“รุ้ง
ปนัสยา” อ่านบทกวีของ “เพนกวิน” ด้วยความคิดถึงเพื่อนมาก ๆ
ย้ำพวกเราแค่ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า ไม่ได้มีเจตนาอะไรมากไปกว่านั้น
เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็มีหมายจับ!
วานนี้
(18 ก.ย. 64) ที่ สวนครูองุ่น ซอยทองหล่อ ซึ่งเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ
ศิลปะนานาพันธ์ ศิลปะประชาธิปไตย : ครบรอบ 45 ปี เหตุการณ์ 6
ตุลาคม 2519 ซึ่งจัดโดย ศิลปะนานาพันธุ์ ร่วมกับ ทะลุฟ้า และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชมได้ตั้งแต่วันที่
18 ก.ย. 64 ไปจนถึง 14 ต.ค. 64
โดยในงานดังกล่าวผู้จัดได้เชิญ
“รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หนึ่งในแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นักศึกษาผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญและเคยถูกจำขังในระหว่างพิจารณาคดีที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
ลาดยาว เป็นเวลา 60 วัน ได้มาอ่านบทกวี
“รุ้ง
ปนัสยา” กล่าวว่า คนที่เชิญให้มาก็ให้มาอ่านกวีซึ่งมีกลอนหนึ่งที่เพนกวิน พริษฐ์
ชิวารักษ์ เคยแต่งให้เราและรวมถึงผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนที่ถูกขังอยู่ ณ
เวลานั้น กลอนชิ้นนี้ถูกแต่งขึ้นตอนที่พวกเราถูกจับและถูกขังเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่
15 ต.ค. 63 จากการที่เราไปล้อมทำเนียบรัฐบาล และวันนั้นก็เป็นวันแรกที่ทำให้เราเห็นว่ารัฐไม่แยแสต่อประชาชนมากแค่ไหน
และรัฐพร้อมที่จะทำร้ายประชาชนรวมถึงเยาวชนในทุกทาง เพียงเพื่อกำจัดผู้ที่เห็นต่าง
พวกเราเพียงแค่นักศึกษาที่ใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า
เราไม่ได้มีเจตนาอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่เราเชื่อจริง ๆ
ว่าอนาคตของประเทศไทยจะดีกว่านี้ได้ เราเชื่อจริง ๆ
ว่าเมื่อประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง
ในจุดสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ชนะ เราเชื่อจริง ๆ
และกลอนชุดนี้เป็นกลอนที่มันทำให้เราคิดถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนจำตอนนี้มาก
ๆ (มาถึงตอนนี้น้ำเสียงของ “รุ้ง ปนัสยา” สั่นระคนด้วยความเจ็บปวด) ทุกคนถูกขัง
ทุกคนถูกทำร้าย ทุกคนถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพียงแค่เขาอยากมีอนาคตที่ดีขึ้น
เพียงแค่เขาทำเพื่อคนอื่น นี่คือสิ่งที่รัฐกำลังทำกับเราในทุก ๆ วัน
และทำอยู่อย่างไม่จบสิ้น อย่างวันนี้ที่รุ้งมาอยู่ตรงนี้ตอนนี้รุ้งเองก็มีหมายจับอยู่เหมือนกัน
เพิ่งรู้เมื่อวานว่ามีหมายจับเหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะถูกเอาไปเมื่อไหร่
แต่สุดท้ายแล้วยังไง? สุดท้ายแล้วเขาก็ทำเราได้แค่นี้
จากนั้น
“รุ้ง ปนัสยา” ได้อ่านบทกวีที่ “เพนกวิน” แต่งให้โดยมีความว่า
"ฟ้าขื่นค่ำคืนหนาว ยะเยือกร้าวกระดูกไข
ลมพัดโหมซัดไอ
ละอองฝน กระเซ็นสาย
มองเดือนก็เดือนดับ
มองดาวอับลับแสงพราย
คืนนี้นอนเดียวดาย
ในกรงขัง อันวังเวง
เงี่ยหูฟังสุ้มเสียง
หาใช่เสียงดนตรีเพลง
คือถ้อยร้อยบรรเลง
แห่งคืนมืดประโคมขาน
ที่ฟาดคือฟ้าร้อง
ใช่เสียงกลอง ย่ำโมงกาล
ที่ดัง
แว่วกังวาน ใช่กระดิ่ง คือโซ่ตรวน
ที่หวีดมาหวิวหวิว
ใช่ขลุ่ยผิวหากลมหวน
ที่ขับคันธัพครวญ
คือเสียงเพรียกของผู้คน
เสียงคนผู้จนยาก
ได้ยินจากทุกแห่งหน
เพลงเข็ญยังเล่นวน
ระงมเลื่อนมิเลือนหาย
คืนนี้แน่คืนยาก
ดังใจพรากพลัดจากกาย
ความเป็นคนมลาย
พายุห้ำกระพือโหม
เธออาจจะหวาดหวั่น
เมื่อฟ้าลั่นประจัญโจม
หากฟ้าที่ถาโถม
ย่อมวัดมาตรขนาดใจ
เหล็กกล้าที่แกร่งดี
ต้องถูกตีและผ่านไฟ
คนกล้ายิ่งกว่าใคร
ต้องผ่านภัยใจจึงทน
มีสู้ย่อมมีเจ็บ
และหนาวเหน็บในบางหน
แต่เพื่อประชาชน
จงทนทุกข์อย่างทนทาน
เพื่อเกียรติภูมิมั่น
จงยิ้มหยันอย่างอาจหาญ
แสนปืนทั้งหมื่นมาร
ฤ จะสู้เพียงหนึ่งใจ
ที่ยืนหยัดในศรัทธา
ทนงกล้าบนทางไกล
อำนาจทมิฬใด
มิอาจข่มให้ก้มหัว
แม้ฝนกระหน่ำฟ้า
จงเชิดหน้าอย่าเกรงกลัว
ประกาศให้รู้ทั่ว
ว่าฟ้าใหม่คืบใกล้มา
ถึงวันที่แสงส่อง
อำไพผ่องทั่วท้องนภา
ผองคนบนผืนหล้า
จะลั่นกลองอย่างเกรียงไกร
วันนั้นคือวันพรุ่ง
ย่อมเห็นรุ้งอร่ามไกล
มวลชนจะมีชัย
และเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"
เมื่ออ่านบทกวีจบ
“รุ้ง ปนัสยา” ได้กล่าวต่อว่า ขอให้ทุก ๆ การเคลื่อนไหว ในทุก ๆ
คำพูดที่ถูกพูดออกมา ในทุก ๆ การกระทำที่ถูกทำออกมาหรือผ่านกาย
ให้เป็นแรงขับเคลื่อนของทุกคนทั้งในขบวนการ ทั้งประชาชนคนทั่วไปหรือจะเป็นคนที่ยังหลับหูหลับตาและยังไม่สนใจ
ณ ขณะนี้ ได้เป็นแรงที่จะบอกทุกคนว่า สุดท้ายแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
สุดท้ายแล้วไม่ว่าในการเคลื่อนไหวจะมีคนสูญหายหรือดับสูญ หรือมีใครที่ต้องหลุดออกจากวงโคจรไป
ขอให้ในทุก ๆ ครั้งเป็นกำลังใจให้คนที่ยังอยู่และคนที่ยังอยากสู้ว่า “ประชาชนจะชนะ
ประชาชนจะชนะในที่สุด” ขอบคุณค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์