โลกระทึก!
รัสเซียบุกยูเครน 4
ทิศ ขณะที่ยูเครนประกาศเกณฑ์ทหารทั่วประเทศ พร้อมแจกอาวุธให้ประชาชนทุกคนเพื่อเตรียมสู้รบกับรัสเซีย
เมื่อวันที่
24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
กองทัพรัสเซียได้เริ่มทำการบุกโจมตีประเทศยูเครนโดยเริ่มต้นจากการยิงขีปนาวุธและจรวดเพื่อทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศและเป้าหมายทางทหารอื่น
ๆ ทั่วยูเครน ท่ามกลางเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศที่ดังระงมทั่วกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศยูเครน
และหัวเมืองใหญ่อื่น ๆ ทั่วประเทศ
ก่อนหน้าที่จะมีการโจมตี
ประธานาธิบดีปูตินได้แถลงการณ์ออกอากาศทางโทรทัศน์ของรัสเซียว่า จะมีปฏิบัติการทางทหารพิเศษเพื่อคุ้มครองสาธารณรัฐประชาชนดอเนียสค์และสาธารณรัฐประชาชนลูกังส์
ซึ่งเป็นสองแคว้นที่กลุ่มกบฏนิยมรัสเซียแยกตัวออกมาจากยูเครนตั้งแต่ พ.ศ. 2558
โดยอ้างเหตุผลในการปฏิบัติการเพื่อป้องกันมิให้กลจักรสงครามขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ
(NATO) เคลื่อนเข้ามาประชิดรัสเซีย
โดยองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) นำโดยสหรัฐอเมริกาและมีจุดประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อล้อมกรอบอดีตสหภาพโซเวียตและรัสเซียทางการทหารและก่อนหน้านี้ยูเครนแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ
(NATO) และเพื่อต่อต้านกลุ่ม “ขวาจัด-นาซีใหม่” ในยูเครน ซึ่งปูตินอ้างว่าต้องการจะ
“ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ผู้ที่พูดภาษารัสเซียในยูเครน
หลังจากนั้นรัสเซียได้ส่งกำลังทหารบุกผ่านพรมแดนระหว่างรัสเซียกับยูเครนหลายด้าน
โดยมีผู้คาดการณ์ว่ารัสเซียตระเตรียมกำลังทหารในครั้งนี้ถึง 190,000
นาย และทำการบุกจาก 4 ทิศทาง
ทิศทางแรกคือจากตอนเหนือของยูเครนผ่านทางเบลารุส
รุกเข้าสู่กรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครนโดยตรง
กองกำลังรัสเซียสามารถยึดซากเตาปฏิกรณ์ปรมาณูเชอร์โนบีล ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน
130 กิโลเมตร และส่งกำลังเข้าควบคุมสนามบินนานาชาติอันโตนอฟ ณ ชานกรุงเคียฟ และห่างจากใจกลางเมืองหลวงเพียงแค่
37 กิโลเมตรเท่านั้น โดยมีรายงานว่าเบลารุสส่งกำลังทหารเข้าร่วมและให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัสเซียอีกด้วย
ทิศทางที่สองคือทางตะวันออกเฉียงเหนือโดยมีเป้าหมายรุกเข้าไปยังเมืองคาร์คีฟซึ่
งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการปกครองของยูเครนตะวันออก และมีประชากรที่พูดภาษารัสเซียร้อยละ
74 รัสเซียได้ใช้ขีปนาวุธโจมตีสนามบินคาร์คีฟและส่งกองกำลังข้ามแดนเข้ามา และกำลังปะทะกับกองทัพยูเครนบริเวณรอบนอกของเมืองคาร์คีฟ
ทิศทางที่สามคือทางตะวันออกโดยรัสเซียได้ใช้จรวดหลายลำกล้องระดมยิงจากบริเวณพื้นที่แคว้นลูกังส์และดอเนียสค์
เข้าไปพื้นที่ของยูเครน และคาดว่ามีเป้าหมายบุกไปยังเมืองมารียูโปล ซึ่งอยู่ริมทะเลอาซอฟและสามารถเชื่อมพื้นที่แคว้นลูกังส์และดอเนียสค์เข้ากับแหลมไครเมีย
ซึ่งรัสเซียยึดครองอยู่แล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2558
ทิศทางที่สี่
คือทางใต้จากแหลมไครเมีย
รัสเซียสามารถยึดเมืองเคอร์ซอนและสถานีไฟฟ้าพลังงานน้ำคาคอฟกาที่ปากแม่น้ำดนีเปอร์
ซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญของยูเครน โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะยึดแหล่งพลังงานและน้ำจืดที่ป้อนให้แหลมไครเมีย
ซึ่งรัสเซียยึดจากยูเครนตั้งแต่ ค.ศ. 2014
และเตรียมการขยายแนวรบไปถึงเมืองโอเดสซา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมต่อเรือของยูเครน
ล่าสุดทางการยูเครนออกมาแถลงข่าวว่ายังมีการสู้รบต่อเนื่อง
มีทหารยูเครนเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 56 นาย
พร้อมทั้งประกาศเกณฑ์ทหารทั่วประเทศ
รวมถึงแจกอาวุธให้ประชาชนทุกคนเพื่อเตรียมสู้รบกับรัสเซีย
และสามารถยิงเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินขับไล่ และเครื่องบินลำเลียงของรัสเซียตก
ส่วนทางรัสเซียยังไม่มีแถลงการณ์ในเรื่องขอบเขตของปฏิบัติการณ์และความเสียหายแต่อย่างใด
ในขณะที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ประกาศเตรียมเพิ่มกำลังทหารในประเทศที่อยู่ติดกับยูเครนเช่นโปแลนด์
โรมาเนียและเพิ่มกิจกรรมทางทหาร แต่ยังไม่มีการส่งกำลังทหารขององค์การดังกล่าวเข้าไปในยูเครน
#รัสเซีย #ยูเครน
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์
ขอบคุณภาพประกอบจากสื่อออนไลน์