ธิดา
ถาวรเศรษฐ : “สฤษดิ์ + เผ่า” ไม่เท่า “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
Facebook
Live 1 ก.ย. 64
สวัสดีค่ะ
วันนี้เรามาพบกันใน Facebook
Live ในบรรยากาศที่เวทีรัฐสภาก็ร้อนแรง
แต่เนื่องจากมันจะต้องมีผ่านเวลาไปอีกหลายวัน ในขณะเวลาเดียวกัน นอกรัฐสภา
ขบวนการขับเคลื่อนของประชาชนก็ขับเคลื่อน
แต่ดิฉันจำเป็นที่จะต้องพูดในเวลานี้เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่า
กระบวนการของเผด็จการในอดีตที่มีโอกาสและบทบาทในการที่จะมีส่วนในการปกครองประเทศในยุคก่อน
ๆ ก็คือยุคสฤษดิ์ (จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) หรือว่าในยุคเผ่า (พล.ต.อ.เผ่า
ศรียานนท์) บรรดาความรุนแรงและการปราบปรามประชาชนก็ยังไม่เท่ากับในยุคนี้
เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะตั้งเป็นประเด็นว่า
“สฤษดิ์
+ เผ่า” ก็ยังไม่เท่า “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
แน่นอน
ในเวทีรัฐสภาและนอกรัฐสภาก็คงจะพูดถึงการบริหารบ้านเมืองที่ล้มเหลว
เพราะนั่นเป็นการไม่ไว้วางในนายกรัฐมนตรี แต่ดิฉันในฐานะที่เป็นส่วนของภาคประชาชน
จะพูดเฉพาะในส่วนประเด็นของการปราบปรามจับกุมคุมขังและอุ้มฆ่า
ที่ผ่านมาในวันที่
30 ส.ค. มันก็เป็นวันที่เราได้มาทบทวนถึงการอุ้มฆ่า
ซึ่งมีการเกิดขึ้นในทั่วโลกเป็นสากล
แล้วก็ได้มีการรำลึกถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นก็เป็นส่วนหนึ่ง
แต่ว่าการใช้อำนาจในการปราบปรามจับกุมคุมขัง อุ้มฆ่าก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ทำไมดิฉันถึงพูดว่า
“สฤษดิ์ + เผ่า” ก็ไม่เท่า “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
เพราะถ้าเราย้อนกลับไปเอาในยุค
พล.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งเราจะพบว่ามีความโด่งดังในเรื่องปัญหาจัดการกับ 4
รัฐมนตรี และผู้คนที่เชื่อว่าเป็นสมุนบริวารของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์
เราจะเห็นว่า
พล.อ.เผ่า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนที่จัดการอุ้มฆ่าจับกุมคุมขังคนจำนวนหนึ่งนั้น
แต่ปรากฏว่าถ้าเรามาดูให้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างในกรณี 4 รัฐมนตรีนั้น
คือเผ่าได้จำกัดวง ก็คือ นั่นคือหลังจากสิ่งที่อีกฝั่งเรียกว่า “กบฏวังหลวง”
หรือว่า กบฏที่เป็นขบวนการประชาธิปไตย นั่นก็คืออาจารย์ปรีดีพยายามที่จะเอาอำนาจคืน
ก็เรียกว่าเป็นกบฏวังหลวงเพราะว่ามีการไปตั้งไว้ที่นั่น
หมายความว่าอะไร
ก็คือหลังจากวันนั้นที่อาจารย์ปรีดีและคณะพ่ายแพ้ ต้องหนีออกจากประเทศไทย
การกวาดล้างโดย พล.ต.อ.เผ่า ก็เกิดขึ้น กรณี 4 รัฐมนตรีก็เกิดขึ้น
และก็มีอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคนในสกุลบุนนาค 2 คน แล้วก็มีคนอื่น ๆ อีกด้วย
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการเกิดขึ้นหลังการทำรัฐประหารเมื่อปี
2490 การทำรัฐประหารปี 2490
แล้วก็มีความพยายามในการที่จะเอาอำนาจคืนของอาจารย์ปรีดีในปี 2492
เราจะได้ยินเรื่องราวของ พล.ต.อ.เผ่า มาก แต่ถ้าเราจะดูให้ดี คดีสำคัญที่เอามาอ้างถึงนั้นเป็นคดีที่หลังจากสิ่งที่เรียกว่า
“กบฏวังหลวง” พูดง่าย ๆ ว่าเป็นการปราบปรามคนที่จะพยายามแย่งอำนาจของตัวเอง
คือจำกัดวงชัดเจน
ในยุคของ
“เผ่า” ก็ได้ชื่อว่าเป็นอัศวินที่มองว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้
ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” เพราะส่วนหนึ่งก็คือการที่สหรัฐฯ
ด้านหนึ่งก็คือสร้างอำนาจให้กับตำรวจด้วย แล้วจอมพล ป. ก็มีสองเสือ
ก็คือจอมพลสฤษดิ์และพล.ต.อ.เผ่าเป็นคู่บารมี
ดังนั้นมันก็เป็นการแข่งขันกันโดยปริยาย มันก็มีการคานอำนาจกัน
การใช้อำนาจของ
“พล.ต.เผ่า” แน่นอน ก็ไม่เท่ากับ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
แม้นว่าจะหลังจากการทำรัฐประหารเหมือนกัน แล้วหลังกบฏด้วย
คือมีการจำกัดวงเฉพาะส่วน เฉพาะคน อันนั้นหนึ่ง
อันที่สองก็คือว่า
(นี่พูดเฉพาะพล.ต.อ.เผ่า) ไม่มีการโหนเจ้า ไม่มีค่ะ ไม่มีการขยายวงไปสู่ประชาชน
อาจจะมีการเลี้ยงผู้กว้างขวางเป็นจำนวนมาก อาจจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องฝิ่น
เรื่องยาเสพติด หรือเรื่องผลประโยชน์อื่นใด
แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องของความเหี้ยมโหด
ในเรื่องของการจับกุมคุมขังประชาชนนั้น ตัวนี้ “เผ่า” ไม่เท่า “สฤษดิ์”
และแม้กระทั่ง “ประยุทธ์” ดิฉันให้บวกด้วยซ้ำ ทีนี้ถ้าเลยจาก “พล.ต.อ.เผ่า”
เพราะว่า พล.ต.อ.เผ่า อาจจะใช้คำพูดแบบนายกฯ เมื่อวาน “ก็เป็นแค่ผู้บัญชาการตำรวจ
ไม่เท่ากับเป็นนายกรัฐมนตรี”
มาถึง จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ซึ่งทำรัฐประหารเมื่อปี 2500
แล้วก็หลังจากนั้นอีกปีกว่าก็ทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง มีอำนาจเบ็ดเสร็จ มีมาตรา
17 สามารถสั่งประหารชีวิต
ก็มีการประหารชีวิตคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
จะเป็นการประหาร ครูครอง จันดาวงศ์ นายศุภชัย ศรีสติ หรือว่าคนที่คิดว่าเป็นคนวางเพลิง
คือพอมีไฟไหม้ก็จัดการกับคน คือต้องการจะแสดงอำนาจ เพราะฉะนั้นมาตรา 17
ก็อาจจะมาเทียบกับยุคของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาตรา 44 ก็ได้
โอเค “ประยุทธ์” ไม่ประหารชีวิต
อาจจะไม่ประหารชีวิต คือในยุคนั้นของจอมพล สฤษดิ์ มันมีเรื่องของพ.ร.บ.คอมมิวนิสต์
เรื่องของสงครามเย็น จอมพล สฤษดิ์ แม้นจะมีลักษณะฟื้นฟูจารีตนิยม
แต่ก็ไม่ปรากฎว่าตั้งข้อหาใครในเรื่องหมิ่นพระมหากษัตริย์ ไม่เห็น
มีแต่สงสัยว่าเป็นชาวคอมมิวนิสต์แค่นั้นก็พอ คือไม่จำเป็นต้องอ้าง
แต่ใช้การฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีและพระราชอำนาจในส่วนอื่น
คือให้ในทางวัฒนธรรมยกระดับขึ้นมา โดยไม่จำเป็นต้องไปกล่าวหาใคร จับกุมคุมขังใคร
ในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับเยอะ! แต่ว่าทั้งจอมพล
สฤษดิ์ และ พล.ต.อ.เผ่า ไม่ขยายไปสู่การปราบปรามประชาชน ไม่ต้องพูดเรื่องเด็ก
ไม่ต้องพูดเรื่องผู้หญิง
ไม่กี่วันมานี้ที่เราทราบข่าว สุพิชฌาย์
ชัยลอม หรือ “น้องเมนู” เธอเป็นน้องน่ารักมาก แล้วถ้าเข้าไปดู
ดิฉันแชร์ในเพจของดิฉันนะคะ จาก Workpoint “หนูเมนู”
ได้พูดถึงเรื่องการยกระดับปฏิรูปการศึกษาได้อย่างดีเยี่ยมมาก
แล้วคุณไปตั้งข้อหาเด็กเหล่านี้ได้ยังไง ในกรณี 112 ภาพเธอน่ารักที่มีการแชร์กัน
ที่ชู 3 นิ้ว แล้วก็ผูกโบว์ขาวที่เชียงใหม่ แล้วก็ถ่ายมาจากด้านหลัง
มันเป็นภาพที่ประทับใจมากที่เยาวชนลุกขึ้นมาต้องการปรับปรุงระบบการศึกษาและเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางที่ดี
คือในยุค “เผ่า” หรือ “สฤษดิ์”
ไม่ขยายการปราบปรามประชาชน ยิ่ง “สฤษดิ์” ต้องการทำคะแนน มีม็อบประชาชนที่ไป
ไปเจรจา ไปคุย สื่อก็ทำของตัวเองขึ้นมา แน่นอน ก็คือแข่งขันกับ “พล.ต.อ.เผ่า” ก็ทำหนังสือพิมพ์สารเสรี
อย่างนี้เป็นต้น แต่ตอนที่ตัวเองเป็นนายกฯ แน่นอน
มีการไปจัดการกับสื่อหนังสือพิมพ์
แต่นั่นมันในยุคสมัยนั้นซึ่งสิ่งพิมพ์เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ถามว่าเขาขยายไปสู่หมู่ประชาชน เด็ก ผู้หญิง แล้วอ้างปัญหาการหมิ่นสถาบันฯ
หรืออ้างชุ่ย ๆ มั้ย ไม่มี! จับเยอะมั้ย จับเยอะ!
แต่ดิฉันอยากจะเรียนท่านผู้ชมที่ยังไม่ได้ทราบข้อมูล
คือจับในยุคนั้น จับอดีตหนังสือพิมพ์ จับกบฏสันติภาพ จับปัญญาชนไปเยอะ
แต่ว่าให้เกียรติในฐานะผู้เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งไม่มีในยุคนี้
ให้เกียรตินั้นก็หมายความว่า
จับกุมคุมขังไปอยู่ที่คุกลาดยาวนะ อยู่ที่ลาดยาวที่บริเวณที่ทุกวันนี้ที่เราต้องไปกันบ่อย
ๆ ซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวาง ทำเรือนหลังหนึ่งอยู่ต่างหากเลย
สามารถที่จะเรียนหนังสือได้ เล่นกีฬาได้ ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เล่นดนตรีได้
จัดงานรื่นเริงได้ คือให้เกียรติว่าเขาเป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง
มันไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันที่จับกระทั่งเด็ก
ๆ
เข้าไปอยู่ในเรือนจำที่ปนกับผู้ต้องขังที่เป็นอาชญากรหรือในคดีที่มันเป็นคดีที่ไม่ใช่คดีการเมือง
แน่นอน เราก็ให้เกียรติทุกคนเป็นมนุษย์เท่ากัน แต่ว่าคดีมันคนละคดีกัน
นี่ไม่ใช่อาชญากร แต่เป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง เพียงแต่ออกมาชุมนุมและเรียกร้อง
แล้วศาลก็ยังไม่ได้ตัดสินว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นมันดูหมิ่นใครจริงหรือเปล่า
ดิฉันดูแล้วในยุคนั้น คุณทองใบ ทองเปาด์
ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ถูกจำขังพร้อมกับคุณจิตร ภูมิศักดิ์ (สนิทกัน)
คุณทองใบได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า มันเหมือนไม่ใช่คุกหรอก มันก็อยู่กันแบบสบาย
พูดง่าย ๆ ว่าเขาเอามากักเอาไว้เพื่อไม่ให้มีทำกิจกรรมทางการเมือง
เพราะฉะนั้นในประเด็นนี้ถ้ามาเทียบกับปัจจุบันที่คุณเอาเยาวชนเข้าไป
แล้วในยามที่ติดเชื้อโควิดเต็มไปหมด จากที่เขาไม่ป่วย เขาต้องไปป่วยอยู่ในเรือนจำ
แล้วไม่รู้ว่าป่วยในเรือนจำเนี่ยจะรอดหรือไม่รอด ติดนั้นติดแน่นอน
คือไม่ติดวันนี้ต้องติดวันหน้า ตราบเท่าที่อยู่ในเรือนจำ
เพราะว่าสภาพที่แออัดเป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มี Home isolation ค่ะ มันแยกตัวไม่ได้ แล้วก็อยู่กันอย่างแออัดอย่างนั้น ไม่ติดวันนี้
ก็ติดพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ต้องติด และเมื่อติดแล้วอาจจะโชคดีไม่ตายก็ได้
หรืออาจจะเป็นหนักก็ได้ แน่นอน โรงพยาบาลราชทัณฑ์เขาก็บอกเขาก็ทำเต็มที่
แต่ด้วยเหตุผลของสถานที่
เขาไม่สามารถที่จะดูแลได้เหมือนกับคนที่ไม่ได้อยู่ในเรือนจำแน่นอน อันนี้แน่นอน
คำถามว่า จิตใจมันโหดเหี้ยมแบบไหน?
ถึงได้ทำกับเยาวชนและผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ยังไม่ได้มีการตัดสินคดีความแบบนี้
คือในยุคก่อนเขามีการจัดการเพราะมีการแย่งอำนาจ
และมีการใช้ขบวนการในการต่อสู้ชัดเจน ที่เรียกกันว่า “กบฏวังหลวง”
ของอาจารย์ปรีดีนั่นแหละ จากนั้นก็มีการอุ้มฆ่าในยุคของ “พล.ต.อ.เผ่า”
แต่ว่าไม่ได้ขยายไปสู่ส่วนอื่น
ในกรณีอุ้มฆ่าแบบนี้ ถามว่าในยุคของ
“ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีมั้ย? แน่นอน มีเต็มไปหมด ตั้งแต่ทำรัฐประหารเป็นต้นมา
คนที่ลี้ภัยหรือคนที่อยู่ในประเทศที่ถูกอุ้มฆ่า คือเขาจำเป็นต้องลี้ภัย
ลี้ภัยไปแล้วก็โดน ซึ่งเราติดตามจากข้อมูลของศูนย์ทนายฯ ของบีบีซี
รวมทั้งในเพจของยูดีดีนิวส์ได้
เพราะฉะนั้น ประเด็นอุ้มฆ่ามันขยายไปถึงคนอย่าง
“วันเฉลิม” ซึ่งตั้งเพจที่ดิฉันเคยพูดว่า ตั้งชื่ออย่างอารมณ์ขันมากว่า “กูต้องได้
100 ล้านจากทักษิณแน่ ๆ” เป็นเด็กหนุ่มที่น่ารัก ดิฉันไม่รู้จักเลย
แต่คนที่ตั้งชื่อเพจแบบนี้และเป็นแอดมินเพจ มันจะเป็นคนที่จิตใจร้ายกาจ หรือว่าจะมาต่อสู้ด้วยอาวุธ
หรือตั้งขบวนการที่จะมาจัดการกับรัฐไทย มันเป็นไปไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ก็โดน
ยังไม่ต้องพูดถึงคนจำนวนมาก
ซึ่งดิฉันมองแล้วว่าเขาไม่มีขีดความสามารถในการที่จะมาปลุกระดมคนให้ลุกขึ้นจับอาวุธมาสู้เพื่อแย่งอำนาจรัฐ
ถ้าคุณจะทำ คุณต้องทำระดับนั้น แล้วขบวนการประชาชนทุกวันนี้ที่ออกมาประท้วง
ถามว่าเขามีการปลุกระดมให้คนจับอาวุธขึ้นมาสู้เพื่อชิงอำนาจรัฐหรือเปล่า ไม่มี
เขาบอกคุณช่วยออกไปหน่อย เอาคนเก่ง ๆ มา
แล้วคุณช่วยจัดการทำรัฐธรรมนูญใหม่ที่มันไม่น่าเกลียดอย่างนี้ให้เป็นอำนาจประชาชน
หรือว่าการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เพื่อที่จะให้เป็นมิ่งขวัญและอยู่ได้กับสังคมไทยไปยาวนาน
มันไม่ใช่ขบวนการที่ปลุกระดมคนให้จับอาวุธมาสู้
หรือขบวนการที่ตั้งกองกำลังอาวุธแบบ พคท. ในอดีต ซึ่งคุณจะได้มีเหตุผลว่าคุณต้องจัดการ
นั่นแหละคือสมัย “สฤษดิ์” กับ สมัย “เผ่า”
ดังนั้นดิฉันจึงได้บอกว่า “เผ่า +
สฤษดิ์” ก็ยังไม่เท่ากับ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งไล่จับกุม เข่นฆ่า อุ้มฆ่า
ปราบปรามอย่างรุนแรง ไม่เลือกหน้า ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกวัย ใช้ทุกข้อหา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการอ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายพลในอดีตเขาไม่ทำกัน
มาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งเด็กเล็ก ๆ
ดิฉันจึงอยากจะบอกว่า
ท่านทำลายประวัติศาสตร์ของนายพลทั้งหลายที่ได้ทำรัฐประหาร
ท่านอาจจะอยากทำลายประวัติศาสตร์ว่าได้มาสืบทอดอำนาจเป็นนายกฯ ที่นานกว่ารุ่นก่อน
ๆ ท่านอาจจะภาคภูมิใจในจุดนั้น
แต่สำหรับดิฉันคิดว่า ท่านจะภาคภูมิใจหรือที่ท่านได้ชื่อว่า เพื่อการที่จะได้อยู่ในอำนาจยาวนาน ท่านได้ทำลายประวัติการณ์และประวัติศาสตร์ของการที่เป็นนายพลที่ขยายการปราบปรามจับกุมเข่นฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกวัย ประวัติศาสตร์อาจจะบอกว่าท่านอยู่ได้นานจากการทำรัฐประหาร แต่ประวัติศาสตร์ก็จะบอกเหมือนกันว่าท่านทำลายประวัติศาสตร์ในแง่ของความเหี้ยมโหดยิ่งกว่าจอมพลและนายพลใด ๆ ในอดีตของประเทศไทยค่ะ.