วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2565

ภาคีSaveบางกลอย ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการอิสระฯ เพื่อทวงถามความคืบหน้าและขอให้ยุติอัยการสั่งฟ้องชาวบางกลอย ชี้ หากแก้ปัญหาทางคดีไม่ได้ ก็ยากจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านอื่น ๆ

 


ภาคีSaveบางกลอย ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการอิสระฯ เพื่อทวงถามความคืบหน้าและขอให้ยุติอัยการสั่งฟ้องชาวบางกลอย ชี้ หากแก้ปัญหาทางคดีไม่ได้ ก็ยากจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านอื่น ๆ

 

วันนี้ (20 ก.ย. 2565) เวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ประตู 5 #ภาคีSAVEบางกลอย เข้ายื่นหนังสือถึงนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย ภายหลังไม่ได้รับความชัดเจนต่อคดีฟ้องชาวบางกลอยทั้ง 29 คน ซึ่งกรณีบางกลอยเป็นเพียงหนึ่งใน 34,692 คดี หลังคสช. มีนโยบายทวงคืนผืนป่า โดยมีนายพชร คำชำนาญ เป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือ

 

ภายหลังยื่นหนังสือแล้วเสร็จ นายพชร ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า มายื่นหนังสือถึงนายอนุชา นาคาศัย ในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระแก้ไขปัญหาบางกลอย โดยมี นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองประธานคณะกรรมการอิสระฯ คนที่ 1 เป็นผู้รับหนังสือแทน เพื่อทวงถามความคืบหน้าและขอให้ยุติอัยการสั่งฟ้องชาวบางกลอย โดยการเจรจาวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี


สำหรับเนื้อความในจดหมายที่ยื่น มีรายละเอียดดังนี้


ตามที่ สมาชิกชาวบางกลอย 29 ราย ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานควบคุมตัวและแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก แผ้วถาง ยึดถือ ครอบครองอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในขณะที่ชาวบางกลอยกลับขึ้นไปทำไร่หมุนเวียนเพื่อปลูกข้าวในพื้นที่ทำกินเดิม ก่อนถูกอพยพในปี 2554 เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 5 มีนาคม 2564 ซึ่งก่อนนำตัวชาวบ้านลงมาจากบางกลอยบน เจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับชาวบ้านว่า หากยอมลงมากับเจ้าหน้าที่จะมีการจัดการพื้นที่ทำกินให้กับทุกครอบครัว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พาชาวบ้านมาถึงสำนักงานอุทยานแห่งชาติ ชาวบ้านกลับถูกควบคุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีส่งไปฝากขังยัง ศาลจังหวัดเพชรบุรี ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำและในเวลาต่อมาศาลได้ปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขไม่ให้ชาวบ้านกลับขึ้นไปยังบ้านบางกลอยบนอันเป็นถิ่นฐานเดิม และปัจจุบันก็ยังไม่มีการดำเนินการจัดสรรพื้นที่เพิ่มเติมให้แก่ชาวบ้านตามที่ได้รับปากไว้แต่อย่างใด

 

ภาคีsaveบางกลอย ได้ติดตามผลการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ อย่างต่อเนื่องพบว่าแม้จะมีความเห็นว่าอัยการไม่ควรสั่งฟ้อง แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีผลอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านอื่น ๆ ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามกรอบเวลาของคณะกรรมการฯ และหากอัยการจังหวัดเพชรบุรีมีการดำเนินการทางคดีความต่อเนื่องจนศาลรับฟ้องก็จะเป็นการสร้างภาระในการต่อสู้คดีในศาล ทั้งภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอาหาร และที่สำคัญชาวบ้านอาจต้องสูญเสียอิสรภาพในท้ายที่สุด เท่ากับเป็นการเพิ่มความทุกข์ยากในการดำเนินชีวิตให้กับชาวบ้านและครอบครัวซึ่งในปัจจุบันชาวบ้านบางปลอยก็ดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบากอย่างแสนสาหัสอยู่แล้ว

 

ดังนั้นพวกเรา ภาคีsaveบางกลอย จึงขอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาหาแนวทางให้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีต่อชาวบ้านบางกลอยทั้ง 29 ราย ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากเราเห็นว่าการสั่งฟ้องดำเนินคดีชาวบ้านบางกลอยซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิมที่เคยอยู่อาศัยในพื้นที่นั้นมาก่อนปัจจุบันชาวบ้านมีความเป็นอยู่อย่างยากไร้เพราะขาดความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและไม่มีที่ดินทำกินที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการดำรงชีพย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อสาธารณะ

 

จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาหาแนวทางให้ความช่วยเหลือชาวบ้านบางกลอยให้ได้รับความเป็นธรรมและให้เป็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเปิดทางสู่การแก้ไขปัญหาด้านอื่น ๆ ต่อไปและขอให้ท่านชี้แจงผลการดำเนินการดังกล่าวแจ้งกลับมายัง ภาคีsaveบางกลอยเป็นลายลักษณ์อักษรตามที่อยู่ข้างต้น ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ท่านได้รับหนังสือฉบับนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากท่านได้ดี

 

ขอแสดงความนับถือ

นายพชร คำชำนาญ

ภาคีsaveบางกลอย

 

เบื้องต้นนายพชร กล่าวว่า คณะกรรมการอิสระฯ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ทำการส่งหนังสือแจ้งไปถึงอัยการแล้ว ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอัยการ โดย นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองประธานคณะกรรมการอิสระฯ ได้แจ้งความคืบหน้าในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

 

1. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอิสระฯ มีหนังสือไปยังอธิบดีอัยการภาค 7 เจ้าของสำนวน เพื่อแจ้งมติคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย หมู่ที่ 1 ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อความช่วยเหลือทางคดี โดยทำงานร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 แล้ว

 

2. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมให้พิจารณาให้ความช่วยเหลือ (กองทุนยุติธรรม) ในกรณีหากอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหา 29 คน

 

3. คณะกรรมการอิสระฯ ทำงานร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการดำเนินการตามกรอบช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เกี่ยวกับเงื่อนไขในการดำรงชีวิตของชาวบางกลอยในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ

 

โดยตามกรอบการดำเนินงาน 3 ข้อนี้ พนักงานสามารถใช้ดุลยพินิจได้ ด้วยความเคารพดุลยพินิจของพนักงานอัยการ

 

ทั้งนี้นายพชร ยังระบุว่า หากยังมีการเดินหน้ากระบวนการทางคดีกับชาวบ้านบางกลอย ไม่เพียงหมายถึงชาวบางกลอยอาจสูญเสียอิสรภาพ หากศาลรับฟ้องและเห็นว่าผิด แต่อาจหมายถึง “ที่ดิน” ที่ชาวบ้านกลับขึ้นไปทำกินที่บางกลอยบนที่ติดคดี ก็จะไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านกลับไปทำไร่หมุนเวียนตามเจตนารมณ์ได้

 

หากแก้ปัญหาทางคดีไม่ได้ ก็ยากจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านอื่นๆ ให้กับกลุ่ม บางกลอยคืนถิ่น

 

นอกจากนี้ นายพชร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ถือว่าการเจรจาในวันนี้เป็นไปด้วยดี และคณะกรรมการชุดนี้ทำงานอย่างมีความหวังมากกว่าคณะกรรมการชุดที่แล้ว อย่างไรก็ตามขอให้สังคมจับตาประเด็นชาติพันธุ์ ทั้งเรื่อง พ.ร.บ. ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่ยังค้างอยู่ ให้สำเร็จแล้วเสร็จก่อนสภาจะหมดอายุในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อไม่ให้ทุกอย่างต้องกลับไปเริ่มใหม่

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชาติพันธุ์ก็คือคน