะทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังใจหรือการอยู่เคียงข้างจะไม่มีวันลืม อะไรที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชนได้ ดิฉันยินดีค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนอดทน รักษาสุขภาพให้ดี แล้ววันหนึ่งก็เชื่อว่าความอดทนความเข้มแข็งของเราก็จะประสบผลสำเร็จและเจอกับสิ่งที่ดี ๆ หวังว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก พี่น้องประชาชนจะมีรายได้ที่ดี ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์