พปชร.แพ้ขาด
ประยุทธ์บนเส้นทางอำนาจ ชะตาขาดหรือไม่? : หัวใจไม่หยุดเต้น EP.53
ผลการเลือกตั้งซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ออกมาไม่เหนือความคาดหมายนะครับ
เพราะ “สุรชาติ เทียนทอง” จากพรรคเพื่อไทยเป็นเต็งหนึ่งมาตลอด
ถึงที่สุดก็ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
แต่ตัวเลขคะแนนที่ออกมาคิดว่ามีหลายแง่มุมจะสนทนากัน
คะแนนของผู้ชนะเป็นการบวกกันระหว่างกระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทย
และตัวตนของคุณสุรชาติเองซึ่งเกาะติดพื้นที่ตั้งแต่วันแรกที่พ่ายแพ้การเลือกตั้ง
จนมาถึงวันที่ได้รับโอกาสใหม่อีกครั้ง เป็นปัจจัย ++
ที่ทำให้ทิ้งห่างคู่แข่งขันค่อนข้างจะขาดลอย
ส่วนคะแนนของฝ่ายแชมป์เก่า
คุณสิระ เจนจาคะ คราวนี้ต้องพูดกันชัด ๆ ว่ากระแสความนิยมในตัวพล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระแสความนิยมของพรรคพลังประชารัฐ รูดตกเหวลงไปพร้อม ๆ
ความเป็นพล.อ.ประยุทธ์
ไม่สามารถนำมาโฆษณาขายได้เหมือนกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ส่วน “พลังประชารัฐ”
จากความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ความแตกแยกภายใน ทำท่าว่าพรรคจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
ก็ทำให้ประชาชนที่เคยให้ความเชื่อมั่น ถอนใจ ถอนตัวออกมา
เหตุการณ์แบบนี้เกิดเป็นคำถามด้วยซ้ำไปว่า
เลือกตั้งใหญ่คราวหน้าจะยังมีพลังประชารัฐเป็นพรรคหลักพรรคหนึ่งในสนามหรือไม่?
มองในเชิงเปรียบเทียบก็มีภาพที่น่าสนใจนะครับ
ระหว่างวัตรปฏิบัติของ “สุรชาติ เทียนทอง” ในวันที่ไม่ได้เป็นส.ส.
กับวัตรปฏิบัติของ “สิระ เจนจาคะ” วันที่ได้เป็นส.ส. ชัยชนะของ “สุรชาติ เทียนทอง”
เป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าถ้านักการเมืองไม่ว่าจะมีหรือไม่มีตำแหน่ง
หากยังเกาะติดพื้นที่ทำงานเพื่อประชาชน แม้ยังไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา
แต่จะได้เข้าไปนั่งในที่ที่อบอุ่นปลอดภัยยิ่งกว่า คือในหัวใจประชาชน
ส่วนคนที่ได้เข้าไปนั่งในสภาแล้ว
ถ้าหากบทบาทหรือแม้กระทั่งความประพฤติเป็นที่ขัดหูขัดตาประชาชน
คะแนนแบบเขตหลักสี่ก็จะปรากฏออกมา
ผู้สมัครหน้าใหม่อย่าง
“เพชร กรุณพล” จากพรรคก้าวไกล ก็ถือว่ามีก้าวย่างที่น่าสนใจทางการเมือง
และอนาคตมีเส้นทางที่จะไปต่อได้ คะแนนที่ได้มาแม้ไม่มากพอจะเป็นผู้ชนะ
แต่มากพอสำหรับการเริ่มต้น
และพรรคก้าวไกลก็ได้ประกาศตัวว่าไม่ใช่พรรคที่ใครจะมองข้ามได้ง่าย ๆ
ในการเลือกตั้งสนามใหญ่ครั้งต่อไป
ส่วนพรรคกล้า
ถึงแม้ว่าคุณอรรถวิชช์ เลขาธิการพรรค
ในฐานะผู้สมัครจะประกาศพึงพอใจกับผลคะแนนที่ได้รับ
แต่ก็ยังมีคำถามข้อใหญ่ว่าหากประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครลงด้วยในเขตนี้
ผลคะแนนของพรรคกล้าจะเป็นอย่างไร? คงเป็นเรื่องที่คุณกรณ์ คุณอรรถวิชช์
และชาวคณะจะต้องทำงานและพิสูจน์ตัวเองกันต่อไป
โดยสรุปคือผลการเลือกตั้งคราวนี้เป็นความงดงามของระบอบประชาธิปไตย
เมื่ออำนาจมาถึงมือประชาชน ก็พร้อมที่จะตัดสินใจใหม่ตลอดเวลา
ผู้ชนะเมื่อวานไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ชนะวันนี้
และผู้ชนะวันนี้อาจจะไม่ได้เป็นผู้ชนะในวันต่อไป สำคัญก็คือว่า
ใครจะช่วงชิงความยอมรับ ใครจะเข้าไปนั่งในหัวใจประชาชนได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง
การเลือกตั้งคราวนี้แม้จะไม่ส่งผลเปลี่ยนแปลงกับการเมืองในภาพใหญ่
แต่รหัสสัญญาณที่ปรากฏออกมา ก็พอจะหยิบยกมาวิเคราะห์ความเป็นไปทางการเมืองได้
พล.อ.ประยุทธ์ ถึงตรงนี้ฟันธงว่าอยู่ยาก ไม่ใช่ยากธรรมดานะครับ โคตรยาก!
อายุรัฐบาลเหลือปีกว่า
ๆ มีคำถามแล้วครับว่ารัฐบาลชุดนี้จะจบลงอย่างไร?
คำตอบตามวิถีการเมืองแบบสังคมไทยก็มองได้
3 ประการด้วยกันล่ะครับ 1) นายกรัฐมนตรีลาออก เลือกนายกฯ กันใหม่ 2)
เกิดการรัฐประหาร หรือ 3) ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
ตัวเลือกที่
1 คือการลาออก ผมไม่เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจแบบนี้
เนื่องจากว่าถ้ามีการลาออก
เป้าหมายสำคัญก็หวังต้องการจะกลับมาสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่ลาออกคราวนี้ เผลอ ๆ จะกลับมาไม่ได้เอานะครับ
เพราะขนาดอยู่ในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มยังคุมสภาพไม่อยู่ พรรคตัวเอง
ลูกน้องตัวเอง แตกกันเละ ซัดกันนัว คะแนนเลือกตั้งออกมาไม่ทันข้ามคืน ร.อ.ธรรมนัส
โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับผู้ชนะ ประกาศว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตรแห่งตน”
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่น่าจะเลือกใช้วิธีการลาออกให้ขาลอยแล้วโดนสอยไม่ได้กลับมา
เรื่องรัฐประหาร
ส่วนตัวผมไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าในสังคมไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ก็ตามนะครับ
แต่การรัฐประหารคราวนี้ใช้ต้นทุนทางการเมืองของฝ่ายอำนาจนิยมสูงอย่างยิ่ง
และคาดเดาผลลัพธ์ยากเหลือเกิน แม้ว่าจะทำสำเร็จ
ก็ใช่ว่าจะคุมสถานการณ์หรือปกครองได้ง่าย ๆ ที่สำคัญก็คือ
ผมคิดว่าถ้าจะเป็นการรัฐประหารเพื่อกระชับอำนาจให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ
วันนี้สถานการณ์มันเลยจุดนั้นมาแล้วหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์กำลังกลายเป็นสินค้าหมดสภาพ
แล้วต้องสิ้นอายุขัยไปทางการเมืองแล้วหรือเปล่า?
วิธีคิดของฝ่ายอำนาจนิยมในประเทศนี้น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งนะครับ
คือเขาจะเลือกใช้คนหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจนคนกลุ่มนั้นหมดสภาพ เลิกใช้
แล้วก็เปลี่ยนไปใช้คนกลุ่มใหม่ รัฐประหารปี 49 มีบันได 4 ขั้น คมช.
ชัดเจนว่าจะให้ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
เลือกตั้งแพ้ก็ล้มนายกฯ สมัคร, นายกฯ สมชาย เอาอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ในค่ายทหารจนได้
แต่เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” บริหารประเทศล้มเหลว เลือกตั้งพ่ายแพ้ขาดลอยต่อ
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกอีกต่อไป
ยึดอำนาจคราวหลังสุด
รัฐธรรมนูญจึงเขียนเปิดทางให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
และกำหนดเอาไว้เลยว่าต้องชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
แต่วันนี้วันที่พล.อ.ประยุทธ์หมดสภาพขนาดนี้
ผมไม่เชื่อว่าฝ่ายกุมอำนาจจะทุ่มทุนสร้างขว้างทุนเสี่ยงเพียงเพื่อจะเอาประยุทธ์อยู่ในอำนาจต่อโดยขัดกับความต้องการของประชาชน
ดังผลคะแนนเขตหลักสี่ออกมาแล้วชัดขนาดนี้
ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในทัศนะของผมก็คือ
การยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
จริงอยู่ครับ
ยุบสภาคราวนี้พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่ได้รับคะแนนสูงสุดเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้
แม้ว่าจะมีส.ว. 250 คนค้ำอยู่ก็ตาม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ถ้าฝ่ายคุมอำนาจหาตัวแทนเข้ามาได้
เอาพล.อ.ประยุทธ์ไปเก็บไว้ในที่ใดที่หนึ่งที่รู้สึกว่าปลอดภัย
เกมมันอาจจะเดินออกมาแบบนี้ จึงเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
จึงเป็นอำนาจของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่นี่แหละครับที่จะตัดสินใจในสนามเลือกตั้งกันอย่างไร?
ถ้ายังรักยังห่วงพล.อ.ประยุทธ์
ก็หลับหูหลับตาตามเลือกกันเข้าไปนะครับ แต่ถ้าไม่แล้วต้องคว่ำกระดานเทกระจาด
พรรคไหนประกาศสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ต้องไม่มีคะแนนจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตย หรือถ้าเขาจะเอาคนอื่นมาเป็นตัวแทน
ก็ต้องจับให้ได้ไล่ให้ทัน แล้วก็เททิ้งไปด้วยกันนั่นแหละครับ
#ณัฐวุฒิใสยเกื้อ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์