วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564

"ณัฐวุฒิ" เผยเส้นทาง "คาร์ม็อบ 19 กันยา" อโศก-อนุสาวรีย์ปชต. "ขับรถยนต์ชนรถถัง" รำลึกรัฐประหาร49-57 ยก"ลุงนวมทอง"เป็นต้นแบบต้านอำนาจเผด็จการ

 


"ณัฐวุฒิ" เผยเส้นทาง "คาร์ม็อบ 19 กันยา" อโศก-อนุสาวรีย์ปชต. "ขับรถยนต์ชนรถถัง" รำลึกรัฐประหาร49-57 ยก"ลุงนวมทอง"เป็นต้นแบบต้านอำนาจเผด็จการ


วันนี้ (19 ก.ย. 64) เวลา10.30น.ที่ห้องประชุม UDD news ชั้นใต้ดิน อาคารเอเวอรี่มอลล์ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ประกาศตัวว่าเป็นคนทำงานในเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) แถลงข่าวการจัดกิจกรรม "คาร์ม็อบ 19 กันยา ขับรถยนต์ชนรถถัง" เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง 


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ท่านสื่อมวลชนครับ เป็นการแถลงข่าวการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบขับรถยนต์ชนรถถังวันที่ 19 กันยายนนี้ ผมต้องเริ่มต้นที่เนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของการเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบครับนี้ก่อน ก่อนที่เราจะลงรายละเอียดถึงเส้นทางและรูปแบบในการจัดกิจกรรม


คาร์ม็อบขับรถยนต์ชนรถถังในวันที่ 19 นี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่รำลึกการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยคณะของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เท่านั้น แต่เราต้องการที่จะเน้นย้ำให้เห็นสาระสำคัญว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และการสืบทอดอำนาจโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปัจจุบัน เป็นเรื่องเดียวกัน คิดแยกส่วนไม่ได้ มองตัดตอนก็ไม่ได้ เพราะการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน เกิดขึ้นจากขบวนการอำนาจนอกระบบที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลเลือกตั้ง แล้วก็ตีกรอบอำนาจอธิปไตยของประชาชนให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ


ดังนั้น การที่เราจะรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าวจึงหมายถึงการแสดงการไม่ยอมรับ ต่อต้าน แล้วก็ขับไล่อำนาจรัฐในปัจจุบัน ซึ่งยึดกุมอยู่โดยรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 


ผมได้ชี้ให้เห็นไปแล้วจากการทำคลิปประชาสัมพันธ์คาร์ม็อบคราวนี้ว่า แผนประทุษกรรมในการรัฐประหารเป็นการทำซ้ำซากแบบเดียวกัน ทั้งกันยายน 2549 และพฤษภาคม 2557 มันเริ่มต้นโดยการมีกลุ่มประชาชนชุมนุมขับไล่รัฐบาล รัฐบาลเวลานั้นประกาศยุบสภา พรรคประชาธิปัตย์แกนนำฝ่ายค้านบอยคอตไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วก็มีขบวนการขัดขวางการเลือกตั้ง ขัดขวางการลงคะแนน จนในที่สุดการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งนั้นถูกยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ และมีคำวินิฉัยให้เป็นโมฆะ 


มีข้อเรียกร้องนอกรัฐธรรมนูญนำไปสู่ทางตันทางการเมือง ปี 2549 ผู้ชุมนุมเรียกร้องนายกฯ พระราชทานอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ปี 2557 ผู้ชุมนุมเรียกร้องนายกฯ คนกลางโดยการเสนอชื่อของประธานวุฒิสภา ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติได้ตามรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้อยู่ทั้งสองเหตุการณ์


เมื่อจงใจไล่ต้อนประเทศเข้าสู่ทางตัน ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับอำนาจนอกระบบทำรัฐประหาร สังคมไทยตกภายใต้บทละครอัปยศนี้ 15 ปี ไม่มีความแตกต่างเรื่องวิธีการ แตกต่างเพียงตัวละครที่ลงมือปฏิบัติการเท่านั้น พูดกันให้ถึงที่สุดคือรัฐประหาร 2549 เป็นผู้ให้กำเนิดรัฐประหารปี 2557 แล้วรัฐประหารปี 2557 เป็นการทำซ้ำ ทำหนักกว่าเดิม ทำเพื่อไม่ให้การรัฐประหารปี 2549 กลายเป็นรัฐประหารเสียของอย่างที่พล.อ.ประยุทธ์และคณะกล่าวอ้าง นี่คือวัตถุประสงค์ของมัน


ดังนั้น การออกมาร่วมขบวนคาร์ม็อบในครั้งนี้ จึงไม่ได้หมายเพียงแค่การแสดงพลังต่อต้านรัฐประหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้ประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตลอด 15 ปี ทั้งคนที่บาดเจ็บ สูญเสีย ถูกจับกุมคุมขัง ถูกไล่ล่าต้องหลบลี้หนีภัย หรือถูกอุ้มหาย ได้รับทราบว่ายังมีพลังของฝ่ายประชาธิปไตยยังคงสู้อยู่ และยังคงมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นความยากลำบากและเต็มไปด้วยอุปสรรคอันตราย


นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่าในเชิงเนื้อหาสาระเราก็จะขับเน้นเรื่องนี้ทั้งก่อนวันงานและในวันจัดกิจกรรมผ่านเวทีออนไลน์ เวทีออนไลน์ในครั้งนี้จะมีเหมือนกับสองครั้งที่ผ่านมาที่เราเคลื่อนกิจกรรมคาร์ม็อบ โดยเราได้เชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและวิทยากรผู้มีบทบาทในการต่อสู้ในช่วงเวลา 15 ปีนี้ ร่วมพูดคุย ร่วมสนทนาในเวทีออนไลน์หลายท่าน เช่น อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์, ท่านทูตรัศมิ์ ชาลีจันทร์ (ทูตนอกแถว) แล้วก็ยังมีนักวิชาการอีกหลายท่าน ยังมีตัวแทนเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นพลังขับเคลื่อนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จะเป็นใครอย่างไรบ้างนั้นขอให้ท่านสื่อมวลชนติดตามผ่านเพจหรือทวิตเตอร์ของผมนะครับ ผมจะแจ้งให้ทราบในวันพรุ่งนี้ แต่เบื้องต้น 2 รายชื่อก็ประชาสัมพันธ์ให้ทราบไว้ตรงนี้ก่อน


ในวันนัดหมายเคลื่อนขบวนเราจะพร้อมกันที่แยกอโศกในเวลาบ่าย 2 โมง (14.00 น.) หัวขบวนมุ่งหน้าถนนพระราม 4 ท้ายขบวนก็ต่อเนื่องกันมาตามปริมาณรถที่เข้าร่วม ตรงมาทางซอยอโศกมาตัดถนนเพชรบุรี อาจจะยาวไปถึงถนนรัชดาภิเษกหรือไม่ อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในวันนัดหมาย 


โดยเวลา 15.00 น. ก็จะมีการเคลื่อนขบวน เที่ยวนี้ทั้งขบวนจะมีธงสัญลักษณ์ร่วมกัน สกรีนข้อความติด Hashtag #ไล่ประยุทธ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่แล้วในช่วงหลายปีมานี้ จะมีทั้งขบวนรถยนต์ ขบวนมอเตอร์ไซด์ แล้วก็จะมีขบวนพี่น้องชาวแท็กซี่ผู้รักประชาธิปไตยร่วมด้วย 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากคาร์ม็อบ  “ขับรถยนต์ชนรถถัง” คราวนี้ เราได้รำลึกถึงวีรกรรมความเด่นเดี่ยวกล้าหาญของชายธรรมดาผู้ขับแท็กซี่หาเช้ากินค่ำชื่อ “นวมทอง ไพรวัลย์” ซึ่งได้ตัดสินใจขับรถแท็กซี่คู่ชีพพุ่งชนรถถังของคณะรัฐประหารเมื่อปี 2549 ถ้าคาร์ม็อบวันนี้เป็นรูปแบบกิจกรรมที่ตอบโจทย์ในข้อจำกัดโควิด-19 ก็ต้องพูดว่า “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” คือจิตวิญญาณผู้เริ่มต้นคาร์ม็อบในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไทย


นายณัฐวุฒิ กล่าวไปอีกว่า เราจะมีการแสดงสัญลักษณ์ “ขับรถยนต์ชนรถถัง” ในวันดังกล่าวด้วย เพื่อประกาศการต่อต้านเผด็จการและคารวะความวีระอาจหาญของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” ไปในคราวเดียวกัน


เมื่อเคลื่อนขบวนเราก็จะตรงจากแยกอโศก มุ่งหน้าไปถนนพระราม 4 เลี้ยวขวาตรงแยกคลองเตย แล้วพุ่งตรงไปเรื่อย ๆ มุ่งหน้าไปสะพานกรุงเทพ นั่นหมายความว่าไปถึงสะพานไทย-เบลเยี่ยม เลี้ยวซ้ายเข้าสาทรเหนือ ตรงไปเลี้ยงซ้ายเข้าเส้นนราธิวาส ถึงแยกรัชดา-นราธิวาสก็ตรงวิ่งตรงเข้าถนนพระราม 3 เรื่อยไปจนถึงสะพานกรุงเทพ วิ่งตรงถนนรัชดาภิเษกเข้าเส้นจรัญสนิทวงศ์ พอจรัญสนิทวงศ์ก็จะเลี้ยวกลับมาขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้า และจุดหมายอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็จะมีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ให้ทั้งโลกได้แลเห็นว่า ประชาธิปไตยในประเทศนี้ถูกคลุมถุงดำมาแล้วเป็นเวลา 15 ปี กิจกรรมก็จะยุติตรงนั้น ประมาณการเวลาจากการสำรวจเส้นทางและระยะทางว่าจะอยู่ภายใน 18.00 น. ก็เหมือนเช่นดังทุกครั้งที่เคยจัดกิจกรรมกันมา


ตลอดเส้นทางที่ผมได้เล่าให้ฟังนี้ เราได้เผยแพร่ไปแล้วทางสังคมออนไลน์ และผมก็ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วชัดเจน จะไม่มีการขับเคลื่อนนอกเส้นทางไปจากนี้ จะไม่มีรูปแบบกิจกรรมนอกเหนือจากที่ผมได้เล่าให้ฟังนี้ จะมีการพูดจาประกาศสัญลักษณ์อะไรใด ๆ กัน ก็จะเป็นไปในขบวนแล้วก็ผ่านเวทีออนไลน์ ถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไม่มีเวทีปราศรัย แต่ว่ามีสัญลักษณ์อย่างที่ผมได้เรียนแล้ว รถทุกคันที่เข้าร่วมขบวนเมื่อถึงจุดหมายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็เป็นอันยุติกิจกรรมแยกย้ายกันกลับด้วยความสงบเรียบร้อยเหมือนที่เราได้ปฏิบัติกันมา


นายณัฐวุฒิ กล่าวย้ำว่า ผมมั่นใจว่าการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในวันที่ 19 กันยายนนี้ จะได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่เข้าร่วมขบวนและทั้งที่อยู่สองข้างทาง และก็ยังงมั่นใจด้วยว่าทุกอย่างจะเริ่มต้นและจบลงตามกรอบเวลา อยู่ในเส้นทางตามรูปแบบและเป้าหมายกิจกรรม ไม่มีเหตุกระทบกระทั่งเผชิญหน้าหรือความรุนแรงใด ๆ ถ้าจะสังเกต การออกจากแยกอโศกไปสู่เป้าหมายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมันมีหลายเส้นทาง แต่เราเลือกเส้นทางนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงพื้นที่เปราะบาง พื้นที่เงื่อนไขทั้งหลายไม่ให้มีการเผชิญหน้าใด ๆ กับทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ 


ในส่วนของผู้เข้าร่วมในกิจกรรม ขณะนี้ก็ทราบว่ามีการตอบรับมาหลายคนหลายกลุ่ม ก็ขอขอบคุณทุกคนทุกกลุ่มที่แสดงเจตนาร่วมกันและจะรักษาแนวทางของการต่อสู้ด้วยกัน วันนี้คุณสมบัติ บก.ลายจุด พอดีตรงกับนัดหมายฉีดวัคซีน ก็เลยไม่ได้มาร่วมแถลงข่าวด้วย แต่ว่าในวันที่ 19 ก็จะร่วมขบวนไปด้วยกันเช่นเดิม นี่คือตัวเส้นทางและรูปแบบ


ผมอยากจะเน้นย้ำถึงฝ่ายผู้มีอำนาจอีกครั้ง แน่นอนที่สุดกิจกรรมนี้ตรงไปตรงมาว่าเราไม่ยอมรับและขับไล่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เราไม่ได้ประกาศการเป็นศัตรูกับรัฐไทย เราไม่ได้ประกาศการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานใด ๆ ดังนั้นเราหวังใจว่าจะได้รับความร่วมมือ อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยงานเป็นอย่างดี 


ในส่วนของสถานการณ์อื่น ๆ ที่แวดล้อมเกี่ยวข้อง เช่น บรรยากาศความขัดแย้งภายในของรัฐบาล หรือการคาดการณ์อายุของรัฐบาลหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าหากมีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นก็อาจจะพูดคุยกันในขบวน หรืออาจจะพูดคุยกันในวาระอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ซึ่งเราก็จะติดตามความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป


หลัง 19 กันยายน จะมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบคาร์ม็อบหรือรูปแบบอื่นใดอีกหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป เราจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง นายณัฐวุฒิ กล่าว


ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ทาง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายสมบัติ บุญงามอนงค์ และคนอื่น ๆ การได้รับหมายเรียกจากการจัดคาร์ม็อบครั้งก่อน ๆ สำหรับคาร์ม็อบครั้งนี้หากมีการออกหมายเรียกอีก อยากสื่อสารไปถึงทางเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร?


นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ที่จริงการเคลื่อนไหวที่เราทำมันได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพราะว่าเป็นการชุมนุมแสดงออกโดยสงบสันติปราศจากอาวุธ ซึ่งหลายครั้งที่ออกมาผมเชื่อว่าสังคมมองเห็นและเข้าใจชัดแจ้งทั้งในเชิงสาระและเจตนา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นการกระทำขัดกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, ขัดกับ พ.ร.บ.เกี่ยวกับโรคติดต่อ ถ้าถือเป็นอำนาจที่ท่านทำได้ก็สุดแท้แต่ท่าน พวกผมไม่เคยหลบหนี ทุกคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็พร้อมที่จะต่อสู้ไปตามขั้นตอนของกฎหมาย


อย่างไรก็ตามก็อยากจะให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยความรัดกุมรอบคอบ ไม่ใช้อำนาจหรืออ้างกฎหมายกลั่นแกล้งทำลายหรือยัดข้อกล่าวหาให้มันมีลักษณะเหวี่ยงแหกว้างขวางเกินไป เช่น คนที่เขามาร่วม อาจจะมาถ่ายภาพ อาจจะมาแสดงออกอะไรบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ผมว่าตรงนี้ควรละเว้น ไม่ใช่เห็นใครเดินเข้าใกล้ผู้จัดงาน ก็หาชื่อไปออกหมายเรียกเขาเสียหมด ไม่ใช่พฤติการณ์ที่สร้างสรรค์และไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ กับสังคม ผมยืนยัน


คนที่เขาประกาศตัวอย่างที่จัดกิจกรรมอยู่นี้ ท่านจะออกหมายเรียกเราก็สู้กัน ว่ากันในเนื้อหาสาระตามพยานหลักฐานแห่งคดี แต่ผมว่ามันควรจะปฏิบัติโดยตีกรอบวงให้แคบที่สุด ให้เป็นเหตุเป็นผลที่สุด ไม่ควรจะไปก่อฉนวนความขัดแย้ง ไม่ควรจะไปทำให้เกิดภาพว่ารัฐสักแต่อ้างกฎหมายใช้อำนาจโดยมองข้ามข้อเท็จจริง มองข้ามหลักนิติธรรมและเหยียบย่ำสิทธิเสรีภาพของประชาชน


สำหรับสถานการณ์ที่แยกดินแดง นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ผมยังคงห่วงใยสถานการณ์ที่นั่นเสมอ แล้วจากการติดตามข่าวการประเมินสถานการณ์ผมคิดว่าขณะนี้มันมีสัญญาณบางอย่างว่าผู้มีอำนาจอาจจะเลือกใช้วิธีการใช้กำลังกับเยาวชนหรือประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ซึ่งต้องส่งเสียงไปถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าอย่าได้กระทำเช่นนั้น การบาดเจ็บหรือการสูญเสียของเยาวชนประชาชนไม่ใช่คำตอบ ไม่ใช่การแก้ปัญหา และไม่สามารถจะทำให้สังคมไทยออกจากความขัดแย้งนี้ได้ 


ผมเรียกร้องหลายรอบแล้วนะครับ ว่าคำว่าควบคุมฝูงชนมันต้องไม่หมายถึงเพียงแค่กระสุนยาง แก๊สน้ำตา หรือน้ำผสมสารเคมี แต่มันต้องหมายรวมถึงการเจรจา หมายรวมถึงการรับฟัง การพยายามทำความเข้าใจคนที่ออกมา การหยิบยื่นกลไกส่วนอื่นของรัฐเข้าไปสัมผัสปัญหา เข้าไปเยียวยา เข้าไปแก้ไขความเจ็บปวดหรือผลกระทบ หลายคนที่อยู่ในนั้นผมติดตามข่าว เขาสูญเสียจากความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการวิกฤตโควิด19 บางคนพ่อตายแม่ตาย บางคนตกงานขาดรายได้ หรืออีกมากมายสารพัดที่เป็นเงื่อนไขของชีวิต ไม่มีภาพเหล่านี้เลยนะครับ รัฐไปเหมารวมว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ร้าย เป็นผู้ก่อความวุ่นวาย เป็นคนออกมาสร้างปัญหาให้กับสังคมไปเสียหมด ทั้งที่จริง ๆ หลายคนเป็นเหยื่อ ไม่ได้เป็นเหตุแต่เป็นผลจากสภาพปัญหาที่คนทั้งประเทศพบเจออยู่เวลานี้


ผมก็ต้องเรียกร้องอีกที ว่าแทนที่จะใช้กำลังเข้าปราบเข้าสลายการชุมนุม มันน่าจะใช้ความเมตตาและกลไกทุกอย่างของรัฐที่มีเข้าไปสลายความเจ็บปวด เข้าไปสลายความทุกข์ยากในใจของคนกลุ่มนี้เสียก่อน จับวันหนึ่งหลายสิบคน ท่านรู้หมดตัวตนเป็นใคร บ้านช่องอยู่ที่ไหน ข้อมูลบัตรประชาชน ข้อมูลทะเบียนราษฎร์อยู่ในมือเจ้าหน้าที่หมดแล้ว อย่างน้อยที่สุดกับกลุ่มคนที่ถูกจับกุม ท่านเคยสนใจส่งหน่วยงานอื่นตามไปดูที่บ้านมั้ย ตามไปถึงต้นตอของปัญหามั้ย ที่เขาอ้างว่าพ่อตายแม่ตายเพราะโควิดมันจริงหรือไม่ ที่เขาอ้างว่ามันสูญเสียสารพัด หลายเดือนแล้วการเยียวยาใด ๆ จากรัฐก็เข้าไม่ถึง ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐนะครับ ไม่จำเป็นต้องให้ผมหรือใครต่อใครพยายามจะเรียกร้องด้วยซ้ำไป แต่รัฐไม่ทำ ถ้าตามไปบ้านก็ตำรวจอีกนั่นแหละครับตามไปขู่ หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงอีก ตามไปกดดัน ซึ่งมันไม่ใช่ ลองเปลี่ยนวิธีคิด ลองปรับวิธีการซิครับ ผลที่ได้มันอาจจะออกมาแตกต่างกันก็ได้


ในขณะที่ฝ่ายของผู้ชุมนุมก็ต้องเรียนว่า ภายใต้ความห่วงใยนี้ก็อยากจะให้หลาย ๆ คนที่เลือกใช้แนวทางการต่อสู้แบบนั้นอยู่ที่นั่นประเมินสถานการณ์ด้วยความละเอียดรอบคอบ ดูผลกระทบหรือความรู้สึกของคนที่อยู่ในชุมนุมใกล้เคียง และที่สำคัญที่สุดคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อนที่ร่วมกันออกมาสู้ตลอดจนประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้อง ก็อยากจะฝากทัศนะตรงนี้ ผมไม่ได้ไปก้าวก่ายแทรกแซงหรือว่าไปชี้นำการเคลื่อนไหวตรงนั้นได้อย่างที่ท่านได้เห็นอยู่แล้วว่า น้อง ๆ ตรงนั้นกับแนวทางกิจกรรมที่ผมเคลื่อนไหวกันอยู่มันเป็นคนละส่วนกัน แล้วน้อง ๆ เขาก็ไม่ได้แสดงออกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แต่เป็นการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะทั้งรูปแบบ วิธีการ และสถานที่ตรงนั้น


ตอบคำถามกรณีแผนพัฒนาการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลต่อไปอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เรามีโจทย์ข้อยาก ไม่ใช่ความดื้อด้านในอำนาจของรัฐบาลนะ โจทย์ข้อยากที่สุดในเวลานี้คือข้อจำกัดโควิด19 เรื่องนี้จากการทดสอบการเคลื่อนไหวหลายครั้งที่ผ่านมาเห็นเลยครับว่าพี่น้องประชาชนแม้รักประชาธิปไตย ไม่พอใจรัฐบาล อยากเห็นบ้านเมืองก้าวหน้าเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่ว่าข้ามไม่พ้นความกังวลเรื่องโรคระบาด ข้ามไม่พ้นสภาพปัญหาของโควิด19


ดังนั้น การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองมันต้องให้สอดคล้องกับความจริงของสถานการณ์ เฉพาะหน้า ไม่ว่าใครกลุ่มไหน กลุ่มต้านหรือต่อให้กลุ่มเชียร์รัฐบาลก็ตาม วันนี้การจัดชุมนุมมวลชนขนาดใหญ่บนท้องถนนไม่สามารถทำได้ ดังนั้นมันจึงออกมาเป็นรูปแบบคาร์ม็อบ เป็นรูปแบบเวทีออนไลน์ หรือต่อไปมันอาจจะมีรูปแบบอื่น ๆ ก็ต้องตามดูกัน 


เมื่อเราคำนึงถึงความเป็นจริงของสถานการณ์เป็นด้านหลัก เราจึงไม่ได้กดดันตัวเองว่าจะต้องเคลื่อนไหวทุกวัน ทุกวิธีการเพื่อให้รัฐบาลออกไปโดยเร็วที่สุด ตราบใดที่ความเป็นจริงของสถานการณ์ยังไม่เอื้อให้ทำบางอย่าง เราก็อาจจะต้องเดินไปตามรูปแบบที่สถานการณ์ความเป็นจริงมันเปิดให้ ซึ่งหลังวันที่ 19 มีอะไรคืบหน้าก็คงจะแจ้งให้ทราบกันต่อไป


นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์ที่ดินแดงมันมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะสื่อสารถึงรัฐและสังคม คือเมื่อวานนี้เป็นวันครบรอบ 1 เดือนของน้องเยาวชนวัย 15 ปี ที่ถูกยิงโดยกระสุนจริงแล้วยังคงอยู่ในอาการสาหัส ร่างกายเป็นอัมพาตไม่รู้สึกตัวในโรงพยาบาลเวลานี้ เมื่อวานผมได้รับการประสานจากสื่อมวลชนว่าได้เข้าไปพูดคุยกับคุณแม่ของน้อง และคุณแม่ของน้องเขาก็อยากจะสนทนากับผม ก็ได้โทรศัพท์พูดคุยสอบถามอาการของน้อง สอบถามความคืบหน้าของคดี


อาการของน้องก็อย่างที่ผมพูดแล้วเมื่อสักครูนะครับ ยังอยู่ในห้วงวิกฤต น่ากังวลอย่างยิ่ง แต่ว่าความคืบหน้าของคดีก็น่ากังวลไม่ได้แพ้กัน เพราะว่า 1 เดือนแล้วไม่มีความคืบหน้า ฝ่ายครอบครัวของผู้บาดเจ็บไม่ได้รับการแจ้งความคืบหน้าใด ๆ นอกจากบอกว่ากำลังดำเนินการอยู่ แม่ของน้องสะท้อนความเจ็บปวดว่าครอบครัวเขาเป็นเพียงประชาชนธรรมดา เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ เมื่อถูกกระทำเช่นนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมเอาจากไหน 


ดังนั้น เรื่องนี้อยากจะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้มีอำนาจในรัฐบาล เข้ามาดูอย่างใกล้ชิด เรื่องมันเกิดในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับสน. พื้นที่ตรงนั้นเชื่อว่ามีกล้องวงจรปิดหลายตัว หลายมุม แล้วกระบวนการสืบสวนสอบสวนดำเนินการโดยสน.เอง ขณะที่กระแสข่าวบางแหล่ง ทำนองว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มคนในสน.เกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุหรือเกี่ยวข้องกับกรณีนี้หรือไม่ 


ความมั่นใจเรื่องความเป็นธรรมมันมีคำถามข้อใหญ่อยู่ในใจของครอบครัวผู้บาดเจ็บ ทางที่ดีเรื่องนี้ผมไม่ได้ปรามาสหรือไปด้อยค่ากลไกของเจ้าหน้าที่หรือไปกระทบกระทั่งกับสน.ดินแดงนะครับ แต่ผมว่าเพื่อความสบายใจมันควรโอนให้หน่วยงานอื่นเช่นกองปราบ เข้ามารับผิดชอบทำคดีหรือไม่? 


นี่ก็มีการออกหนังสือเชิญผมไปให้ข้อมูลให้ปากคำเนื่องจากผมเป็นคนโพสต์ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ผมได้รับมาว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น ผมก็ยินดีไป ผมมั่นใจขึ้นว่าความยุติธรรมมันเป็นเรื่องจับต้องได้ ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะช่วยกันหรือเปล่า เขาจะบังให้กันหรือไม่อย่างไร หรือกลุ่มผู้ก่อเหตุตกลงเกี่ยวข้องกับคนในสน.ขนาดไหน? ผมว่าให้กองปราบเข้าไปทำหน้าที่น่าจะเกิดบรรยากาศ อย่างน้อยที่สุดสภาพจิตใจของคุณแม่หรือครอบครัวของน้องน่าจะดีกว่านี้ นายณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #15ปีแล้วนะไอ้สัส #ขับรถยนต์ชนรถถัง