22
คณะราษฎร ไต่สวน-สืบพยาน ในคดี #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร เมื่อปี 63
วันนี้
(7 สิงหาคม 2567) ที่ศาลอาญารัชดา
แกนนำคณะราษฎรได้มีการนัดรวมตัวกันที่โรงอาหารของศาลอาญารัชดา เวลา 8.30 น. ก่อนจะขึ้นฟังการไต่สวน
ที่ห้องพิจารณาคดี 912 เวลา 9.00 น.
โดยในคดีนี้นั้น
จากเหตุที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญบางส่วนให้ฝ่ายจำเลยตามที่ทนายจำเลยร้องขอ
และในพยานเอกสารที่ออกหมายเรียกให้แล้ว
หน่วยงานที่ครอบครองเอกสารยังไม่จัดส่งเอกสารให้ ซึ่งกรณีนี้จะทำให้การสู้คดีดำเนินต่อไปอย่างไรนั้น
นายสมยศ
พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า ในคดีนี้ผู้ปราศรัยส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องที่รัชกาลที่ 10
ประทับอยู่ที่เยอรมัน โดยทางฝ่ายโจทย์ได้ฟ้องว่าเป็นการพูดเท็จ
เราก็เลยต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นความจริง
และขอให้มีการออกหมายเรียกพยาน ซึ่งเป็นตารางการบิน ไปที่การบินไทย
ซึ่งในตอนแรกก็ถูกบรรจุไว้ในบัญชีพยานในวันที่นัดพร้อม เป็นที่ตกลงร่วมกันทั้งฝ่ายโจทย์
ฝ่ายจำเลย และศาล ที่ต้องออกหมายเรียกในเรื่องนี้
ซึ่งการที่จะให้เราต่อสู้คดีอย่างเต็มที่นั้น
มีอยู่ 2 ประเด็น
1.
คือการยืนยันว่า ศาลต้องออกหมายเรียก
ซึ่งเป็นพยานสำคัญที่เราจะใช้ซักค้านพยานฝ่ายโจทย์ว่า
ระหว่างที่เราทำกิจกรรมชุมนุมที่สนามหลวง ในวันที่ 19 - 20 กันยายน 2563 นั้น
รัชการที่ 10 ไม่ได้ประทับอยู่ที่ประเทศไทย
2.
ในการต่อสู้คดีนี้นั้น ทางด้าน “อานนท์ นำภา”
ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว จึงเกิดความลักลั่น
ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ จึงอยากเสนอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งถ้า
“อานนท์” ยังถูกคุมขังเช่นนี้ จะหมายความว่าเป็นการตัดสินล่วงหน้าแล้วว่า “อานนท์”
นั้นมีความผิด ซึ่งจะขัดกับหลักที่ว่าให้สันนิษฐานไว้ก่อนผู้ต้องหานั้นบริสุทธิ์
ในกรณีนี้
เรายังไม่ได้หมายเรียกพยาน นั่นหมายความว่า เราจะไม่สามารถ สืบ-ไต่สวน-ซักค้านพยานได้เลย
เนื่องจากฝ่ายโจทย์เค้ากล่าวหาว่าสิ่งที่เราปราศรัยนี้มันไม่ถูก
ไม่เป็นความจริง
ดังนั้นเราก็จึงต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราพูดเป็นความจริง
ในกรณีที่เรายังไม่ได้หมายพยานนั้น เบื้องต้นศาลได้อ้างว่า ถ้าเปิดเผยข้อมูล
อาจกระทบและทำให้เสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตาม พรบ. ข้อมูลข่าวสาร
สำหรับข้อมูลในดดีนี้นั้น
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 นักกิจกรรมและประชาชน ซึ่งเป็นแกนนำ
ผู้ปราศรัย และผู้เข้าร่วมชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อเนื่องถึงสนามหลวง โดยมีนักกิจกรรม รวม
24 ราย ถูกผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และกรมศิลปากร
เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีในหลายข้อหา โดยแกนนำและผู้ปราศรัยรวม 7
ราย ถูกออกหมายจับในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น)
ทั้งหมดถูกขังโดยไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นฝากขังในช่วง 15 ต.ค. - 2 พ.ย. 2563
ก่อนจตุภัทร์ได้รับการประกันตัว ส่วนคนอื่น ๆ ศาลไม่อนุญาตให้ฝากขังต่อ
ในส่วนของผู้ชุมนุมมีการออกเป็นหมายเรียก ซึ่งมีอดีตสมาชิกกลุ่มดาวดิน 2 คน
ที่ไม่ได้ร่วมชุมนุมถูกออกหมายเรียกด้วย
ภายหลัง
พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรากับผู้ชุมนุม
พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์" ตามมาตรา 112
เพิ่มเติมกับแกนนำและผู้ปราศรัยทั้ง 7 รายเป็นคดีแรก ทั้งยังแจ้งข้อหา 116
กับผู้ถูกดำเนินคดีคนอื่น
คดีนี้ยังถือเป็นคดีแรกจากการชุมนุมในช่วงครึ่งปีหลังของปี
2563 ที่อัยการเร่งรัดยื่นฟ้องคดีต่อศาลในข้อหาตามมาตรา 112 อย่างผิดสังเกต
และจำเลยที่เป็นแกนนำและผู้ปราศรัยทั้งเจ็ดไม่ได้รับการประกันตัวในระหว่างพิจารณาคดี
จนกระทั่งมีกระแสเรียกร้องให้คืนสิทธิประกันตัวให้ผู้ต้องขังทางการเมือง
ศาลจึงทยอยให้ประกันตัวโดยกำหนดเงื่อนไขห้ามทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์
โดยทางด้านศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุถึงคดีนี้ว่า
การนัดสืบพยานคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19–20 ก.ย. 2563
ที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง
หลังจากเลื่อนนัดมาก่อนหน้านี้
จากเหตุที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญบางส่วนให้ฝ่ายจำเลยตามที่ทนายจำเลยร้องขอ
และในพยานเอกสารที่ออกหมายเรียกให้แล้ว
หน่วยงานที่ครอบครองเอกสารยังไม่จัดส่งเอกสารให้
สำหรับคดีนี้มีนักกิจกรรมถูกฟ้องทั้งหมด
22 ราย โดยมีผู้ที่ถูกฟ้องข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวน 7 คน
และข้อหาหลักตามมาตรา 116 อีกจำนวน 15 คน นอกจากนี้ยังมีข้อหาอื่นๆ
อีกหลายข้อหาตาม พ.ร.บ.โบราณสถานฯ, พ.ร.บ.ความสะอาดฯ, พ.ร.บ.จราจรฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ทั้งนี้
จำเลย 2 ราย ที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะถูกนำตัวมาศาลอาญา
เพื่อร่วมการพิจารณาคดีด้วย ได้แก่ อานนท์ นำภา และ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง
โดยที่อานนท์ยังทำหน้าที่ร่วมเป็นทนายความในคดีนี้ด้วย
คดีนี้
ก่อนหน้านี้ฝ่ายโจทก์ทำการสืบพยานไปได้ 1 ปาก ได้แก่ พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร
ผู้กล่าวหา แต่ทนายความจำเลยยังไม่ได้ถามค้าน
เนื่องจากได้มีการร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานเอกสารมาใช้ในการถามค้านด้วย
สำหรับประเด็นการขอออกหมายเรียกพยานเอกสารของจำเลย
ก่อนหน้านี้ศาลได้อนุญาตให้ออกหมายเรียกพยานเอกสาร 2 ฉบับ ได้แก่
คําเบิกความในคดีของศาลแพ่ง ระหว่างกระทรวงการคลัง กับ สมเด็จพระปกเกล้าฯ และ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว แต่ศาลทั้งสองยังไม่ได้ส่งเอกสารมาให้
ทั้งยังมีเอกสารอีก
4 ฉบับ ที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องไม่ออกหมายเรียกให้เรื่อยมา ได้แก่
เอกสารการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยของรัชกาลที่ 10
ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และของบริษัทการบินไทย, รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณราชการส่วนพระองค์
และ รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เนื่องจากโจทก์มีการบรรยายฟ้องว่า คำปราศรัยของจำเลยแต่ละคนในประเด็นต่าง ๆ
เหล่านี้ เป็นเท็จ ทำให้ฝ่ายจำเลยต้องการพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
แม้ศาลจะระบุว่า
มาตรา 112 ไม่มีข้อยกเว้นความผิด หากกล่าวความจริง หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์สาธารณะ
เหมือนกับกฎหายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา แต่ในคดีนี้
ฝ่ายจำเลยก็ยืนยันว่าทั้งหมดถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 ด้วย
ซึ่งองค์ประกอบข้อหานี้จะเป็นความผิดเมื่อมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
ถ้าจำเลยแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตก็จะไม่มีความผิด ดังนั้นจึงต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในประเด็นนี้
นอกจากนั้นตามรัฐธรรมนูญแล้ว เพื่อการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม
ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต่อสู้คดีสามารถเรียกพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดได้อย่างรอบด้านอีกด้วย
สำหรับการนัดหมายสืบพยานคดีนี้
ศาลได้นัดหมายสืบพยานต่อเนื่องทุกเดือนตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้
ได้แก่ วันที่ 7-9,
21-23, 28-30 ส.ค., 11-13,
25-27 ก.ย., 16-18, 29-30
ต.ค., 1, 6-8, 13-15,
20-22 พ.ย., 3-4, 11-13,
17-20 ธ.ค. 2567
แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามว่าในแต่ละนัดจะมีการเลื่อนคดีหรือไม่อย่างไรต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112 #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร