"โรม-ช่อ" จัดแถลง "กว่าจะเป็นตั๋วช้างภาค 2" เปิดเบื้องหลังอภิปราย"รังสิมันต์ โรม" ชำแหละปัญหาค้ามนุษย์ วิดิโอคอล พล.ต.ต.ปวีณ เปิดใจครั้งแรกหลังลี้ภัย ชี้ รู้สึกได้รับความเป็นธรรมมาครึ่งหนึ่งแล้ว "โรม"ยันเรื่องนี้ต้องไม่เงียบ ประกาศเดินหน้าทวงความยุติธรรมต่อไป
วันนี้ (19 ก.พ. 65) ที่พรรคก้าวไกล ได้จัดงานแถลง "กว่าจะเป็นตั๋วช้างภาค 2" ภายหลังนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ในอภิปรายที่เรียกว่า ตั๋วช้างภาค 2 “ตำรวจเลวได้ดี ตำรวจดีต้องลี้ภัย” โดยนำเรื่องราวของ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ที่ต้องลี้ภัยออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2558 โดยมี น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ร่วมแถลง พร้อมได้วิดีโอคอลกับพล.ต.ต.ปวีณ
พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ได้พบพี่น้องสื่อมวลชน หลังจากห่างหายไปเป็นเวลากว่า 6 ปี 3 เดือน 3 วัน ที่จากบ้านเกิดมา วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ติดคาในใจ ที่สร้างความระทมขมขื่นในใจ ปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รัฐบาล และผู้มีอำนาจ จนเรื่องทั้งหลายถูกเปิดเผยออกมาผ่านการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร
“มีคนกล่าวหาว่าผมสร้างเรื่องวางแผนใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่อันที่จริงผมต้องใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยเหมือนคนทั่วไป วันนี้รู้สึกได้รับความเป็นธรรมมาครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งหนึ่งผมเสียดายหากวันนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนายกรัฐมนตรีที่อยากให้ประเทศเราซื่อสัตย์ กระบวนการยุติธรรมเที่ยงตรง ชีวิตราชการและความรู้ความสามารถของผมคงจะสาวไปถึงปลาตัวใหญ่อีกหลายตัวอีกแน่นอน ส่วนจะใหญ่แค่ไหนท่านทั้งหลายไปคิดกันเอาเองหลังจากฟังการอภิปรายเมื่อวาน” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว
พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวถึงผู้มีอำนาจว่า จากการที่ผมมาอยู่ต่างประเทศแล้วติดตามข่าวสารมา ผมรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่จะต้องฝากกับบุคคลแบบนี้ที่มีอำนาจ แต่ผมอยากฝากถึงพี่น้องข้าราชการตำรวจซึ่งเป็นพี่น้องร่วมประสบกับระบบที่เลวร้าย ฝากว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตรงไปตรงมา
“ไม่ว่าตำรวจหรือพี่น้องสื่อมวลชน สิ่งสำคัญมากคือศีลธรรม จริยธรรม ความถูกต้อง เรายึดถืออย่างเข้มข้น ไม่มีการกลั่นแกล้ง จะเป็นเกราะกำบังคุ้มกัน ความกล้าหาญเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถขัดขวางได้ ความกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องมันก็ไม่ง่ายในประเทศไทย แต่ถ้าทำพร้อมเพรียงกันเขาก็ทำอะไรไม่ได้” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงหากได้ทำคดีต่อ จะเปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ไปได้มากกว่านี้อย่างไร พล.ต.ต.ปวีณ ตอบว่า สิ่งที่เราทำไป คดีค้ามนุษย์โรฮิงญาไม่ใช่เพิ่งเกิดในปี 2558 มันเบ่งบานรุ่งเรืองมานานมากแต่ไม่มีใครสนใจ แต่ประเทศเราถูกกดดันจากสิทธิการค้าต่าง ๆ จนรัฐบาลร้อนก้น แต่พอทำจริงก็ถูกขัดแข้งขัดขาต่าง ๆ มันไม่พ้นความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเลย
“ผมขอยืนยันว่า การขนโรฮิงญาเข้ามา ไม่ใช่คนเดียว หน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยปละละเลย แน่นอนว่ามีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน นั้นคือผลประโยชน์ นั่นคือส่วย จนเป็นอุตสาหกรรมขนคนไปขาย ถ้าสอบสวนไปปลาตัวใหญ่ต้องมาอีกเยอะแน่นอน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ พล.ต.ต.ปวีณ ตอบว่า เมื่อ 6 ปีที่แล้วไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเปิดเผย ผมเคยเปรยกับพี่น้องสื่อมวลชนหลายสำนัก แต่ไม่มีใครกล้าแฉ ผมเป็นคนจริง พูดไปแล้วรักษาคำพูด ผมรอเวลามานานใครก็แล้วแต่รับข้อมูลของผมไป แม้นิดเดียวก็ยังดีแล้วว่าสักวันหนึ่งคงมีใครนำไปขยาย ไม่ให้สิ่งที่ผมรับรู้อยู่มันตายไปพร้อมกับผม นี่คือความจริง นี่คือระบบที่มันทำลายประเทศชาติของเราจริง ที่ผมต้องหนีเพราะพอพูดเปิดเผยไปใครก็ไม่กล้า และใบสมัครแผ่นนั้นก็เป็นคำตอบทั้งหมด คงไม่ต้องขยายความไปมากกว่านี้
“…ผมก็มีความฝันอยากจะเป็นตำรวจที่ดี แน่นอนว่าอยากกลับประเทศไทย นั่นเป็นบ้านเกิดของผม ผมยังมีบุคคลอันเป็นที่รักยังอยู่ที่นั่น เป็นความหวังของผม” พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวทั้งน้ำตา
ด้าน นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทบเกียรติภูมิต่อประเทศไทย และในช่วง 2-3 ปีนี้มีความรุนแรงในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับตำรวจย่ำแย่ลง เรื่องราวของ พล.ต.ต.ปวีณ ยืนยันว่าตำรวจดีมีอยู่ แต่ไม่มีที่ยืนภายใต้ระบอบปรสิตที่กัดกินประเทศ มีตำรวจอย่างคุณปวีณอีกมากมายในประเทศไทย
“ในวันนี้สังคมไทยเดินหน้ามาถึงวันที่เราตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน ตระหนักถึงการแทรกแซงการทำงานของพี่น้องตำรวจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน ขอบคุณสื่อมวลชนที่คุ้มครองพื้นที่การพูดความจริงได้ จนถึงสักวันที่ พล.ต.ต.ปวีณ จะได้กลับมา” นางสาวพรรณิการ์ กล่าว
ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีเดินออกจากที่ประชุมโดยไม่ตอบคำถามอภิปรายเมื่อวานนี้ว่า ราวกับต้องการส่งสัญญาณว่าการค้ามนุษย์แบบนี้เป็นเรื่องปกติของสังคมไทยส่วนตัวผมรับไม่ได้ นี่คือความใจดำอำมหิตอย่างที่สุดทั้งที่คุณมีอำนาจ อำนาจพิเศษไม่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ แต่ทำลายตำรวจดี ๆ อย่างคุณปวีณ
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า เรายืนยันว่าเรื่องนี้จะต้องไม่เป็นเรื่องเงียบอีกต่อไป เราต้องเดินหน้าทวงถามความยุติธรรมที่ถูกพรากไปจากพี่ปวีณ และเราต้องเดินหน้าติดตามขบวนการค้ามนุษย์ที่อยู่บนความเจ็บปวดของประชาชนชาวโรฮิงญาหรือชาติใดก็แล้วแต่ไม่ให้มีที่ยืนอยู่ได้อีกต่อไป
“นี่คงเป็นภารกิจของก้าวไกลที่ต้องทวงถาม และใช้ทุกกลไกที่เรามี อย่างถึงลูกถึงคน เพื่อเดินหน้าติดตามขบวนการค้ามนุษย์ นำหลักฐาน 270,000 กระดาษไปขยายผลต่อไป ไม่ให้ขบวนการนี้เกิดขึ้น ไม่ได้กัดกินแค่เหยื่อค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังกัดกินระบบราชการ ทำให้คนดีจำนวนมากไม่มีที่ยืน กรณีของคุณปวีณคือการบอกว่าสังคมไทยอยู่ในจุดที่วิกฤตที่สุด เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าเราจะเดินหน้าสังคมอย่างไร ในฐานะพรรคก้าวไกลเราบอกว่าเราไม่เชื่อมั่นรัฐบาลอีกแล้ว แต่เมื่อการเลือกตั้งยังมาไม่ถึง เราก็ต้องใช้ความเปลี่ยนแปลงทุกระดับ เมื่อมีโอกาสแล้วอย่าทำให้เรื่องนี้เงียบ ใช้โอกาสนี้ให้สังคมไทยนี้เติบโตขึ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ตั๋วช้างภาค2 #ปมค้ามนุษย์