“อ.ธิดา”
ยินดีกับทนายอานนท์และไมค์ ภานุพงศ์ ที่ได้รับการปล่อยตัววานนี้ / การทำงาน
จังหวะก้าว ข้อเรียกร้อง ข้อเสนอ และปฏิบัติการโดยภาพรวมของเยาวชน ทำให้เชื่อมั่นในภาวะการนำเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ
ยูดีดีนิวส์
: เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 63 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
ได้เล่าข่าวหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผ่านการทำเฟสบุ๊คไลฟ์ โดย
อ.ธิดากล่าวว่า เราเพิ่งได้รับข่าวดีเมื่อวานนี้ว่าคุณไมค์และคุณอานนท์ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษฯ
หาไม่ก็ที่เรือนจำพิเศษฯ
อาจจะได้ยินเสียงจากกลุ่มที่มาเรียกร้องการปล่อยตัวเป็นประจำทุกเย็น
ก็ถือว่าแสดงความยินดีที่ได้รับการปล่อยตัว อย่างไรก็ตามก็ถือว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้วหนึ่งเปลาะหนึ่งเรื่อง
ในวันนี้ที่ดิฉันอยากจะพูดก็คือ
“ความเชื่อมั่นต่อภาวะการนำของเยาวชน”
เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
แม้ว่าจะมีข่าวเรื่องรัฐประหารอยู่เซ็งแซ่ก็ตาม เรามาเริ่มจากความเป็นจริงก็คือว่า
มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนและประชาชนในนามกลุ่มต่าง ๆ แต่รวมทั้งหมดก็คือค่อนข้างเป็นเอกภาพเช่นเดียวกับ
“ประชาชนปลดแอก” ที่มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 2 เงื่อนไข 1 ความฝัน ตามที่เราทราบกันอยู่แล้ว
ในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้หยุดการคุกคาม แล้วก็ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนถึงการยุบสภา ก็ยังรออยู่ว่าจะได้รับการปฏิบัติแค่ไหน?
ในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้หยุดการคุกคาม แล้วก็ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนถึงการยุบสภา ก็ยังรออยู่ว่าจะได้รับการปฏิบัติแค่ไหน?
ในเรื่องการคุกคาม
ปรากฏว่าไม่ได้หยุดเลย ยังมีการคุกคามกลุ่มเยาวชนโดยเฉพาะแกนนำต่าง ๆ
หรือผู้ขึ้นปราศรัย
การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีการแตกคอกันเป็นหลายส่วน
แม้จะมีการขยับบ้าง แต่ว่ายังห่างไกลที่จะมองเห็นผลสำเร็จ
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องยุบสภา! และไม่ต้องพูดถึงเรื่องความฝัน!
ยังห่างไกล.....
ดิฉันจะพูดเรื่องปัจจุบันว่า
ในฐานะประชาชนเรายอมรับความจริงว่าขณะนี้การขับเคลื่อนอยู่ภายใต้การนำของเยาวชน (3
ข้อเรียกร้อง 2 เงื่อนไข 1 ความฝัน)
มันเป็นเอกภาพทั้งการเคลื่อนไหวของเยาวชนทั่วประเทศและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ
แม้เราจะเห็นการเคลื่อนไหวของนักเรียน
ดิฉันฟังคำแถลงการณ์และข้อเรียกร้องของนักเรียนแล้ว แม้จะดูเป็นเรื่องของโรงเรียน
แต่ในเนื้อหาของคำแถลงการณ์ของ “กลุ่มนักเรียนเลว” ดิฉันก็ค่อนข้างประทับใจ
ในนั้นแม้จะพูดเฉพาะในประเด็นของการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยในโรงเรียน
ซึ่งความปลอดภัยในโรงเรียนและไม่คุกคามนักเรียนมันก็เหมือนข้อ 1
คือไม่คุกคามประชาชนนั่นแหละ
รวมทั้งการยกเลิกระเบียบกฎต่าง
ๆ ที่ล้าหลัง มันก็เหมือนกับปัญหาการที่เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญประมาณนั้น
แล้วก็มาถึงปฏิรูปการศึกษา ซึ่ง 3
ข้อเรียกร้องนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้นในทัศนะของดิฉัน
ข้อเรียกร้องของนักเรียนมัธยมยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับทางการเมือง
ขณะนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า
“การนำ”
การขับเคลื่อนในการต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องนั้นอยู่ในมือของเยาวชนซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลย
เพราะว่าข้อเรียกร้องเป็นเอกภาพและมีการขับเคลื่อนทั่วประเทศ ดังนั้นภาวะการนำในประเด็นข้อเรียกร้องก็อยู่ในมือของเยาวชน
ภาวะการนำของการขับเคลื่อนก็อยู่ในมือของเยาวชน ที่แล้วมาจากการนัดของเยาวชนปลดแอก
300 คน พอมานัดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยครั้งล่าสุด ดิฉันคิดว่าไม่ต่ำกว่า 3
หมื่นกว่า พูดง่าย ๆ ว่าจาก 300 ก็มาเป็นร้อยกว่าเท่า ประมาณ 4 หมื่น
เพราะฉะนั้นเราคาดการณ์ได้ว่าครั้งต่อไปมันจะต้องมีโอกาสเป็นหลักแสนแน่
ถ้ามีการชุมนุมภายใต้ข้อเรียกร้องของประชาชนปลดแอกในลักษณะที่ยื่นโนติสต่อรัฐบาล
ความจริงเขาก็ยื่นมาแล้วว่าให้คุณทำภายในเดือนกันยายน
แต่ดิฉันเชื่อว่าป่านนี้กลุ่มเยาวชนก็กำลังคิดอ่านอยู่ว่าจะมีเงื่อนไข
หรือมีข้อเรียกร้อง หรือมีข้อเสนอต่อรัฐบาลและต่อรัฐสภาอย่างไร?
ดังที่เราได้พูดไปแล้วว่า
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มเยาวชนเขาบอกเลยว่าการนำอยู่ที่การขับเคลื่อนนอกสภา
ในสภานั้นต้องฟังข้างนอก ข้อเรียกร้องต่าง ๆ นั้น นอกสภาจะเป็นด้านหลัก
ในสภาจะไม่ใช่ผู้นำแล้วในทัศนะของนักเรียน ซึ่งบางคนอาจจะเห็นด้วย
บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยและบอกว่าเป็นไปไม่ได้
เมื่อภาวะการนำในเนื้อหาของการต้องการเปลี่ยนแปลง
ภาวะการนำในการขับเคลื่อนนั้นมันเป็นรูปธรรมที่เยาวชนเป็นผู้นำ
(ทั้งเนื้อหาและปฏิบัติการ) รวมทั้งชี้เป้าหมาย
เป้าหมายระยะยาวก็คือความฝัน
เป้าหมายระยะกลางก็คือปฏิเสธรัฐบาลแห่งชาติ,
ไม่เอารัฐประหาร
เป้าหมายระยะกลางและระยะสั้นก็คือหยุดคุกคามประชาชน
แล้วก็แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยพลัน การแก้ไขให้ฟังเสียงประชาชน
เพราะฉะนั้น
เขาบอกเป้าหมายและเขาใช้ขบวนการสันติวิธีทั้งหมด ถามว่าเราจะเชื่อมั่นในภาวะการนำของเยาวชนแค่ไหน
ดิฉันขอตอบคำถามนี้เลยว่า ในทัศนะของดิฉัน ดิฉันเชื่อมั่น!!!
ดิฉันไม่ได้ถือประสบการณ์ว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ
คือภาวะของสังคม
สถานการณ์ที่เปลี่ยนมันเป็นตัวกำหนด
ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนของสังคมได้ คุณจะมาทำอะไรไม่ได้เลย คุณจะมาเป็นผู้นำการต่อสู้ก็ไม่ได้ คุณจะทำงานอะไรก็ล้มเหลวหมด อันนี้มันเป็นกฎ เป็นสัจธรรม
ในขณะนี้คนที่บอกว่าเคยเป็นผู้นำรุ่นเก่าหรืออะไรต่าง
ๆ ในความเป็นจริงเนื้อหา ความคิด หรือปฏิบัติการของคนเหล่านั้นไม่ปรากฏเลย!
อย่างที่บอกหลักการข้อที่
1 ก็คือ การทำทุกอย่างต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง
ความเป็นจริงขณะนี้ผู้ที่จะนำการเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องเป็นคนที่มองเห็นอนาคต
แล้วจะต้องเป็นคนที่อยู่ในอนาคตด้วย
แล้วต้องอยู่กับปัจจุบันอย่างที่เตรียมตัวกับอนาคต
มันไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่มีแต่อดีต
คิดแต่เรื่องอดีต เวลาแก้ปัญหาก็เอาเหตุการณ์ในอดีตมาแก้ แบบที่จะทำรัฐประหาร
แบบที่จะแก้รัฐธรรมนูญ คือดูว่าเมื่อก่อนมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็พยายามจะบล็อค แล้วต้องการให้อำนาจยังอยู่ที่ชนชั้นนำเดิม คือคิดแบบเก่า ยิ่งถ้าเป็นอนุรักษ์นิยมยิ่งเก่ามาก กระทั่งคนที่เป็นเสรีนิยมก็ตาม
คำถามว่าขีดความสามารถจะทันกับคนรุ่นใหม่หรือไม่?
ดิฉันว่ามันไม่ทัน
นี่พูดโดยหลักการว่า
ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นคนที่รู้เท่าทันปัจจุบัน
และเข้าใจ มองเห็นอนาคต และจะต้องอยู่กับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเภทที่อ้างว่ามีประสบการณ์
เป็นคนเก่าคนแก่ผ่านเหตุการณ์มาต่าง ๆ ดิฉันคิดว่านั่นไม่ใช่ผู้นำ! ยิ่งใครที่อวดอ้างว่าผ่านเหตุการณ์มาก่อน เพราะปัจจุบันและอนาคตมันจะไม่เหมือนเดิม! คุณจะใช้ประสบการณ์อย่างเก่ามาเนี่ย ได้บางอย่างเท่านั้น แต่มันจะไม่เหมือนเดิม
ผู้ที่นำการเปลี่ยนแปลงนั้น
จะต้องเป็นผู้ที่ก้าวหน้าทั้งทางด้านความคิด ทางด้านเทคโนโลยี
แล้วก็มีวิสัยทัศน์ด้วย
ทีนี้ถามว่าทำไมดิฉันเชื่อมั่น!
ดิฉันได้พยายามฟังในสิ่งที่เยาวชนเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นแกนนำระดับต้น ระดับกลาง ระดับรอง ดิฉันก็พยายามฟังเขามากเลยนะว่าเขาพูดจาอย่างไร
มีวิธีคิด ทำงาน อย่างไร และมีพื้นฐานความเข้าใจการเมืองไทยอย่างไร
และกระทั่งมาดูว่าเขาอ่านหนังสืออะไรกัน
พอมาเจอว่าเขาอ่านหนังสืออะไรกันยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นเลย
ถ้าคุณอ่านหนังสือของ
อาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร – คริส เบเกอร์
คุณอ่านหนังสือของ
ธงชัย วินิจจะกูล
คุณอ่านหนังสือของ
ณัฐพล ใจจริง
นี่ยกตัวอย่างนะ
อาจารย์เชื่อเลย!!! เพราะคุณอาจจะรู้พอ ๆ กับอาจารย์ธิดาแล้ว
(ในแง่ประวัติศาสตร์การเมืองนะ)
เพราะบุคคลที่เอ่ยชื่อมาเหล่านี้เขาเป็นคนที่มีความชัดเจนในเรื่องจุดยืน
ในเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทย พัฒนาการของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แล้วเอามุมมืดต่าง ๆ ซึ่งหลายคนไม่รู้ ได้นำออกมา โดยเฉพาะอาจารย์ณัฐพล
ดิฉันก็คิดว่าได้นำเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมจำนวนมาก
เด็ก
ๆ อ่านหนังสือเหล่านี้ พอเวลาที่เราฟังเขาพูด ยกตัวอย่างเมื่อคืนฟังที่เขาพูดกับ
สว.ในสถานีโทรทัศน์ช่อง Thai
PBS (ขอโทษที่เอ่ยชื่อ) ก็จัดรายการได้ดี สามารถทำให้คนสองรุ่น
สว.รุ่นดึกที่บอกว่าตัวเองก้าวหน้านะ ก็คือจะปลดล็อคการเลือกนายกฯ
แล้วมาเผชิญหน้ากับน้องนักศึกษาผู้หญิง ในทัศนะอาจารย์ธิดา มือคนละชั้นกันเลย
ก็คือผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนแล้วพยายามจะแถ ว่าตัวเองก็ยึดโยงกับประชาชน
เพราะตัวเองเป็นวุฒิสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง แต่ได้รับการรับรองจากการทำประชามติ
กับสิ่งที่เด็กพยายามจะอธิบายให้ฟังว่า ที่มาของ ส.ว. ที่มาของรัฐธรรมนูญ
และรวมทั้งที่มาของผลประชามตินั้นมันเกิดขึ้นอย่างไร
มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
ถ้าคิดอย่างเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ
มันคนละสปีชีส์กันเลย คนละเผ่าพันธุ์ทางความคิด ไม่ต้องพูดถึงวัยนะ
อันนี้มันไม่ใช่ Generation
นะ คนที่เป็นคนแก่ที่ความคิดทันสมัยมันก็มี แต่แน่นอนหลาย ๆ
เรื่องก็เก่งสู้คนรุ่นใหม่ไม่ได้
ถ้าถามดิฉันว่าเราจะเชื่อมั่นในภาวะการนำของเยาวชนไหม?
ดิฉันดูการทำงาน จังหวะก้าว ข้อเรียกร้อง ข้อเสนอ และปฏิบัติการโดยภาพรวม
(ดิฉันไม่ได้พูดเป็นบุคคลนะ คือเวลาเราพูดถึงบุคคล มันไม่มีใครทำได้ดีสมบูรณ์หรอก)
เวลาเราดูภาพรวมของนักเรียน ภาพรวมของเยาวชนมหาวิทยาลัย ภาพรวมของข้อเสนอ
ภาพรวมของการขับเคลื่อน ดิฉันถือว่าดีทีเดียว
ดีเกินกว่าที่คิด
และไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะ จากวิ่งแฮมทาโร่แล้วพัฒนาภายในระยะเวลารวดเร็วมาก
จนมาสู่ข้อเรียกร้องซึ่งจะยกระดับและแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ น่ากลัวขึ้นเป็นลำดับ
ดังนั้นเมื่อดูภาพรวมทั้งหมด
ดิฉันเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำของเยาวชนเหล่านี้
เขาสามารถจะนำพาซึ่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ทันสมัย (ในทางการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคม) สามารถที่จะเข้าใจว่าโครงสร้างของสังคมและความห่างระหว่างชนชั้น
โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จะถูกนำมาปอกเปลือก ผ่าตัดครั้งใหญ่ได้
เพราะว่าเมื่อเขากล้าพูดถึงการปฏิรูปสถาบันทุกสถาบัน
นั่นแปลว่าเขากำลังเปิดประเทศทั้งประเทศ คือปอกเปลือกหมดเลย แล้วดูว่าจะทำอะไร?
ดิฉันเชื่อมั่นในข้อมูลความรู้ของเขาซึ่งพยายามที่จะศึกษาเข้าใจจากการพูด
จากการปฏิบัติ และจากสิ่งที่เขามีข้อเรียกร้อง
ทั้งหมดเหล่านี้ตัวดิฉันเองมีความเชื่อมั่น
หลายคนโดยเฉพาะคนที่เป็นแกนนำมาก่อนอย่างมากก็ไม่พูดอะไร บางคนก็บอกว่าให้ระวังนะ
แต่สำหรับอาจารย์ธิดาก็ถือว่าเราไม่ได้ถือว่าเราเป็นแกนนำอะไรใหญ่โต
แม้เราจะผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามาก เราก็เหมือนเม็ดกรวดเม็ดทราย
แต่เรายังมีชีวิตอยู่
และเราต้องการที่จะให้การบาดเจ็บล้มตายของคนในอดีตไม่เสียเปล่า ทำให้ผลงานต่าง ๆ
ของคนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมันเชื่อมต่อ และนำสู่จุดหมายเดียวกันได้
ดังนั้น
อาจารย์ธิดามีความเชื่อมั่นด้วยว่า การนำของเยาวชนนั้นจะนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้
หลายคนอาจจะไม่แน่ใจ หลายคนที่เชื่ออาจารย์ธิดาแล้วเราได้คุยกัน
อาจารย์บอกว่าถ้าเขามีข้อเสนอแบบนี้ ขับเคลื่อนแบบนี้
แต่นี่ไม่ได้นับหวือหวาบางคนนะ บางคนอาจมีลักษณะล้ำเส้น อาจารย์ก็ยอมรับว่ามันอาจจะมีล้ำเส้น
แต่คุณจะให้มันเรียบร้อยเป็นได้ดังใจทุกคน เป็นไปไม่ได้!
แต่โดยภาพรวมทั้งหมดดิฉันถือว่าโอเค!
มันดีกว่าและเกินกว่าที่คนรุ่นก่อน รวมทั้งปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่ได้ทำไว้ ดิฉันก็คิดว่าเราน่าจะมีความสุขพอสมควรระดับหนึ่ง
จะทำรัฐประหารหรือไม่ก็ตาม
(มีข่าวลือเยอะนะ)
แต่ว่าในหัวใจและในสมองของเยาวชนซึ่งจะอยู่กับประเทศนี้อีกหลายสิบปี
คนเหล่านี้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดหมดแล้ว
รัฐประหารนั้นมันไม่ได้แก้ปัญหาความคิดคิด
มันไม่ได้แก้ปัญหาหัวใจของคนนะ
อาจจะหยุดยั้งภาวะทางร่างกายได้ระดับหนึ่ง
แต่ว่ามันไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดและจิตใจของประชาชนได้
โดยเฉพาะเยาวชนเหล่านี้
เพราะฉะนั้นการทำรัฐประหารงวดใหม่
ในทัศนะของดิฉันนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ
ไม่เชื่อก็ลองดูก็แล้วกัน!!!