"เสวนาเพื่อนรักนักกิจกรรมครบ 2 ปี "วันเฉลิม"กับชีวิตที่ถูก "บังคับให้สูญหาย" ชี้ การทวงความเป็นธรรมให้กับ "ต้าร์" คือการทวงความเป็นประชาชนให้ตัวเองด้วย พร้อมร่วมจุดเทียนแห่งความหวัง สัญลักษณ์แห่งศรัทธาเพื่อสิทธิมนุษยชน
วันนี้ (4 มิ.ย. 65) ที่สวนครูองุ่น (ทองหล่อ 3) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและสวนครูองุ่น จัดกิจกรรมครบรอบ 2 ปี การหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ต้าร์ ในชื่อกิจกรรม "นินทากันสักนิด มิตรวันเฉลิม" โดยชวนเพื่อนมิตร "วันเฉลิม" มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกจากเพื่อนถึงเพื่อน อีกทั้งมีนิทรรศการภาพถ่ายสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ร่วมวงคุยจากเพื่อนนักกิจกรรม พร้อมทั้งยังส่งข้อเรียกร้องถึงทางการกัมพูชาและไทยในการตามหาความจริงและคืนความยุติธรรมให้กับเขาและครอบครัว โดยกิจกรรมนี้ปิดท้ายด้วยการร่วมจุดเทียนแห่งความหวัง แสดงสัญลักษณ์แห่งศรัทธาเพื่อสิทธิมนุษยชน
ซึ่งหนี่งในไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมในวันนี้ คือ วงเสวนา "เพื่อนรักนักกิจกรรม" ที่ร่วมสนทนาโดย นางสาวสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของนายวันเฉลิม นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตย โดยมี ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ดำเนินรายการ
ด้านนางสาวสิตานัน เปิดเผยความคืบหน้าทางคดีว่า ตลอด 2 ปีที่เราดำเนินการเร่งรัดสืบสวนสอบสวนทั้งทางการไทยและทางการกัมพูชา แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไร จึงอยากทวงถามไปยังเจ้าหน้าที่รัฐให้เร่งดำเนินการหรือเท่ากับว่าเจ้าหน้าที่รัฐเองหรือไม่ ที่มีส่วนอยู่เบื้องหลัง
นอกจากนี้ ยังพบว่านอกจากตัวของต้าร์จะหายไปแล้ว ตัวตนของต้าร์บนสื่อสังคมออนไลน์ที่เรามักจะเข้าไปค้นหา ดูรูปภาพเก่า ก็ยังหายไปแล้วเช่นกัน
คนที่สั่งการ ณ วันนี้ถ้าย้อนกลับไปคงเสียใจ เพราะถ้าเขาไม่ทำกับต้าร์ มันคงไม่มีเหตุการณ์บนท้องถนน พวกเรากล้าพูดกันขนาดนี้ ฝากผู้ที่กระทำว่าอย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ในสิ่งที่คุณทำ แล้วสิ่งที่ทำมันก็เปลี่ยนหลายอย่างได้ในพริบตา มันสองปีแล้วออกมายอมรับผิดได้แล้ว
ขณะที่ นายสมบัติ ที่มีภูมิหลังร่วมกับนายวันเฉลิมในด้านการทำงานภาคประชาสังคม (NGO) กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับวันเฉลิม จะเป็นความชั่วร้าย เป็นความผิดนิรันดร์ ต้าร์เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความฝัน มีพลัง และเห็นปัญหา เป็นคนมีสาระแต่มีบุคลิกกวน จนทำให้อารมณ์ขันกลายเป็นเหมือนมีมใหม่ทางการเมือง และตัวของต้าร์เองก็กลายเป็นมีมใหม่ทางการเมืองเช่นกัน
วันนี้ผมไม่รู้ว่าต้าร์มีชีวิตอย่างไร หรืออาจไม่มีชีวิตแล้ว แต่ชีวิตในอุดมคติของเขายังทำหน้าที่ในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเขา วิธีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งอารมณ์ขันและข้อมูล นี่คือสิ่งที่ทำให้ต้าร์ วันเฉลิม ยังมีชีวิตในสังคมไทย นายสมบัติ กล่าว
ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า พี่ต้าร์เนี่ยหรือเป็นคนอันตรายที่จะเกิดความรุนแรงต่อรัฐบาลและคนคิดจองล้างจองผลาญได้ นี่คือสิ่งที่ผมเสียใจและรู้สึกว่าการรัฐประหารมันพรากและทำลายชีวิตของพวกเราไป เราเห็นอีกหลายคนที่หวังดีต่อบ้านเมืองแล้วไปอยู่ในแม่น้ำโขง หรือไม่อาจอยู่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้
บทเรียนของผมต่อพี่ต้าร์คือมันเจ็บปวดมาก มันเจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อเรารอคอยมานานขนาดนี้แต่ทำอะไรไม่ได้ และเจ็บปวดที่สุดด้วยอำนาจของ ส.ส. เท่านี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้กับพี่ต้าร์ได้ เรื่องของพี่ต้าร์จึงไม่ใช่เรื่องของพรรคใดพรรคหนึ่ง เหลืองหรือแดง แต่เราร่วมมือกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับเขาได้ และต้าร์จะต้องเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องเจอแบบนี้" นายรังสิมันต์ กล่าวพร้อมยืนยันว่ารัฐบาลต้องมาจากประชาชน
ขณะที่นายพริษฐ์ ในฐานะนักกิจกรรมที่ออกมาเคลื่อนไหวในวันรุ่งขึ้นหลังการหายตัวไปของนายวันเฉลิม กล่าวว่า แม้ไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดที่สุดกับพี่ต้าร์ แต่ครั้งหนึ่งเคยไปเที่ยวในประเทศกัมพูชาแล้วพี่ต้าร์พาเที่ยวสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในประเทศกัมพูชา จนกระทั่งกลับมาแล้วได้ทราบข่าวทีหลังจากเทียน (นางสาวประกายดาว พฤกษาเกษมสุข) ซึ่งโทรศัพท์หาพี่สมยศ (นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข) ขณะอยู่ด้วยกัน จึงตัดสินใจเคลื่อนไหวที่สกายวอล์กปทุมวันเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 63
การทวงความเป็นธรรมให้กับพี่ต้าร์มันคือการทวงความเป็นประชาชนให้ตัวเองด้วย เราเป็นประชาชนมันจะตายจะหายกันง่ายแบบนี้ไม่ได้ ผมเลยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองประชาธิปไตยที่เราจะต้องรักษาและหวงแหนเสรีภาพของเพื่อนพลเมืองแม้เราจะไม่รู้จักกันก็ตาม นายพริษฐ์ กล่าว และย้ำว่านายวันเฉลิมเป็นสัญลักษณ์ทั้งการถูกปราบปรามและต่อสู้ทางการเมือง
ด้านนางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ผู้จัดกิจกรรม กล่าวว่า เรายังคงเรียกร้องต่อไปให้ทางการไทยต้องเข้ามาทำหน้าที่ และดำเนินการสอบสวนอย่างรอบด้าน อย่างไม่ลำเอียง และเป็นอิสระต่อการบังคับบุคคลให้สูญหายซึ่งเกิดขึ้นกับพลเมืองของตนเองในระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผู้ลี้ภัยชาวไทยหลายคนถูกบังคับให้สูญหายในประเทศเพื่อนบ้าน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการสอบสวนที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล
สำหรับกิจกรรมในวันนี้ปิดท้ายด้วยผู้เข้าร่วมงาน ช่วยกันจุดเทียนแห่งความหวัง แสดงสัญลักษณ์แห่งศรัทธาเพื่อสิทธิมนุษยชน และร่วมประกาศเจตนารมณ์ว่า ไม่ควรมีใครถูกอุ้มหาย ทำให้เสียชีวิตหรือถูกดำเนินคดีเพียงเพราะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมือง หรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาล บุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิในเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตราบใดที่การแสดงออกนั้นไม่สร้างความเกลียดชังหรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงในสังคม
#Saveวันเฉลิม #2ปีเราไม่ลืมวันเฉลิม
#เราคือเพื่อนวันเฉลิม
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์