ราษมัม
และ “แม่ไผ่-แม่ไมค์-พ่ออานนท์-พ่อบอย” พร้อมด้วยอาจารย์ยื่นหนังสือถึงสถานทูตสหรัฐฯ
ขอให้ช่วยสังเกตการณ์คดี ม.112 และเรื่องการประกันตัว
วันนี้
(24 ก.ย. 64) เมื่อเวลา 11.00 น. กลุ่มราษมัม และ แม่ “ไผ่ จตุภัทร์” แม่ “ไมค์
ภาณุพงศ์” พ่อ “อานนท์ นำภา” และ พ่อ “บอย ธัชพงศ์” รวมทั้งอาจารย์ได้เดินทางไปหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา
ประจำประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือให้ทางสถานทูตสหรัฐฯ
ให้ความสนใจสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการแจ้งข้อกล่าวหาต่อเยาวชนและประชาชนผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
โดยประสงค์ให้ทางสถานทูตเข้าสังเกตุการณ์ในการดำเนินคดีในศาล
รวมถึงการไม่ให้สิทธิ์ประกันตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรได้รับในการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
ด้านแม่
“ไผ่ จตุภัทร์” กล่าวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของสถานทูตสหรัฐฯ
ที่ออกมารับเรื่องว่า “ประเทศสหรัฐฯ เป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
จึงอยากให้เห็นความสำคัญของการที่เด็ก ๆ ในประเทศไทยถูกกระทำในการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในการประกันตัวและแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งขณะเยาวชนและประชาชนถูกดำเนินคดีมากมาย
โดยเฉพาะ ม.112 สุดท้ายขอตั้งความหวังว่าจะได้เห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของสหรัฐฯ
ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นในการไปร่วมสังเกตุการณ์ในคดีความดังกล่าวที่ศาลหรือกรณีที่เยาวชนและประชาชนไทยถูกละเมินสิทธิมนุษยชนต่าง
ๆ ด้วย”
โดยทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของสถานทูตสหรัฐฯ
ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้แล้วจะส่งเรื่องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
นางพริ้ม
บุญภัทรรักษา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เรามีกติการะหว่างประเทศที่ไทยให้สัตยาบันไว้ในเรื่องสิทธิพลเมือง
สิทธิทางการเมือง เราก็อยากมายื่นหนังสือเพื่อให้สถานทูตฯ ไปสังเกตุการณ์ในคดีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
หรือการแจ้งข้อกล่าวหาโดยที่ไม่เป็นธรรมกับนักกิจกรรมผู้เห็นต่าง
โดยเฉพาะช่วงนี้มีการใช้กฎหมายเหล่านี้จำนวนมากและเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ
เราคิดว่าการที่รัฐบาลสืบทอดอำนาจมาเป็นเวลา
7-8 ปี ทำให้สิทธิพลเมืองของประชาชนและนักกิจกรรมถดถอยไป อยากให้สถานทูตไปร่วมสังเกตุการณ์
ไม่ควรปล่อยให้รัฐเผด็จการทำกับนักกิจกรรมเหล่านี้
และขอความเป็นธรรมว่าการละเมิดกติกาหรือการจำกัดสิทธิมนุษยชนของนักกิจกรรม
นักศึกษา แม้กระทั่งเยาวชน มีการแจ้งข้อกล่าวหา ทำให้การแสดงออกทางความคิดของเยาวชนเหล่านี้ได้รับผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายรวมทั้งถูกดำเนินคดีด้วย
ทั้ง ๆ ที่เยาวชนเหล่านี้คิดและแสดงออกเพื่อสร้างสรรค์ให้ประเทศชาติมีความน่าอยู่
ไม่ใช่ว่าคนมีอายุจะเห็นว่าตนมีอำนาจและใช้อำนาจกดขี่เยาวชนเพื่อไม่ให้เยาวชนแสดงความคิดเห็นหรือเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ
นางพริ้ม
กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเป็นโลกทรรศน์ใบใหม่แล้ว ไม่ควรมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ
เราต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเพื่อพัฒนาประเทศให้อยู่ร่วมกันได้ทุกชนชั้น
ความเป็นคนต้องเท่ากัน สิ่งที่เยาวชนเหล่านี้แสดงออกและส่งเสียงควรจะมาคุยกันว่าจะพัฒนาไปอย่างไร
ไม่ใช่ใช้อำนาจเล่นงาน ใช้กฎหมายเป็นอาวุธ
ซึ่งทำให้เยาวชนที่จะมีอนาคตที่ดีกลับต้องสะดุดกับอนาคตของตัวเอง
โดยที่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกระทำต่อเด็กและเยาวชน
ควรจะมีความสมดุลในการเจรจาพูดคุยกันเพื่อให้ประเทศพัฒนาไปด้วยกัน มีสังคมสงบสุข
ทุกคดีควรให้สิทธิ์ในการประกันตัวเพื่อแก้ข้อกล่าวหาและต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมซึ่งสิทธิ์ในการประกันตัวเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน
.
ต่อมา
แม่ “ไมค์ ภาณุพงศ์” กล่าวว่า “เมื่อวานที่ไมค์ถูกฟ้องและไม่ได้รับการประกันตัว
รู้สึกตกใจ แม่ก็ไม่รู้ตัว ไมค์ก็ไม่รู้ตัวว่าจะโดนสั่งฟ้องเมื่อวาน
แต่ก็ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าน่าจะโดนคดีอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะเอาคดีไหนมาเล่นงานไมค์
และทุกคดีทางการเมืองเหล่านี้มันไม่ใช่ไปฆ่าใครให้เสียชีวิต แม่คิดว่าใช้กฎหมายปิดปากเด็ก
ๆ มากกว่า ไม่ต้องพูด ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องเห็น ประมาณนั้น ครั้งนี้ไมค์ออกมาได้แค่
7-8 วันก็เอาเข้าไปอีกเช่นเดิม ก็ต้องสู้กันต่อไป”
ด้านพ่อ
“อานนท์ นำภา” กล่าวว่ารู้สึกเป็นห่วงลูกชาย 40 กว่าวันแล้วที่อยู่ในเรือนจำ ตอนนี้ทางครอบครัวก็คิดถึงและเป็นห่วงมากแต่ไม่สามารถเยี่ยมได้
แม่
“ไผ่ จตุภัทร์” กล่าวเสริมว่า “เพราะทางเรือนจำแจ้งว่าอยู่ในช่วงโควิด ทนายความก็ต้องมีใบแต่งทนายไปเยี่ยม
ขั้นตอนเหล่านี้เป็นการละเมิดสิทธิ์อีกชั้นหนึ่ง
ในเมื่อจับคนเข้าไปแล้วไม่ให้สิทธิ์ประกันตัว
เขาก็มีสิทธิ์ที่จะพบทนายและพ่อแม่ได้”
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์