วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565

“ณัฐวุฒิ” นั่งผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ยืนยันไม่ได้มาเล่น ๆ เททั้งหัวใจเพื่อภารกิจนี้และจะทำสุดความสามารถเพื่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยให้ได้


“ณัฐวุฒิ” นั่งผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ยืนยันไม่ได้มาเล่น ๆ เททั้งหัวใจเพื่อภารกิจนี้และจะทำสุดความสามารถเพื่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยให้ได้


วันนี้ (15 มิ.ย. 65) ในการเปิดตัวสมาชิกใหม่ครอบครัวเพื่อไทย ที่ เดอะแจมแฟคทอรี่ เขตคลองสาน นั้น หลังจากคุณแพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง ได้กล่าวต้อนรับ “ณัฐวุฒ ใสยเกื้อ” กลับบ้านเป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยแล้ว นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวถึงเหตุผลที่รับตำแหน่งดังกล่าวและภารกิจ ความว่า


ขอบคุณท่านหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยนะครับ คุณแพทองธาร ชินวัตร หรือว่า คุณอุ๊งอิ๊ง ซึ่งโดยทั่วไปผมก็เรียกเธอว่าน้องอิ๊ง คณะผู้บริหาร แกนนำพรรคเพื่อไทย พี่ ๆ ของผมที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่เคารพครับ


รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้และได้รับหน้าที่นี้ ก่อนที่จะพูดจาอะไรจากหัวใจออกไป ผมอยากจะสื่อสารถึงคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นบุคคลที่ต่อสู้ เสียสละ เจ็บปวด บอบช้ำ ถูกประณามเหยียบย่ำมาสิบกว่าปี แต่คนเหล่านั้นก็ยังคงยืนยันหลักการที่ถูกต้อง คนเหล่านั้นก็ยังเชื่อว่าคนเท่ากันและประเทศนี้ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่คนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ (จากนั้นนายณัฐวุฒิก็ร้องเพลงแดงเสรีชน ดนตรีบรรเลงโดย อาเล็ก โชคร่มพฤกษ์)


ผมขออนุญาตเริ่มต้นแบบนี้เพราะมันมีความจริงอันเป็นสัจนิรันดร์ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยประการหนึ่ง ก็คือมีกระบวนการในการต่อสู้ที่เรียกว่า “คนเสื้อแดง” เกิดขึ้น และเดินทางมาเป็นเวลาสิบกว่าปี สัจจะอีกประการคือผม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คนนี้ จะอย่างไร จะเมื่อไหร่ จะในสถานการณ์ไหน ผมก็เป็นคนเสื้อแดง


แต่เมื่อผมมายืนอยู่บนเวทีนี้กับบทบาทหน้าที่ที่จะรับผิดชอบดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็ขอให้ทุกท่านได้เข้าใจว่านี่ไม่ใช่อีกเวทีเสื้อแดง นี่เป็นเวทีของครอบครัวเพื่อไทยที่จะเดินหน้าทำงานคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทย ต่อสู้ในทางการเมือง ต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง ช่วงชิงอำนาจรัฐจากเครือข่ายเผด็จการกลับคืนสู่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยของประชาชนที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตชีวิตของประเทศได้จริง


ภารกิจนี้เป็นเรื่องยาก เราทำกันแต่เพียงเฉพาะสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือครอบครัวเพื่อไทย หรือแต่เพียงคนเสื้อแดงเท่านั้น คงไม่อาจสำเร็จได้ ดังนั้น เราจึงต้องเปิดประตูทุกบาน เปิดหัวใจทุกห้อง ยื่นมืออกไปสุดแขน เหยียดออกไปทุกมุมของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ กลุ่มอาชีพ กลุ่มผู้คนที่ทุกข์ยาก กลุ่มความเชื่อ กลุ่มวิถีชีวิต และต่าง ๆ อีกมากมายแม้ยังไม่ได้กล่าวถึงแต่หมายรวมถึงคนไทยทุกคน


นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะยืนยันร่วมกันตรงนี้ว่า ไม่มีเวลาให้กับรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการชุดนี้อีกต่อไป ประเทศไทยไม่เหลืออะไรให้พลเอกประยุทธ์และพวก กัดกินได้แล้วอีกต่อไป


ผมถูกตั้งคำถามทั้งจากเพื่อนมิตร สื่อมวลชน และผู้คนที่ได้สัมผัสว่าเหตุใดต้องที่นี่ เหตุใดต้องเป็นครอบครัวเพื่อไทย เหตุใดต้องมาทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยในสนามเลือกตั้ง ทั้งที่ถ้าพูดเรื่องประชาธิปไตยวันนี้มีพรรคการเมืองประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็หลายพรรค ถ้าพูดถึงคนเสื้อแดงวันนี้ก็เป็นข้อเท็จจริงว่าพี่น้องที่ต่อสู้เคียงไหล่ใกล้บ่ามากับผม ก็ไปปรากฎเป็นพลังสร้างสรรค์อยู่ในทุกพรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตย แล้วทำไมผมต้องที่นี่! ครอบครัวเพื่อไทย


ท่านทั้งหลายครับ ผมเป็นนักการเมืองมาสิบกว่าปี สังกัดมาแล้วหลายพรรค แต่ละพรรคที่ผมสังกัดและเปลี่ยนแปลงมิใช่โยกย้ายด้วยการขายอุดมการณ์ แต่มีเหตุต้องเดินทางเพราะการกระทำอำนาจเผด็จการเขายุบพรรค เพราะกติกามันฉ้อฉล ทำให้คนอย่างพวกเราต้องดิ้นรนสู้ จริงอยู่ ตลอดเวลาที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย ผมมีทั้งวันชื่นและคืนทุกข์ ระหว่างผมกับพรรคเพื่อไทย มีทั้งที่ถูกและที่ผิดต่อกัน มีความทรงจำ มีความไม่เข้าใจ มีความรู้สึกต่าง ๆ นานามากมายตลอดเวลาสิบกว่าปี แต่จะอย่างไรที่นี่ก็คือบ้าน ที่นี่คือบ้านผม


ผมเกิดผมโตที่นี่ ทุกครั้งจนถึงบัดนี้เมื่อผมมองเข้าไปในพรรคเพื่อไทย ผมเห็นคนหลายคนที่ผมรัก และผมเห็นคนอีกหลายคนที่รักผม ผมเห็นพี่ เห็นเพื่อน เห็นน้องที่สู้มาด้วยกัน ผมเห็นคนที่เคยร้องไห้ด้วยกัน เคยถูกเขาไล่ยิงไล่ฆ่ากลางถนนด้วยกัน ผมเห็นชะตากรรมที่เราเจ็บปวดร่วมกันกับประชาชน ผมอยู่ในประวัติศาสตร์เหล่านั้นร่วมกับพรรคเพื่อไทย แม้ว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้อาจจะมีพี่น้องเพื่อนมิตรจากต่างพรรคการเมืองมาเยี่ยมมาหาที่บ้านบ้าง ชวนสนทนาข้างนอกบ้าง ชวนผมเข้าไปร่วมงานทางการเมืองด้วย ผมน้อมรับคำชวนด้วยไมตรี แต่การตัดสินใจสุดท้ายผมนึกภาพตัวเองไม่ออกว่าถ้าจะต้องไปยืนเผชิญหน้ากับคนที่นี่ในสนามเลือกตั้ง ผมจะต้องทำยังไง?


ผมเดินกลับเข้ามาที่นี่ ภาพจำเต็มไปด้วยความหลัง แต่ความหวังอยู่ข้างหน้า อยู่ในอนาคตที่เราจะต้องสร้างด้วยกัน นี่เป็นเหตุผลโดยส่วนตัวครับ ก็ผมมาเพราะที่นี่เป็นบ้าน


ส่วนเหตุผลโดยส่วนรวม ท่านที่เคารพครับ ผมว่าเรามีภารกิจร่วมกันสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ก็คือต้องเอาชนะรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการชุดนี้ หยุดความเพ้อฝันของพลเอกประยุทธ์และพวกลงตรงนี้ แล้วคืนความฝันที่เป็นจริงให้กับประชาชนคนไทย ให้เขามีรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีความสามารถ มีประสบการณ์ แก้ไขปัญหาได้จริง เราจะทำอย่างนั้นได้ มีทางเดียวครับ คือเราต้องชนะเลือกตั้ง แต่ด้วยกติกาอัปยศนี้ เพียงชนะเลือกตั้ง การเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านมาพิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่เพียงพอ


พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่พรรคพลังประชารัฐใช้คะแนนเสียงส.ว. 250 คน ที่พลเอกประวิตรเลือกให้พลเอกประยุทธ์ตั้ง โหวตเอาพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเป็นเจตนารมณ์แต่แรกดั้งเดิมของเผด็จการคสช.กลุ่มนี้


ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึงจึงจำเป็นที่จะต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งในฝ่ายประชาธิปไตยคว้าชัยชนะให้เด็ดขาด ได้คะแนนเสียงเป็นจำนวนมาก ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร แลนด์สไลด์เพื่อขับไล่เผด็จการออกไปไม่ให้ตั้งรัฐบาลได้


คำถามก็คือว่า คณิตศาสตร์ทางการเมือง ก็เมื่อผมยอมรับอยู่เองว่าฝ่ายหนึ่งมี 250 ส.ว. เป็นคะแนนตั้งต้น ต้องการเพียงอีก 126 คะแนนส.ส.เท่านั้น ก็จะสามารถตั้งนายกรัฐมนตรีได้ทันที แต่ท่านที่เคารพครับ ในมิติทางการเมือง ก็ให้มันมีพรรคใดพรรคหนึ่งได้เกิน 250 เสียก่อนซิ ให้มันเห็นชัดว่าประชาชนลงฉันทามติทั้งประเทศ เลือกพรรคการเมืองหนึ่ง แลนด์สไลด์เกินครึ่ง ถึงวันนั้นผมเชื่อว่า ส.ว. ซึ่งมีโอกาสลงคะแนนเลือกนายกฯ อีกเพียงปีเดียว จะถูกเรียกร้องทวงถามจากพลังของประชาชนทั้งประเทศให้เคารพการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ ให้ตัดสินใจตามพรรคการเมืองแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งได้คะแนนสูงสุด ได้คะแนนเกินครึ่งอย่างที่เราตั้งเป้าหมาย


แน่นอนที่สุด ในทางการเมืองไม่มีอะไรตายตัว ไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จ แต่ถ้าไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ มันก็จะไม่มีวันสำเร็จเช่นเดียวกัน ดังนั้น ผมเดินเข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลในทางการเมือง ในทางส่วนรวมเช่นนี้ ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าถ้าจะมีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยพรรคใดได้คะแนนเสียงสูงสุด ชนะขาด หรือเกิดครึ่ง หรือจะเรียกว่าแลนด์สไลด์ พรรคการเมืองนั้นต้องเป็นพรรคเพื่อไทย เพราะเขาเคยทำให้เห็นแล้วอย่างน้อยสองครั้ง ในนามพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548 และในนามพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2554


ส่วนเพื่อนมิตรที่เป็นพรรคการเมืองร่วมแนวฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน แม้ผมมิอาจได้ไปร่วมงานในฐานะบุคลากรคนหนึ่ง แต่ผมยืนยันว่าผมร่วมใจ ผมยืนยันว่ามิตรภาพที่มีต่อกัน ความปรารถนาดีที่ผมมีให้ไม่มีคลอนแคลนเสื่อมสลาย ผมรักเพื่อน รักพี่ รักน้องพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอย่างไร ก็จะเป็นเช่นนั้น เราไม่ใช่ปฏิปักษ์ เราเป็นเพียงคนคิดเรื่องประชาธิปไตย ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน แล้วก็ทำหน้าที่ในสนามแข่ง ขัน ผมไม่มีแม้แต่เสี้ยวคิดที่จะต้องเผชิญหน้าทางการเมืองกับมิตรร่วมข้างประชาธิปไตย ที่จะต้องกระทบกระทั่งให้เกิดความคับข้องหมองใจ ผมเพียงบอกว่าผมมาที่พรรคเพื่อไทย ผมไม่ได้มาเล่น ๆ ผมเททั้งหัวใจเพื่อภารกิจนี้และผมจะทำสุดความสามารถเพื่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยให้ได้


และในขณะเดียวกันก็เป็นกำลังใจมุ่งหวังให้พี่น้องพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรคทุกคนทุ่มเทสุดความสามารถในแนวทางของท่านเช่นเดียวกัน เราจะแข่งขันกันโดยเสรี โดยอิสระ แข่งขันกันอย่างสุดกำลังให้ประชาชนตัดสินใจ เสร็จแล้วเรากอดคอทำหน้าที่ด้วยกัน เอาชนะเผด็จการด้วยกัน


ผมหวังใจว่าพี่น้องกองเชียร์ของทุกคนทุกพรรคทุกฝ่าย เราช่วยกันประคับประคองสร้างบรรยากาศนี้ ผมประทับใจบรรยากาศในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่เพิ่งผ่านมา ผมเห็นว่าผู้สมัครของฝ่ายประชาธิปไตยทุกคนไม่มีใครออมมือ ทุกคนไม่มีใครยอมค้อมหัวให้ใครในวันเวลาที่ยืนประกาศความพร้อมต่อประชาชน แต่ทุกคนแข่งขันกันโดยมิตรภาพ จบการเลือกตั้งเมื่อประชาชนชี้ขาด ทุกฝ่ายไม่ว่าจะได้รับเลือกตั้งหรือฝ่ายที่ยังไม่ได้รับคะแนนมากพอ ต่างก็ประกาศจับมือกันทำงาน ต่างก็ประกาศแสดงสปิริตเคียงข้างกันและกัน


ผมหวังใจว่าทุกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยจะได้เก็บรับและถอดบทเรียนนี้เป็นข้อสรุปที่เราจะเดินไปข้างหน้า แน่นอนที่สุดในทางการเมืองครับ ยืนอยู่คนละข้าง อยู่คนละพรรค มันมีโอกาสที่จะบาดหัวใจกันได้ มันมีโอกาสที่แรงเสียดสีทางการเมืองจะทำให้รอยยิ้มกลายเป็นความเคียดขึ้งต่อกันได้ แต่ผมคิดว่าฝ่ายประชาธิปไตยต้องการขนาดหัวใจที่ใหญ่พอ ทำหัวใจให้ใหญ่พอแล้วประชาชนจะใหญ่จริง! ผมเชื่ออย่างนั้น


ดังนั้น ในมิติของภาพรวม ผมจึงฝากการตัดสินใจไว้กับประชาชน และจะทุ่มเททุกความคิด ทุกกำลังความรู้ความสามารถเท่าที่มีทุกเม็ดเหงื่อเพื่อภารกิจ “ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชน


สิ่งที่อยากจะสื่อสารกับพี่น้องต่อก็คือ คนนั้นจะยืนอยู่มุมไหนของฝ่ายประชาธิปไตยก็ตาม เราเป็นพี่น้องกัน แต่ถ้าจะมีคนเสื้อแดงจำนวนเท่าใดก็ตาม บอกว่าเต้นเอ้ยเรียกยังไงก็ไม่มา เพราะว่าได้ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ได้ไปยอมกายยอมใจรับใช้เผด็จการไปเสียแล้ว ยังไงก้ไม่กลับมา ก็ตอบว่าขอให้ไปให้ไกลที่สุด เมื่อใดก็ตามที่คุณข้ามหลักการประชาธิปไตยไปยืนอยู่ข้างเผด็จการ คุณอย่าได้เรียกตัวเองว่าเป็นคนเสื้อแดงอีกต่อไป


ผมอยากจะเรียนพี่น้องแบบนี้นะครับว่า พลังของประชาชนที่สู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่สมบัติโดยจำเพาะของพรรคการเมืองหรือนักการเมืองคนไหน ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการทุกแต้มคะแนน พรรคเพื่อไทยก็ต้องแสดงศักยภาพแสดงนโยบาย แสดงความมุ่งมั่นตั้งใจต่อประชาชนอย่างถึงที่สุด ประชาชนไม่มีหน้าที่ว่าถ้าถึงเวลาไม่ต้องคิด ออกมากาเข้าไปเลย “เพื่อไทย” แม้กระทั่ง “คนเสื้อแดง” ก็ไม่ได้มีหน้าที่นี้ พรรคการเมืองพรรคเพื่อไทยต่างหากมีหน้าที่เดินเข้าไปหาประชาชน เดินเข้าไปอธิบายกับประชาชน เดินเข้าไปนำเสนอนโยบายกับประชาชน เดินไปสัมผัสความทุกข์ยากกับประชาชน และเดินไปให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนว่าเราแก้ปัญหาได้จริง เราคือพรรคการเมืองที่ทำมาแล้ว สำเร็จแล้ว และได้โอกาสจะทำต่อไปสำเร็จอีกครั้ง


ท่านที่เคารพครับ มันมีคำถามอีกว่า เต้นมึงก็ปูนนี้ เห็นออกมาสู้ตั้งแต่ทรงผมรุงรัง จนปัจจุบันก็ 8.7 แสนเข้าไปแล้ว ใกล้จะครบล้าน จะมาเป็นผู้อำนวยการพรรค ประทานโทษครับ ถอน! นักร้องสะดุ้งหูผึ่งเลยนะเมื่อกี้ กะร้องเต็มที่ มาเป็นผู้อำนวยการครอบครัวโดยมีน้องอิ๊งเป็นหัวหน้า เต้นมาเป็นลูกน้องน้องอิ๊งได้ยังไง? ปูนนี้แล้ว ผมบอกว่าไม่มีปัญหา เรื่องนี้เอาที่ผมสบายใจ แล้วผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเดินมาที่นี่เพื่อเป็นลูกน้อง แพทองธาร ชินวัตร แต่ผมรู้สึกว่าเดินเข้ามาที่นี่เพราะต้องมาทำงานร่วมกัน มาสู้ด้วยกัน มาเคียงข้างกัน เพื่อทำให้ภารกิจของประชาชนสำเร็จให้ได้


หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยมีบทบาทหน้าที่ มีภาระความรับผิดชอบเต็มสองบ่าของเธอ ผมก็มีบทบาทหน้าที่ มีภาระความรับผิดชอบเต็มสองบ่าของผมเช่นเดียวกัน แล้วสองบ่าของเราสองคนมันไม่เพียงพอกับภารกิจเหล่านี้ เราจึงต้องการบ่าทุกบ่าของประชาชนแบกภารกิจนี้ด้วยกันในนามครอบครัวเพื่อไทย สนับสนุนพรรคเพื่อไทย คนอย่างผมใครเอาไปเป็นลูกน้องยากครับ ไม่ใช่ว่าหยิ่งนะครับ แต่คิดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน เวลาทำก็ทำ เวลาไม่ทำก็ไม่ทำ ผมเป็นของผมมาแบบนี้


ดังนั้น เข้ามาเต็มหัวใจครับ ไม่มีอะไรตะขิดตะขวง ไม่มีลูกเล่น ไม่มีลีลา เดินหน้าทำงานกับหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยร้อยเปอร์เซ็นอย่างแน่นอน เอาไงเอากัน เป็นไงเป็นกันครับ


แล้วจะอยู่พรรคเพื่อไปไปจนถึงเมื่อไหร่เต้น? ผมเรียนว่าจะอย่างไรก็ตาม ความจริงที่ไม่มีใครลบได้คือที่นี่คือบ้านทางการเมือง แล้วผมก็เลือกที่จะเดินจับมือไปกับพรรคเพื่อไทย เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเพื่อไทยจนสุดทาง เส้นทางที่ผมเดินกับพรรคเพื่อไทยคือเส้นทางประชาธิปไตย ตราบใดก็ตามที่พรรคเพื่อไทยยังชวนกันเดินบนเส้นทางนี้ ตราบใดก็ตามที่พรรคเพื่อไทยยังคงยืนยันหลักการประชาธิปไตย ผมก็จะเดินร่วมทางไปแบบนี้


แม้วันหนึ่งวันใดเกิดพรรคเพื่อไทยเปลี่ยนเส้นทาง ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย ทำลายหลักการที่ถูกต้องเสียแล้ว ในทางการเมืองก็ถือว่าสุดทางรัก เราจะปล่อยมือแยกทางกันที่ตรงนั้น


ผมรักเคารพศรัทธาอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นความจริง ผมเอาใจช่วย ส่งกำลังใจ คาดหวังว่าวันหนึ่งแผ่นดินไทยจะได้ใช้ศักยภาพระดับโลกของชายคนนี้มาแก้ปัญหาให้กับประชาชน มาทำให้คนไทยหายจน หายอด หายอยาก ปลดแอกผู้คนจากอำนาจฉ้อฉลไร้สติปัญญาที่เป็นมา 8 ปี จะโดยบทบาทใดก็ตามที่เป็นฉันทามติร่วมกันของสังคม ผมหวังใจรอคอยศักยภาพของชายชื่อ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ตรงนี้


ดังนั้น ถ้าพูดว่า ณัฐวุฒิเป็นลูกน้องทักษิณ ผมขอชี้แจงว่าจริง! เพียงแต่ในหลักการเดียวกัน ตราบเท่าที่นายกฯ ทักษิณ ยังคงยืนอยู่กับประชาชน ตราบเท่าที่นายกฯ ทักษิณ ยังยืนคงยืนอยู่กับหลักการประชาธิปไตย ตราบเท่าที่นายกฯ ทักษิณ ยังคงเชื่อมั่นเหมือนที่เราเชื่อมั่นว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ผมคิดของผมแบบนี้นะครับ ว่าพรรคนี้หรือจะให้แคบลง ครอบครัวนี้ถ้าหอบผ้าหอบผ่อนย้ายข้างเสียตั้งนาน ป่านนี้ชีวิตของคนในพรรคหรือของคนในครอบครัว อาจจะไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนมานั่งเอาใจช่วยลูกสาวคนเล็กไม่รู้จะเจอชะตากรรมแบบไหนอย่างที่เป็นอยู่ ผมเชื่อของผมแบบบ้าน ๆ ว่าป่านนี้ยังไม่ย้ายข้าง ยังยืนอยู่กับประชาชน ผมก็ยังฝากความหวังเรื่องประชาธิปไตยเอาไว้กับพรรคการเมืองนี้ได้ เอาไว้กับชายคนนี้ได้


แต่สิ่งที่จะพูดเป็นประเด็นสุดท้ายก็คือว่า หากมันเป็นการสมมุติแล้วมันเกิดขึ้น ว่ามีการเปลี่ยนเส้นทางเปลี่ยนแนวทางจากหลักการประชาธิปไตยไปเสียแล้ว ว่ามีการทำลายหลักการที่ถูกต้องที่คนส่วนใหญ่เขายึดถือไปเสียแล้ว ด้วยความเคารพนะครับ ผมพูดชัด ๆ ต่อหน้าน้องอิ๊ง ต่อหน้าพี่ ๆ ทุกคนตรงนี้ ต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชน ถ้าเป็นเช่นนั้นโดยคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ดำเนินการและยืนอยู่ตรงข้ามกับหลักการประชาธิปไตย กับทักษิณผมก็สู้!


ผมคิดว่าผมได้พูดในสิ่งที่ผมพูดจนครบถ้วนแล้ว แต่ยังขาดอยู่ประการหนึ่ง ก็คือไอ้คน ๆ นี้ ที่คำก็หลักการ คำก็ประชาธิปไตย คำก็สู้ จะอยู่ยั้งยืนยงกับหลักการประชาธิปไตยแน่หรือไม่? ผมไม่อาจตอบได้ เวลาเท่านั้นจะเป็นคำตอบและเป็นคำอธิบาย ในทางกลับกัน ถ้านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทรยศต่อหลักการประชาธิปไตย ถ้านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ทำลายหลักการที่ถูกต้อง ก็ขอให้คนในพรรคเพื่อไทยใช้ปลายตีนข้างที่ไม่ถนัดเขี่ยออกไปให้พ้นจากชายคาพรรคทันที ไม่ต้องเหลือเยื่อไว้ใย ณ วินาทีนั้น ผมเป็นมนุษย์ไม่ได้ อย่าว่าแต่เรียกตัวเองว่าคนเสื้อแดง ขอให้เราสิ้นนับถือ ขอให้เราตัดความสัมพันธ์ ไม่ต้องเอ่ยถือถึงในใจอีกต่อไป


ท่านที่เคารพครับ ขอขอบคุณพรรคเพื่อไทย ขอขอบคุณท่านหัวหน้าครอบครัวเพื่อทไย ขอขอบคุณพี่ ๆ แกนนำพรรคทุกคน และที่จะขาดเสียไม่ได้ พี่น้องครับ วันนี้ที่ผมมา ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือผม พี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์ พี่หมอเหวง โตจิราการ พี่ก่อแก้ว พิกุลทอง กระทั่งพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ ซึ่งเป็นคนในครอบครัวเพื่อไทยอยู่แล้ว ในพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วก็ตาม เขามาส่งผมครับ เขามาเป็นกำลังใจ เราพูดคุยกันตลอด เราปรึกษาหารือกันตลอด เราเคียงข้างกันทั้งในยามทุกข์และยามสุข แล้ววันนี้ผมบอกว่าผมจะมาที่นี่ พี่ ๆ ผมทุกคนเห็นด้วย มาส่ง มาให้กำลังใจ ถามว่าใครคือเบื้องหลังของณัฐวุฒิ เบื้องหลังของผมก็คือแผ่นหลังของคนเหล่านี้ที่เราหันหลังชนกันมาตลอด เบื้องหลังของผมก็คือแผ่นหลังของคนเสื้อแดง และเบื้องหน้าของผมก็คือประชาชนทุกคนทุกกลุ่มที่เราคาดหวังจะทำงานด้วยกัน ที่เราคาดหวังจะให้ความมุ่งมั่นความตั้งใจความปรารถนาดีต่อกัน


พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ อะไรใด ๆ ก็ตาม หากบทบาททางการเมืองของผมสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ท่าน ผมน้อมรับไว้ในทางส่วนตัว หากท่านไม่สบายใจ ผมไม่หวงแหนคำขออภัยจากตัวเอง แต่ขอให้ได้โปรดเข้าใจว่าเรากำลังทำเรื่องบ้านเมือง เรากำลังทำเรื่องการแก้ปัญหาประเทศ เรากำลังทำเพื่อให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก ได้เชื่อว่าแผ่นดินนี้บ้านเมืองนี้ยังมีสิ่งดี ๆ รออยู่ การตัดสินใจที่ถูกต้องทางการเมือง การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยก็เป็นคำตอบให้กับคนไทยทั้งประเทศได้


ผมว่าจะไม่พูดแต่ว่าเนื้อหาสาระที่จะพูดครบไปแล้ว ผมปรับทุกข์หน่อย ไม่รู้ใครรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า คือตั้งแต่เขาเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กันเสร็จ ผมดูชัชชาติที หันไปดูประยุทธ์ที โคตรอึดอัดเลยผมอ่ะ จริง ๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับผอ.ไม่ผอ.แล้วนะ นี่ผมเลยครับ ผมเลยล่ะ โคตรอึดอัดเลย คือแบบชัชชาติมา 7-8 วัน อันนี้อยู่ 8 ปี เห็นชัชชาติเดินมาหาชาวบ้านถามว่าทำไมเพิ่งมา เห็นไอ้อีกคนเดินมาหาเขาบอกทำไมยังไม่ไป จริง ๆ ฮะ ผมเห็นบรรยากาศเหมือนดนตรีในสวนแล้วมันอธิบายได้เลยนะว่าถ้าประชาชนเลือกถูกต้อง มันก็จะได้ของที่ถูกต้อง เห็นมั้ยฮะ นี่บรรยากาศมันเหมือนดนตรีในสวน มันเหมือน 8 ปี เหมือนสองคนนี้มันร้องเพลงคนละเพลงให้เราฟัง เหมือนอาจารย์ชัชชาติแกร้องเพลงอะไรครับ ยามลมโชยมาพาใจหน่วงหนัก คิดถึงรักครั้งก่อนนั้นเคยรัญจวน มันฟังง่าย เข้าใจง่าย มีความสุขสัมผัสได้ หันไปดูประยุทธ์ 8 ปีเหมือนมันร้องเพลง วอเอ๊ะๆๆๆๆๆ ร้องบ้าซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั่น 8 ปีไม่มีเนื้อ วอเอ๊ะๆๆๆๆๆ ร้องมา 8 ปี ฟังก็ไม่รู้เรื่อง แล้ววางแผนจะอยู่ต่อ ถามว่ามึงอยู่ต่อจะร้องเพลงอะไร วอเอ๊ะๆๆๆๆ ผมจะทำลายความเข้มขลังของงานเขาหรือเปล่า แต่ผมอึดอัดจริง ๆ แล้วไอ้ท่อนหลังสุดนี่ไม่เกี่ยวกับพรรค ไม่เกี่ยวกับครอบครัว กูนี่แหละ มันอึดอัด


เพราะฉะนั้น ก็ให้กำลังใจพี่น้องประชาชนนะครับ แล้วเราจะทำงานด้วยกัน เราจะสู้ด้วยกัน เราจะเคียงข้างกัน แล้วเราจะประสบความสำเร็จ นำพาบ้านเมืองออกจากวิกฤตด้วยกันครับ ขอบคุณครับ


#ครอบครัวเพื่อไทย #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์