วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563

"เกียมอุดม"ร่วมกับ 12 กลุ่ม จัดกิจกรรม "ทำไมฉันไม่อยากมาโรงเรียน" ตามหาอนาคตการศึกษาไทย


"เกียมอุดม" ร่วมกับ 12 กลุ่ม จัดกิจกรรม "ทำไมฉันไม่อยากมาโรงเรียน" ตามหาอนาคตการศึกษาไทย

วันที่ 3 กันยายน 2563 เวลา 16.00 น. หน้าเตรียมอุดม ฝั่งประตูพญาไท กลุ่ม #เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ ร่วมกันจัดกิจกรรม  #ทำไมฉันไม่อยากมาโรงเรียน กับตัวแทนกลุ่มต่าง ๆ 12 กลุ่ม ดังนี้ HORWONG  MOVEMENT , สวที่อยู่ข้างประชาธิปไตย , ลูกบอดินไม่อินเผด็จการ , เกียมพัฒนาประชาธิปไตย , ราชบพิธพิชิตเผด็จการ , เผด็จดาร SKR DEMOCRACY , เสรีเทยย์พลัส ,Spring Movement , ตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนสาธิตย่านปทุมวัน , ตัวแทนศิษย์เก่าจากโรงเรียนราชินี , ตัวแทนครู ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล และตัวแทนที่ตัดสินใจลาออกจากระบบการศึกษาไทย

โดยก่อนกิจกรรมเริ่ม ผู้สื่อข่าวรวมทั้งนักเรียนต่างโรงเรียน ไม่สามารถเข้าไปในบริเวณด้านในโรงเรียนได้ เนื่องจากประตูปิด เจ้าหน้าที่ยืนคุม ห้ามเข้า ทั้งหมดจึงต้องยืนนอกรั้วท่ามกลางสายฝนโปรยปราย แต่ทั้งนี้นักเรียนด้านในรายงานว่า ตำรวจและนอกเครื่องแบบสามารถเข้าไปได้ ทำให้นักเรียนจากเตรียมอุดมต้องปราศรัยข้างรั้วด้านใน ส่วนนักเรียนจากโรงเรียนอื่นต้องปราศรัยข้างรั้วด้านนอก

ตอนหนึ่งตัวแทนจาก"เกียมอุดม"ปราศรัยว่าทำไมนักเรียนต้องออกมาทำกิจกรรม ส่วนหนึ่งเพราะคุณภาพการศึกษา คุณภาพครู เป็นระบบที่ไม่เอื้อต่ออนาคต และยังทำลายอนาคต มีแต่เรียน เรียน เรียน คนที่แก้ปัญหาได้คือรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่เห็นหัวประชาชน ดังนั้นจึงต้องแก้รัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ประชาชนเข้าไปคานอำนาจ อยากให้ทุกคนสนับสนุนพวกเราที่ออกมาต่อสู้เพื่ออนาคต เราพอแล้วกับระบบการศึกษาที่ทำลายประชาชน

จากนั้นตัวแทนนักเรียนที่ออกจากระบบการศึกษาได้ฝากบทปราศรัย ตอนหนึ่งกล่าวว่า "ผู้ใหญ่หลายคนบอกให้เราเลิกโทษระบบ แต่ขอถามกลับว่าระบบเคยกลับมาดูตัวเองบางหรือไม่ เด็กบางคนโทษตัวเองถึงขนาดทำร้ายตัวเอง แต่ระบบก็ยังไม่เคยกลับมาดูตัวเอง ดิฉันตัดสินใจออกจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ไม่ใช่เด็กเตรียมอุดมศึกษาที่อยากมาเรียนที่นี่ แต่เป็นความคาดหวังของพ่อแม่ เกิดขึ้นจากการจัดอันดับโรงเรียน สิ่งที่เราต้องเสียไปจากระบบการศึกษาคือสุขภาพ เวลา กลายเป็นฟันเฟืองเครื่องจักร การไปโรงเรียนทำให้เราเข้าสังคมแช่แข็ง" 

กลุ่ม HORWONG  MOVEMENT กล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกคนคงได้ยินคำว่าเงินใต้โต๊ะ เงินแปะเจี๊ย ทุกคนจ่ายค่าเทอมแต่ไม่รู้ค่าเทอมไปทำอะไร มีการโกงกินหรือไม่ ช่วงการเผยแพร่โควิด 19 หลายคนเรียกร้องให้ลดค่าเทอม แต่บางโรงเรียนกลับขึ้นค่าเทอม แล้วช่วงนัก้รียนไม่ได้ไปโรงเรียนอยากรู้ค่าเทอมเอาไปทำอะไร?
.
การแบ่งห้องเรียนมีห้องเด็กเก่ง หรือห้องคิง ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกเข้าเรียนห้องคิงต้องจ่ายค่าแปะเจี๊ย เกิดการเปรียบเทียบ การที่เราออกมาวันนี้ เพราะต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

จากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. กลุ่ม Spring Movement ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเรียกร้องให้โรงเรียนเปิดประตูรั้วเพื่อขอเข้าไปปราศรัยด้านใน และเดินมาที่ประตูรั้วอีกด้านและให้เจ้าหน้าที่ต่อสายโทรศัพท์ถึงผู้บริหาร แต่ไม่ได้รับอนุญาตจึงยืนปราศรัยบริเวณหน้ารั้วโรงเรียน เมื่อปราศรัยจบได้มีการดันรั้วจนสามารถเข้ามาภายในรั้วโรงเรียนได้ กลุ่มผู้ชุมนุมร่วมทั้งผู้สื่อข่าวจึงทยอยเดินตามเข้ามา

ตามด้วยกลุ่ม "ลูกบอดินไม่อินเผด็จการ" กล่าวตอนหนึ่งว่า ระบบการศึกษาไทยจะเน้นวิชาการ นำสิ่งเหล่านี้มาตีค่าเป็นคะแนน เน้นในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ รัฐบาลพยายามล้างสมองเรา อยากบอกรัฐบาลว่า เราไม่ใช่ผ้า เราเป็นมนุษย์ เด็กต้องไปเรียนสิ่งที่ไม่ถนัด เด็กต้องไปหาเรียนพิเศษเพิ่ม ทุกคนรู้แต่รัฐบาลไม่รู้ สรุปคือระบบการศึกษาไทยไม่มีความหมาย

ต่อมา "ครูทิว" ตัวแทนจากกลุ่มครูจะสอน กล่าวตอนหนึ่งว่า ครูต้องทำทุกอย่างทั้งงานเอกสารและงานอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่งานที่ครูต้องทำ งานของครูคือการออกแบบงานสอน ขณะที่การประเมินยังประเมินด้วยเอกสาร ระบบความดีความชอบบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน ทั้งนี้กระทรวงกำลังจะมีหลักสูตรฐานสมรรถนะออกมาลบหลักสูตรเก่า แต่ถามว่าถ้าเด็กยัง 40-45 คนต่อห้อง ครูจะดูแลเด็กทั่วถึงได้อย่างไร โรงเรียนใหญ่ ๆ รับเด็กมากเพราะอยากได้เงินรายหัว ดังนั้นครูจะดูแลเด็กทั่วถึงได้อย่างไร อยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่าเรามาโรงเรียนทำไม เพื่อเรียนรู้ เพื่อรู้จักตัวเอง ฯลฯ ทุกครั้งที่ตนตั้งคำถามนี้ เด็กส่วนใหญ่อยากรู้จักตัวเอง แต่โรงเรียนกลับทำหน้าที่ขัดเกลาเหมือนเด็กเป็นกระดาษ

ปิดท้ายด้วยกลุ่ม "ราชบพิธพิชิตเผด็จการ" จำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา 19  ชี้การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เชิญชวนทุบกะลาเพื่อพัฒนาประเทศ

โดยมีนักเรียนชายคนหนึ่งถูกเพื่อนผลักล้มลงไปนอนกับพื้น มีเชือกแขวนกระดาษที่มีข้อความว่า "การมีส่วนร่วมของประชาชน" ผูกไว้ที่คอ จากนั้นมีเพื่อนนักเรียนเทสีดำลงบนตัว เปรียบแทนสีเลือดที่นองอยู่บนพื้นนานกว่า 44 ปี ขณะที่นักเรียนคนอื่น ๆ เข้ามาล้อมวงพร้อมชูสามนิ้ว 

จากนั้นอ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า "หลายคนนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาต่อต้านพวกเราเหมือนเขียนเสือให้วัวกลัว คำว่าการเมืองไทยได้ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่ทุกคนพยายามทำคือบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก ทำให้เราเอือมระอา แต่พวกคุณทำให้มันหมดความน่าเชื่อถือ ขอให้คนรุ่นใหม่ออกมาล้างตรงนี้ ทำให้การเมืองเป็นหน้าที่ของทุกคน ออกมาบอกถึงปัญหา สิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลง ต่อจากนี้กะลาได้แตกจนสิ้นแล้ว ปัจจุบันคนออกมาเรียกร้องทุกเรื่อง ทั้งการศึกษา เรื่องเพศ เพราะมันพังทั้งระบบ อาจต้องใช้เวลา แต่ต้องทำเพื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ที่เราทำไปไม่ได้แปลว่าเราก้าวร้าว ไม่รักชาติ แต่อยากเห็นชาติพัฒนา ไม่ใช่ทนเห็นผู้ใหญ่มาโกงกิน สิ่งที่สำคัญคือคนไทยทุกคนต้องเท่าเทียมกัน"
.
นอกจากนี้ยังได้กล่าวว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำกับคำว่าการเมืองคือการกีดกันว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก พยายามบอกว่านี่คือเรื่องของผู้ใหญ่ แต่เรารู้สึกเอือมระอากับการเมืองปัจจุบัน เพราะทั้งการโกงกิน กดขี่ข่มเหงประชาชน การช่วยเหลือพวกพ้อง การแจกกล้วย ขายตัว การมีงูเห่า เด็กผู้ชายค้าแป้ง เด็กสมบูรณ์ฝาเขียวกับนาฬิกาเพื่อนผู้ล่วงลับ นางปิรันย่าบุกรุกป่า ไหนจะน้องร้องอยากซื้อเรือดำน้ำอีก นอกจากนี้ยังเล่นเกมกันไปมา ล่าสุดคือจะต่อยกันเองเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น ไม่เห็นหัว ไม่เกรงใจประชาชน จึงขอเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่ออกมาล้างคำสาปเหล่านี้ ทำการเมืองให้เกิดใหม่เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชน

18.30 น. โดยประมาณ กิจกรรมจบลงก่อนแยกย้ายด้วยความเรียบร้อย

#UDDnews #ประชาชนปลดแอก

ประมวลภาพกิจกรรม