วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2564

คณะกรรมการจัดงาน 45 ปี 6 ตุลา 19 และสภานักศึกษามธ. ยืนยันจัดงานที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไม่ควรพลาดงานนี้!

 


คณะกรรมการจัดงาน 45 ปี 6 ตุลา 19 และสภานักศึกษามธ. ยืนยันจัดงานที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไม่ควรพลาดงานนี้!


วันนี้ (28 ก.ย. 64) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ห้องสภานักศึกษา องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการแถลงข่าวการจัดงานรำลึก “45 ปี 6 ตุลา 19” โดยนายสุเทพ สุริยะมงคล ประธานคณะกรรมการจัดงานฯ กล่าวในฐานะที่ตนได้รับการแต่งตั้งจาก รศ.เกศินี วิทูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เป็นกรรมการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ครบรอบ “6 ตุลา 2519” ประจำปี แม้เวลานี้อยู่ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่การจัดงานดังกล่าวจัดในที่โล่งแจ้ง ประกอบกับการที่ ศบค. ได้มีมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ แม้กระทั่งโรงภาพยนตร์สามารถเปิดได้ ร้านอาหารสามารถมีดนตรีเล่นได้ การจัดงานเพื่อรำลึกถึงวีรชน 6 ตุลา ผมมองไม่เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมทางมหาวิทยาลัยไม่ให้เราจัดงาน นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องจัดการแถลงข่าวเพื่อยืนยันที่จะจัดงานฯ ในสถานที่จริง เราจะมีพิธีกรรมเพื่อระลึกถึงคนตายในวันที่ 6 ตุลา มีพิธีสงฆ์ มีการกล่าวปาฐกถา มีการวางพวงหรีดมาลา

 

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส กล่าวว่า เราจะจัดงานครบรอบ 45 ปี 6 ตุลา 19 ที่ธรรมศาสตร์ เราตกลงใจร่วมกันในฐานะเป็นกรรมการจัดงานที่ทางมหาวิทยาลัยแต่งตั้งขึ้น เรายืนยันที่จะดำเนินการจัดงานดังกล่าวที่หน้าลานประติมากรรม หน้าหอประชุมใหญ่ ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2564 เวลา 07.00 น. อย่างแน่นอน ภายใต้การระมัดระวังเรื่องการระบาดของโรคโควิด-19 เท่าที่จะทำได้ โดยอาจจะจัดเป็นกิจกรรมเป็นกลุ่มละไม่เกิน 25 คน เพื่อความปลอดภัย แต่เราจะไม่เอาเรื่องโควิด-19 มาเป็นข้ออ้างเพียงเพื่อที่จะไม่ดำเนินการรำลึกถึงวีรชน 6 ตุลา 19

 

นายกฤษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า เหตุผลที่เราพูดกับทางมหาวิทยาลัยมาตลอดก็คือ เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ไม่ได้เป็นเรื่องของการจัดงานรำลึกอย่างเดียวและมันไม่ใช่ของธรรมศาสตร์ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ธรรมศาสตร์ก็จริง แต่ว่ามีประชาชน นิสิต นักศึกษา ทุกมหาวิทยาลัยเมื่อ 45 ปีที่แล้วเสียสละชีวิตเสรีภาพไปเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิประชาธิปไตยของประชาชนและรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ 14 ตุลา ที่เราชนะจากพวก 3 ทรราช และเราคิดว่าอุดมการณ์เหล่านี้ยังไม่สำเร็จ

 

สิ่งที่เยาวชนคนหนุ่มสาวเสียสละชีวิตในวัยรุ่นของเขามันก็ไม่แตกต่างกับเยาวชนคนหนุ่มสาวในปัจจุบันที่ต้องไปติดคุกติดตาราง โดนตีด้วยกระบอง โดนฉีดด้วยแก๊สน้ำตาหรือน้ำแรงดันสูง ซึ่งรัฐบาลเผด็จการได้ทำกับเราและกับน้อง ๆ ในรุ่นหลังนี้ สิ่งที่เราจะจัดงาน 6 ตุลาก็คือเหตุผลเดียวกับทางมหาวิทยาลัยพูดคือรำลึกถึงผู้เสียชีวิตและทำยังไงที่จะศึกษาและเรียนรู้ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก นายกฤษฎางค์ กล่าว

 

เราไม่สามารถจัดฉลองงานวันเกิดผ่านออนไลน์โดยคนไม่มาเจอกัน ผมบอกเลยว่าถ้าเราจัดงานวันที่ 6 ตุลา ปีนี้ เราจะไม่มีลักษณะของการจัดกลุ่มชุมนุมแออัดยัดเยียด อย่างน้อยที่สุดก็น้อยกว่าที่คุณประยุทธ์ไปที่สุโขทัย หรือไปกรวดน้ำท่วมที่เพชรบุรี ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่มหาวิทยาลัยจะไม่ให้เราจัด

 

ดังนั้น งาน “45 ปี 6 ตุลา 2519” เราจัดแน่นอนและจัดในธรรมศาสตร์ด้วย เพราะธรรมศาสตร์ไม่ใช่เป็นของคนธรรมศาสตร์ด้วยซ้ำ เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่แตกต่างจากเหตุผลที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยพูดหลาย ๆ ครั้ง และเหตุผลในการจัดงานก็คือ

 

1) ศบค. ได้ผ่อนปรนมาตรการหลาย ๆ อย่าง เช่น ฟิตเนตเปิดได้ ดูหนังก็ได้ ร้านอาหารก็มีดนตรีได้ ทำไมเราจะจัดงานให้วีรชน 6 ตุลา ไม่ได้

 

2) น้อง ๆ สภานักศึกษา มธ. เขาจะจัดอยู่แล้ว เพราะเขาต้องรำลึกถึงเกียรติภูมิของ ชาวมธ. ที่สูญเสียไปและรำลึกวีรชน 6 ตุลา

 

หลายคนบอกว่าการจัดงาน 6 ตุลา ไม่ใช่แค่เอาภาพความทารุณโหดร้ายมาดู มันต้องเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของคนที่สูญเสียไปด้วย เช่น ผู้หญิงนักศึกษาที่ถูกทำร้ายอย่างทรมานแล้วเอาศพไปทำทารุณกรรมทางเพศ หรือการทำร้ายเด็กอายุ 17-18 แล้วเอาไปแขวนคอที่ต้นไม้ที่สนามหลวง หรือการที่ทำลายเกียรติภูมิของ “อาจารย์ป๋วย อึ้งภากร” ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นภาระของชาวธรรมศาสตร์ผู้รักประชาธิปไตยต้องทำอยู่แล้ว นี่เป็นเหตุผลชัดเจน และวันนี้เป็นโอกาสที่เราทำมาตลอด เราก็ยังยืนยันอยู่

 

สุดท้ายขอเชิญชวนผ่านสื่อมวลชนว่า นักเรียนนิสิตนักศึกษาเยาวชนที่อยากเรียนรู้เหตุการณ์ในวันนั้น อย่างน้อยที่สุดในปีนี้เราก็มีรายการต่าง ๆ ที่จะสามารถอธิบายให้เข้าใจประวัติศาสตร์ได้มากขึ้น มีหนังสือที่ธรรมศาสตร์เองก็เป็นคนทำเกี่ยวกับเรื่องนี้แจก

 

สำหรับรายการที่จัดครบรอบ “45 ปี 6 ตุลา 19” ในเวลา 07.00 น. เริ่มต้นด้วยการตักบาตรทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลและรำลึกถึงวีรชนที่เสียสละชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บพิการ และผู้ที่ถูกเสื่อมเสียเกียรติภูมิ รวมทั้งท่านอาจารย์ป๋วย อึ้งภากร จากนั้นก็จะมีการวางหรีดจากผู้แทนขององค์กรต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น สภานิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็มีตัวแทนกลุ่มต่าง ๆ จากนั้นก็จะมีการกล่าวปาฐกถาในเหตุการณ์ 6 ตุลา ในการครบรอบ 45 ปี และมีการเปิดนิทรรศการเกี่ยวกับ 6 ตุลา 19 ซึ่งจะเปิดแค่วันเดียว โดยจัดในพื้นที่ที่เหมาะสมและรับประทานอาหารร่วมกัน

 

และขอยืนยันว่าการจัดงานดังกล่าว ตลอดงานเราจัดกิจกรรมภายใต้การระมัดระวังการแพร่กระจายของโรคไวรัสโควิด-19 มีระบบคัดกรอง มีการเว้นระยะห่าง มีการขอให้สวมหน้ากากอนามัย ถ้าเป็นไปได้จะมีการจัดในแต่ละกลุ่มไม่ให้หนาแน่นเกินไป และที่สำคัญก็คือยังยึดถืออยู่ว่าทำอย่างไรที่จะฟื้นฟูเกียรติภูมิของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ทำอย่างไรที่จะสานปณิธานของวีรชนเหล่านั้นให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยตามที่เขาต้องการ ไม่ใช่เป็นเครื่องเล่นของนักการเมืองหรือทหารที่ก่อการรัฐประหารตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรที่จะไม่ให้มีการปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยอย่างโหดร้ายทารุณอย่างที่ผ่านมา สุดท้ายคือเอาคนผิดมาลงโทษ ไม่ว่าคนผิดนั้นจะตายไปหรือยัง การลงโทษคือการลงโทษทางสังคมเพื่ออธิบายให้สังคมเห็นว่าสิ่งที่คุณทำในอดีตเป็นสิ่งที่ผิด

 

ขอเชิญชวนทุกท่านโดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาวมาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันที่ 6 ตุลานี้  เพราะการจัดงานในปีนี้เรามีรูปแบบการจัดงานที่สามารถอธิบายเรื่องของ 6 ตุลา 19 ให้กับคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จะเข้าใจได้ง่าย นายกฤษฎางค์ กล่าว

 

ส่วนกิจกรรมในช่วงบ่าย น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ “อั๋ว” กล่าวว่า พวกเรายืนยันจะจัดงานในสถานที่จริงแม้ว่าจะโดนมหาวิทยาลัยต่อต้านและยังไม่มีการอนุมัติให้จัดงาน ทางสภานักศึกษา มธ. ท่าพระจันทร์ ได้ทำเอกสารขอใช้สถานที่ไปตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. ขอให้สื่อมวลชนจับตาดูคำตอบจากทางมหาวิทยาลัยในวันที่ 1 ต.ค. นี้

 

การจัดงานครั้งนี้ไม่ใช่การรำลึกเพียงอย่างเดียว เรามองว่าการต่อสู้ยังไม่จบ ตั้งแต่ปี 2519 หรือในอดีตที่ผ่านมา เรายังต้องต่อสู้กับเผด็จการและทรราชอยู่ จนมาถึงปีนี้ ปี 2564 ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม คนที่ตายในเหตุการณ์ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ประวัติศาสตร์ยังไม่ได้ถูกชำระ คนที่ผิดก็ยังไม่ได้ถูกนำไปลงโทษ เรามองว่าสังคมจะเป็นแรงหนุนให้เหตุการณ์เหล่านี้ยังอยู่ในความทรงจำและการต่อสู้ของคนรวมถึงเรื่องความยุติธรรม เราคิดว่าทางภาครัฐก็ไม่น่าคืนความยุติธรรมให้กับคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ เราคิดว่าประชาชนคนที่ยึดมั่นในประชาธิปไตยจะเป็นผู้คืนความยุติธรรมให้กับวีรชน 6 ตุลา รวมถึงหลาย ๆ คนที่ผ่านเหตุการณ์มา และถึงปัจจุบันที่นักศึกษายังไม่เคยได้รับความยุติธรรมจากระบบของไทยเลย

 

การจัดงานวันที่ 6 ตุลา นอกจากจะมีความสำคัญของการครบรอบ 45 ปีแล้ว ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่เราจะได้ร่วมกันประกาศอีกครั้งว่าเรายังสู้ต่อไปและการต่อสู้ยังไม่จบ การต่อสู้ยังคงเป็นการต่อสู้ แม้จะมีโควิดหรือเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ ที่จะมาบีบก็ตาม “อั๋ว” กล่าว

 

ต่อมารองประธานสภานักศึกษา มธ. ท่าพระจันทร์ กล่าวถึงกิจกรรมในส่วนของนักศึกษา ในช่วงเย็นจะมีการจัดนิทรรศการต่าง ๆ มีป้ายผ้า มีการจำลองเหตุการณ์ รวมถึงป้ายต่าง ๆ ทั่วพื้นที่ มีการเชิญคนมาปราศรัยพูดเรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลา และยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่ขอปิดเอาไว้ก่อน  สุดท้ายที่บอกว่าคนตายยังไม่ได้รับความเป็นธรรม เราจะร่วมกันทวงความเป็นธรรมให้พวกเขา เรียกร้องไปยังอาชญากรที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกร้องให้ถึงบ้านพวกเขาว่าเราจะไม่ยอม เราจะส่งจดหมายไปหาพวกเขา เรียกร้องให้พวกเขารับผิดชอบในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไป

 

ในฐานะนักศึกษาและในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมประชาคมมธ. ผมขอแจ้งว่า นักศึกษามธ. หน้าที่ของเราไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อหวังมุ่งเพียงปริญญา แก่นแท้และจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์คือการที่เราคิดถึงสังคม การที่เรามีจิตวิญญาณ มีอุดมการณ์เพื่อสังคม 6 ตุลา เองก็ไม่ใช่เพียงแค่หน้าประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้หน้าหนึ่ง ผ่านเหตุการณ์ไปแล้วคนจะลืม แต่ 6 ตุลา มันคือสายธารแห่งจิตวิญญาณ สายธารแห่งอุดมการณ์ ในสังคมที่ไม่อุดมพัฒนา ในสังคมที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้ จิตวิญญาณของ 6 ตุลา เป็นอะไรที่ยังคงต้องดำรงอยู่และควรดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าที่เราจะได้สังคมที่เราใฝ่ฝัน

 

นายกฤษฎางค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันจัดงาน “45 ปี 6 ตุลา 19” จะมีการมอบรางวัล จารุพงษ์ ทองสินธุ์ ซึ่งเป็นรางวัลนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้กับเยาวชน และปีนี้คณะกรรมการสภานักศึกษาได้คัดเลือกแล้วว่าจะมอบให้กับ “พริษฐ์ ชิวารักษ์” หรือ “เพนกวิน” ซึ่งถ้าได้ประกันตัวมาก็คงจะมารับเอง ถ้าไม่ได้ประกันตัวอาจจะมอบให้แม่หรือพ่อหรือน้องสาวมารับแทน

 

อีกเรื่องคือขณะนี้นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนกำลังรวบรวมเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา รวมทั้งพฤษภาทมิฬ และเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 เรามองเห็นแล้วว่าอันนี้เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างทารุณโหดร้ายตามความหมายของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยอาชญากรสงคราม กรณีนี้ไม่มีอายุความ ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ก็นำตัวไปขึ้นศาลได้ แม้ประเทศไทยในรัฐบาลชุดก่อนจนถึงชุดนี้ยังไม่ยอมรับเข้าเป็นภาคีก็ตามแต่ แต่อาชญากรสงครามที่กระทำความผิดต่อมนุษยชาติไม่ได้รับการยกเว้น ถ้านำตัวไปขึ้นศาลที่กรุงเฮกได้ก็ต้องขึ้น นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนกลุ่มนี้กำลังดำเนินการเรื่องนี้ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ 45 ปี 6 ตุลา เป็นความก้าวหน้าทางกฎหมายอันหนึ่งที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ นายกฤษฎางค์ กล่าวในที่สุด.

 

#45ปี6ตุลา19





#UDDnews #ยูดีดีนิวส์