อยากจะส่งเสียงไปให้ถึงรัฐสภาเหมือนกันว่า
ช่วยเอาอำนาจของ ส.ว. ตรงนี้ออกไป แล้วเปิดทางให้ประชาชนได้ใช้อำนาจของตัวเองในการออกแบบเครื่องมือในการบริหารประเทศของพวกเราเสียที
ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 63 คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ได้จัดเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ไม่แก้ไข...เขียนใหม่เท่านั้น" ที่ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมเวทีเสวนาและเป็นตัวแทนจากกลุ่มมหานครฯ คือ "มายด์" ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ซึ่งได้แสดงทัศนะต่อรัฐธรรมนูญ 60 ไว้อย่างน่าสนใจ มีรายละเอียดดังนี้
"มายด์" เริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า ขณะนี้ทำไมทุกคนถึงอยากมีรัฐธรรมนูญใหม่?
ทำไมหลายคนออกมาตั้งคำถามถึงรัฐธรรมนูญ 60 ว่าจริง ๆ แล้วรัฐธรรมนูญ 60
ให้อำนาจกับเรามากน้อยแค่ไหน?
เริ่มจากที่มาของรัฐธรรมนูญ
60 คือเริ่มจากคณะรัฐประหาร คสช.นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการฉีกรัฐธรรมนูญ
ฉีกอำนาจเดิมของประชาชนและได้รวบอำนาจไว้ที่ตัวเอง
และตั้งกลุ่มคนมาเป็นคณะกรรมการเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ชุดแรกนำโดยคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญชุดแรกถูกคว่ำไป โดยต่อมาคุณบวรศักดิ์ได้ให้เหตุผลว่า “พวกเขาอยากอยู่ยาว”
คำว่า
“พวกเขาอยากอยู่ยาว” เป็นที่น่าสงสัยว่าในเมื่อ คสช.
ได้ก่อการรัฐประหารด้วยเหตุผลที่เข้ามาบอกว่าอยากจะคืนความสุขให้กับประชาชน
เข้ามาขจัดปัญหาความขัดแย้งในสังคมเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน
แต่ทำไมพวกเขาอยากอยู่ยาว อันนี้น่าคิด! มายด์กล่าว
การที่พวกเขาบอกว่าอยากอยู่ยาว
มันเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากคืนอำนาจให้กับประชาชนหรือเปล่า? นี่เป็นสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม
ตอนแรก
ๆ หลายคนอาจจะมองว่า คสช. เข้ามาเป็นฮีโร่ในการทำให้สังคมสงบมากขึ้น
แต่ด้วยการทำงานต่อมามันไม่ใช่เลย มันเป็นการรวบอำนาจไว้ที่ตัวเอง
รวมถึงรัฐธรรมนูญ 60 ที่ถูกออกแบบโดยกลุ่มคนที่เขาเลือกมา
ก็เป็นการกำหนดอำนาจไว้อย่างชัดเจนว่าอำนาจพวกเขาจะต้องมีมากสูงสุด ไม่ใช่ประชาชน
ย้อนกลับมาหลังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดคุณบวรศักดิ์ถูกคว่ำไป
คสช. ก็ตั้งคณะกรรมการใหม่ขึ้นมาซึ่งนำโดยคุณมีชัย ฤชุพันธุ์
เป็นเหมือนพ่อมดที่สามารถเสกอำนาจให้กับใครก็ได้
เป็นคนที่มีความถนัดในการออกแบบรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดอำนาจโดยเฉพาะเจาะจง คุณมีชัยได้ทำการร่างรัฐธรรมนูญ
60 และได้ให้ฉายาว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” ซึ่งมันดูขัด ๆ
เพราะว่าถ้าเราดูเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 60 มันค่อนข้างที่จะเอื้อประโยชน์ให้เขาดูเหมือนโกงมากกว่าอีก
อันนี้ก็ต้องพูดกันตามตรง
หลังจากนั้นได้มีการทำประชามติ
พูดกันตามความเป็นจริงในบรรยากาศ ณ ตอนนั้น
เป็นบรรยากาศที่คสช.ยังคงมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศ การรณรงค์
การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ได้ถูกกดทับ ประชาชนถูกปิดตา
ปิดปาก ปิดเสียง ปิดการรับรู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นมันจะส่งผลกับเรายังไงบ้างในอนาคต
เพราะการจำกัดการเข้าถึงของรัฐบาลคสช.ในยุคนั้น
โดยมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ออกมารณรงค์ ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 60
ออกมาประชาสัมพันธ์ให้คนหลาย ๆ
คนได้รู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มันจะมีผลกับพวกเรายังไง?
พวกเขาเหล่านั้นกลับถูกดำเนินคดี ก่อนวันทำประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค.
ได้มีผู้ถูกดำเนินคดีเป็นจำนวน 195 คนเป็นอย่างน้อย
มันจึงเกิดการตั้งคำถามว่า
ในเมื่อบ้านเราเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำไมคนที่แค่ออกมาพูดว่าร่างรัฐธรรมนูญที่มันกำลังจะเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศมันมีผลต่อประชาชนในอนาคตยังไง
ทำไมพวกเขาถึงต้องถูกดำเนินคดี
ทำไมพวกเขาถึงไม่มีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์เครื่องมือของพวกเขาได้ มันน่าสงสัยมาก
ๆ ตรงที่ว่า อย่างนี้อำนาจของประชาชนอยู่ตรงไหน?
มันเป็นข้อครหาที่ประชาชนหลายคนก็ยังตั้งคำถามมาโดยตลอดว่า
ในเมื่อตอนนั้นมันถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น
แล้วรัฐธรรมนูญ 60 มันจะเป็นประชาธิปไตยได้ยังไง?
เมื่อมีการทำประชามติเมื่อ
7 ส.ค. ก็มีประชาชนส่วนใหญ่ก็ออกมาโหวตรับร่างฯ ประมาณ 15 ล้านเสียง
ซึ่งเราก็ยอมรับได้เพราะว่ามันเป็นเสียงของประชาชน แต่ในมุมมองของมาย์
มองว่าประชาชนที่โหวตรับ ณ
ตอนนั้นส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะพวกเขาเองก็คงอยากได้ประชาธิปไตยไว ๆ เหมือนกัน
คงอยากได้รัฐธรรมนูญที่มันเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศในแบบประชาธิปไตยเหมือนกัน
และพวกเขาก็มีความหวังว่าเมื่อเราได้รัฐธรรมนูญ 60 มาแล้ว
พวกเขาจะสามารถอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยได้
แต่หลังจากผ่านการโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญนั้นมา
เราได้เห็นชัดหลายอย่างถึงอำนาจที่มันถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่า
อำนาจส่วนใหญ่ไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชน แต่กลับไปตกที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมคือการที่มีอยู่ของวุฒิสภา
250 คน ถ้าเราไปดูรายละเอียดของรัฐธรรมนูญจริง ๆ
เราจะเห็นการกำหนดอำนาจที่เกินกว่าขอบเขตของพวกเขา
วุฒิสภา
250 คนชุดนี้ไม่ได้มาจากประชาชน คณะรัฐประหารเป็นคนแต่งตั้งเขามา
ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลือกเขาเลย
แต่อำนาจที่พวกเขามีมันกลับเกินไปกว่าขอบเขตที่พวกเขาควรจะได้มี
ซึ่งถามว่าอย่างนี้มันชอบธรรมกับประชาชนดีแล้วหรือ?
อันนี้เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนเลยว่าอำนาจมันไม่ได้อยู่ที่ประชาชน
อีกทั้งพฤติการณ์ของส.ว.ชุดนี้
มีค่อนข้างไปในทางเป็นเครื่องมือในการดำรงอยู่ของคณะรัฐประหาร
เป็นการดำรงอยู่เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการของคณะรัฐประหาร คสช.
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือพวกเขายกมือเลือกนายกฯ กันอย่างไม่แตกแถวเลย มันตลกดีเหมือนกันเพราะว่า
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนที่ก่อการรัฐประหาร
ตลกที่ว่าทำไมเขายังสนับสนุนให้คนที่เข้ามายึดอำนาจประชาชนยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ซึ่งมายด์มองว่ามันทำให้ความชอบธรรมในการมีอยู่ของวุฒิสภาลดลงไปด้วย
จริง
ๆ มายด์มองว่าในสภาวะปัจจุบัน วุฒิสภาที่ทำตัวเหมือนเป็นพี่เลี้ยงให้ ส.ส.
ไม่น่าจะมีความจำเป็นอีกต่อไปด้วยซ้ำ วุฒิสภาที่กินเงินเดือนจากภาษีของเราปีละหลาย
ๆ ล้าน ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปด้วยซ้ำ
นี่คือสิ่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ
60 นี้มันอยู่ตรงไหน? รัฐธรรมนูญ 60 ควรจะต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจกับประชาชนได้มากกว่านี้มั้ย
สรุปก็คือในเมื่อรัฐธรรมนูญ 60 มันออกมาแล้ว
สิ่งที่เราต้องการในตอนนี้คือเราต้องการรัฐธรรมนูญใหม่
ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เราได้รัฐธรรมนูญใหม่ คือการที่เราต้องเอาอำนาจของ ส.ว.
ออกไปเสียก่อน
เราต้องเอาอำนาจที่เกินขอบเขตของวุฒิสภาออกไป!
เราต้องเอาเสี้ยนหนามที่กำลังขัดขวางความเป็นประชาธิปไตยของเราออกไป!
การมีอยู่ของวุฒิสภาตอนนี้มันน่าอดสูเกินไปแล้วค่ะ
อยากจะส่งเสียงไปให้ถึงรัฐสภาเหมือนกันว่า
ช่วยเอาอำนาจของ ส.ว. ตรงนี้ออกไป แล้วเปิดทางให้ประชาชนได้ใช้อำนาจของตัวเองในการออกแบบเครื่องมือในการบริหารประเทศของพวกเราเสียที