วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

ธิดา ถาวรเศรษฐ : จะหาทางออกให้ประเทศ หรือจะดันทุรังให้เกิดความรุนแรง!

 


เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 63 เวลา 13.20 น. อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวในการทำเฟสบุ๊คไลฟ์ที่แฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ และยูทูปไลฟ์ ช่อง UDD news Thailand ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากรัฐสภาที่มีการเลื่อนไม่ลงมติ ทั้ง ๆ ที่พรรครัฐบาลก็ได้ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคฝ่ายค้านก็ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ สรุปแล้วเป็นการเลื่อน อันนี้เป็นการโหวตตามวิถีทางรัฐสภา ซึ่งฟังดูเหมือนกับก็แค่เลื่อนไป 1 เดือน


แต่จากคำอภิปรายในรัฐสภาวันนั้นของ ส.ว. และผลที่จะเกิดขึ้นจากการที่เลื่อนไป 1 เดือน มันทำให้มองได้ว่าไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะว่าคำพูดของ ส.ว. ทั้งหลายในการอภิปรายวันนั้นล้วนบ่งบอกให้เห็นว่าไม่มีความเชื่อมั่นที่จะใช้วิถีทาง สสร. เหมือนที่บอกว่าคุณจะไปตีเช็คเปล่าให้เขายังไง? ในขณะเดียวกันก็มีคนถามว่าแล้วคุณจะเขียนเช็คเองหรือเปล่า? นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น


คำอภิปรายทั้งหมดมันบ่งชี้ถึงความเป็นตัวตนของกลุ่มสุดโต่ง พวกอนุรักษ์นิยมแบบสุดขั้ว ที่ยังไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน ไม่มีความแน่ใจ แล้วก็โยนมาถึงเป็นความชั่วร้ายกระทั่งม็อบ ในเวทีรัฐสภาอาจจะไม่ได้โจมตี ส.ส. กันมาก อาจจะไม่ได้โจมตีพรรคการเมืองมาก แต่โน่น...ไปกลัวว่าอนาคตจะอยู่ในมือคนที่เชื่อถือไม่ได้ ต้องมีแต่ ส.ว. และกลุ่มตัวแทนที่สนับสนุนการทำรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจเท่านั้นถึงจะมีความชอบธรรม


ดังที่ดิฉันเคยบอกว่า กว่าที่เขาจะทำรัฐประหารหนึ่ง กว่าที่เขาจะเขียนรัฐธรรมนูญหนึ่ง กว่าเขาจะลงมติหนึ่ง มาจนถึงขั้นนี้เขาต้องลงทุนมากมาย ดังนั้นมันยากมากหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบเปลี่ยนแปลง คืนอำนาจให้กับประชาชน


ในบางส่วนซึ่งเขาคิดว่าเขาอาจจะอนุโลมให้ได้ ก็มีบางส่วนอาจจะออกมาพูด ก็คือไม่ให้ สสร. แก้ไข แต่พวกเขาจะแก้บางประเด็น อันนี้ดูจากที่ ส.ว. อภิปรายประมาณนั้น หมายความว่าเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเอาไว้แทบไม่ให้แก้เลย แก้ยากมาก นั่นแปลว่า ส.ว. ต้องร่วมมือด้วย


ดังนั้นสามารถตอบได้เลยว่า วิถีทางรัฐสภาดูจะเป็นไปไม่ได้เลยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ


เรามาดูข้อเสนอของเยาวชน ประชาชนปลดแอก และพี่น้องประชาชน 3 ข้อ ก็คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ, หยุดคุกคามประชาชน และยุบสภา แล้วก็แถมด้วย “ประยุทธ์” ออกไป 4 ข้อนี้ดูมันเป็นไปไม่ได้สักข้อ


หยุดคุกคามประชาชนไหม? ไม่หยุดเลย

แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ไหม? แก้ไขไม่ได้เลย

เรื่อง “ยุบสภา” เหรอ ถ้ายุบแล้วเชื่อมั่นว่าจะได้กลับมา ก็อาจจะเป็นไปได้

นั่นก็แปลว่าคุณต้องยุบสภาอยู่บนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญฉบับนี้


นั่นก็คือ วิถีทางรัฐสภาไม่สามารถหาทางออกให้กับประเทศเลย เพราะว่าดิฉันตั้งประเด็นว่า “จะหาทางออกให้ประเทศหรือจะดันทุรังให้เกิดความรุนแรง”


“รัฐสภา” เป็นวิถีทางออกที่ง่ายสุด ที่เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดี ไม่ต้องเกิดความรุนแรง ถ้าฝ่ายที่แย่งอำนาจมาจากประชาชน ทำรัฐประหารและอยู่มาแล้วตั้ง 6 ปี แล้วขณะนี้มาเป็นรัฐบาล แล้วก็ใช้กลวิธีที่แย่มากในการที่ตัวเองมาตั้งรัฐบาลจนได้ (ดึงเสียงมาให้อยู่ในมือ) แสดงออกให้เห็นว่าเมื่อไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน ก็แสดงออกโดยวิถีทางรัฐสภา ก็คือ ถ้ารัฐบาลสั่งการ หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยมตัวเอ้ ๆ ที่มีบทบาทสูง (เอาง่าย ๆ ตอนนี้ก็ 3ป) ถ้าสั่งการบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญตาม สสร. เพราะนี่มันเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด ถ้าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผู้มีอำนาจ จารีตนิยม ตกลงกันว่าจะหาทางออกให้กับประเทศ ไม่ให้เกิดความรุนแรง คุณก็ต้องใช้วิถีทางรัฐสภาในการหาทางออกให้กับประเทศ

 

แต่ว่าการเลื่อน คุณอาจจะบอกว่าก็แค่เลื่อน แต่ในการแค่เลื่อนมันมีผลตามมามากมาย ในนี้เราเห็นถางทางไปแล้วว่ามันไปไม่ได้ เพราะว่าในคำอภิปรายและความพยายามในการที่จะคว่ำ สุดท้ายก็ใช้วิธีเลื่อน เหตุผลเพราะว่าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลจำนวนหนึ่ง จะเป็นประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย ไม่แฮปปี้ในการที่ไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญ เพราะทั้งประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยดูประมาณว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของ พปชร. ซึ่งยังไม่เหมือนกับของฝ่ายค้าน ไม่เหมือนกับของประชาชนที่เสนอโดย iLaw


มันเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่า เขาไม่เลือกใช้วิถีทางรัฐสภา ดังนั้นก็เหลือทางเดียวก็คือคุณจะดันทุรังว่าไม่ต้องมีทางออก เพราะดิฉันดูสัญญาจากนายกรัฐมนตรีที่พูด ดิฉันเรียนตรง ๆ ว่าเป็นการพูดที่เปลือยความคิดที่น่าเกลียดมาก แต่ประเทศนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว เหมือนที่ดิฉันพูดถึงค่านิยม 12 ประการของ สมช. หน่วยงานความมั่นคง คือฝั่งอำนาจนิยม จารีตนิยม “ไม่อาย” ที่จะปล่อยความคิดและคำพูดของตัวเองออกมา เพราะคิดว่ามันดีงาม ถูกต้อง ชอบธรรม


คำพูดของนายกฯ เป็นการแสดงถึงก้นบึ้งของหัวใจและจะบอกให้รู้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เขาบอกว่า “บิ๊กตู่” ชี้ ไม่ยอมเปิดพื้นที่ให้ม็อบ เผยถ้าคนเหล่านี้ชนะประเทศอยู่ไม่ได้


ใครคือคนเหล่านี้? คนเหล่านี้คือใคร? คุณหมายถึงเยาวชนหรือ? คุณหมายความว่านี่เป็นการต่อสุ้เพื่อแพ้ชนะ หรือเป็นการต่อสู้เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ถ้าคุณคิดให้ถูก คุณจะไปคิดอะไรว่าคุณกำลังสู้กับเด็ก คุณต้องคิดเสียใหม่ว่าเรากำลังจะหาทางออกให้ประเทศ เราจะทำยังไง? ที่เด็กเสนอมามันฟังได้ไหม? 3 ข้อนี้ หยุดคุกคามเขา แก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือยุบสภา ฟังได้ไหม? (ยังไม่ต้องไปพูด 10 ข้อ) เอาเฉพาะแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือหยุดคุกคามเขา คุณก็ไม่ทำ


ไม่ต้องมาแก้ตัว เพราะว่าคือหนึ่งคุณคิดผิด คุณกำลังต่อสู้กับเด็กหรือ? แล้วจริง ๆคนเหล่านี้หมายความว่าไง? เพราะเขาขอคืนอำนาจให้กับประชาชน เขาต้องการประชาธิปไตยที่เขาชู 3 นิ้ว ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเท่าเทียม มีภราดรภาพ มันผิดตรงไหน? แล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องของการแพ้ชนะ แปลว่าอย่างไรก็ตามคุณไม่ต้องการให้สิทธิเสรีภาพ คุณไม่ต้องการให้เกิดความเท่าเทียม แล้วคุณไม่ต้องการให้เกิดภราดรภาพในประเทศนี้นั้นหรือ


คำว่า “แล้วมีปัญญาจะบริหารมั้ย” คุณเก่งแต่เฉพาะคุณคนเดียว คุณลองไปดูเด็ก ๆ 15 ปีซิ เวลาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) หรือพูดภาษาไทย เขาพูดปร๋อ แล้วเขาพูดแนวความคิดวิธีแก้ คุณทำได้เหมือนเขาไหมล่ะ?


นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องยอมก็คงไม่ยอม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย เราไม่ยอมเขาก็ไม่ยอม เราห้ามเขาก็ฝ่าฝืน ถ้าตนสั่งให้เต็มที่ไปเลยจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่”


อ.ธิดากล่าวว่า ท่านบอกว่าเขาไม่เคารพกฎหมาย ดิฉันอยากจะถามว่ากฎหมายของใคร กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือ? กฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพคนหรือ? กฎหมายเขียนโดยใครก็เพื่อรับใช้ชนชั้นนั้นนั่นแหละ เขียนโดยคณะรัฐประหาร รัฐธรรมนูญเขียนโดยคณะรัฐประหาร คสช. กฎหมายที่เขียนโดยท่านมันไม่ใช่กฎหมายของคนที่เท่าเทียมกัน มันไม่ใช่กฎหมายในระบอบประชาธิปไตย แต่มันเป็นกฎหมายที่เป็นของจารีตนิยม อำนาจนิยม ของระบอบที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมจารีตนิยม พูดให้มันชัด ๆ ไปเลย


ถามว่าแล้วเขาอยากจะอยู่ใต้กฎหมายแบบนี้ไหม? นี่จึงเป็นเรื่องที่ว่า ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำรัฐประหารถูก คุณเชื่อว่าคุณสืบทอดอำนาจถูก กฎหมายที่คุณเขียนนั้นถูกทั้งหมด คุณเป็นคนที่จงรักภักดี คุณรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พวกที่มาประท้วงไม่ให้คุณอยู่ต่อเป็นรัฐบาลล้วนเป็นพวกชังชาติ ล้วนเป็นพวกไม่จงรักภักดี ถ้าคุณถือดีอย่างนี้ ดิฉันคิดว่ามันไม่ใช่เป็นการหาทางออกให้กับประเทศนะ แต่นี่เป็นการดันทุรังให้เกิดความรุนแรง


เด็กไม่ได้ดันทุรัง แต่ผู้ใหญ่คนแก่ที่ดันทุรังมันจะทำให้เกิดความรุนแรง ซึ่งดิฉันคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง น่ากลัวมาก แล้วดิฉันอยากจะพูดคำหนึ่งก็คือว่า คุณว่าเขาชังชาติ ตรงกันข้าม เขารักชาติ แต่ชาติของเขามันไม่ใช่มีแค่แผ่นดิน มันไม่ใช่มีแค่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ชาติของเขามีประชาชนเป็นสำคัญ ลำพังมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีประชาชนในชาติอยู่สักคนหรือมีอยู่ไม่กี่คน ถามว่าจะเป็นชาติได้ไหม? เพราะฉะนั้นเขาก็รักชาติ แต่เป็นรักชาติในฐานะที่องค์ประกอบของชาตินั้นมีประชาชนเป็นด้านหลัก


เขารักสถาบันไหม? เขาก็รักสภาบัน แต่เขารักแบบคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่รักแบบคนรุ่นโบราณ คุณคิดว่าเพียงแค่การหมอบกราบและการที่ไม่มีการโต้แย้งใด ๆ แปลว่าจงรักภักดีหรือ? เขารักชาติแบบสมัยใหม่ซึ่งเป็นการรักตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ ตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย ให้สถาบันมั่นคงและอยู่กันนาน ๆ คือวิพากษ์วิจารณ์ได้ ดิฉันมองอย่างคนที่นั่งเฝ้าดูจากการผ่านประสบการณ์มานาน แล้วคนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ใครจะมาจูงจมูกได้ ไม่ใช่เป็นคนของพรรคการเมือง


มีพรรคการเมืองบางพรรคออกมาบอกว่า คล้าย ๆ กับว่ากลุ่มคนที่มามันบังเอิญมีประชาชน มีคนเสื้อแดงอยู่เป็นจำนวนมาก ถามว่าแล้วคนเสื้อแดงมีแกนนำไปสั่งให้เขาออกมาไหม? ไม่มี!!! หรือมีพรรคการเมืองบอกให้ประชาชนออกมาไหม? ไม่มี!!! เขามาของเขาเอง เพราะเขารู้ว่าเขาควรมาหรือเขาต้องมา เขาตัดสินใจของเขาเอง คุณเห็นแกนนำของพรรคการเมืองกับนปช.หรือคนเสื้อแดงไปชักชวนให้เขามามั้ย หรือไปปรากฏบนเวทีมั้ย ไม่มีใครปรากฏ ทุกคนก็คือมวลชนธรรมดา มันเป็นเรื่องของเขาเอง และนี่เป็นเรื่องที่เขาได้เปรียบทั้งวัย ทั้งในฐานะการนำ เพราะว่าเขาไม่ต้องใช้อาวุธนำ เขาไม่ต้องใช้ตำแหน่งหน้าที่นำ เอาความชอบธรรม และวัยก็เป็นของเขาเพราะเขาคืออนาคตของประเทศ


ดิฉันอยากจะบอกว่าเขารักชาติ เขารักศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามวิถีทางของคนรุ่นใหม่ พวกคุณเพิ่งฉลองธงชาติมา 100 ปี ความเป็นรัฐจารีต สิ่งทีเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความมั่นคง คำขวัญชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็มีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 แล้วธงชาติก็มีมาจนครบ 100 ปี ถามว่าคุณจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือใน 100 ปี เพราะคุณไม่ยอมเปลี่ยน เพราะถ้าคุณเป็นคนแก่ที่ดันทุรัง นี่คือการทำลายประเทศ กับเด็กเยาวชนที่กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น อาจจะเป็นเหมือนลูกวัวไม่กลัวเสือก็ได้ เพราะไม่เคยเห็นเสือ ก็แล้วแต่


แต่อย่างไรก็ตามดิฉันมองว่าอนาคตต้องเป็นของเขา คุณมีปัญญาคุณก็ชี้แจงไปซิ คุณอย่าเอากฎหมายที่คุณเขียนไปบังคับเขา คุณอย่าเอาความคิดของคุณไปบังคับเขา ต้องอยู่ด้วยเหตุผล เขาตื่นขึ้นมาไม่ใช่เพราะมีใครสั่ง แต่เพราะเขาคิดของเขาเอง


ดังนั้น ดิฉันก็คิดว่าเวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลาที่คนแก่จะดันทุรัง เพราะการดันทุรังของคนแก่คือการชังชาติ แล้วถ้าคุณจะบอกว่าสิ้นชาติก็สิ้นชาติเพราะความดันทุรัง หาทางออกให้กับประเทศ ให้วิถีทางรัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ประชาชนเสนอ ดิฉันคิดว่ามันจะเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แล้วก็ควรปรับความคิดของคุณเอง อ่านหนังสือเหมือนที่เด็กอ่านบ้าง บางทีความดันทุรังของคุณจะลดลง! อ.ธิดากล่าวในที่สุด