วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2564

[ถอดเฟซบุ๊คไลฟ์] ธิดา ถาวรเศรษฐ : การต่อสู้กับโควิด19 ของรัฐไทยที่เป็นเผด็จการในระบบอุปถัมภ์

 


การสู้กับโควิดในระบบที่เป็นลิงปิดหู ปิดตา ปิดปาก มันจะไม่ทำให้ประเทศไทยชนะโควิด ไทยจะชนะโควิดได้ต้องให้ความรู้เบิกบาน ต้องไม่ใช่แล้วแต่นายสั่ง ปัญหาอยู่ที่ว่า “นาย” รู้มั้ย ถ้า “นาย” มีความรู้ดีและเก่งจริง แม้จะมีท่วงทำนองเผด็จการ ก็ยังทำงานได้ประโยชน์ แต่ถ้าเป็นระบอบเผด็จการที่ไม่มีองค์ความรู้ การต่อสู้กับโควิดบอกได้เลยว่าไม่มีอนาคต!

 

เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 64) ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มีการสนทนาผ่านการทำเฟซบุ๊คไลฟ์ โดยอ.ธิดากล่าวว่า ดิฉันได้กล่าวไว้แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่าเราคงต้องมาพูดเรื่องโควิดกันอีกที แล้วอาจจะต้องพูดติดต่อกันไปเรื่อย ๆ

 

อ.ธิดากล่าวต่อว่า ดิฉันได้เริ่มพูดเรื่องของโควิดมาตั้งแต่ปลายปี 2562 แล้วว่าในมุมมองของผู้ที่พอจะมีความรู้เรื่องโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคการระบาดของไวรัส เราเข้าใจแล้วว่า “วัคซีน” จะเป็นอาวุธที่มีพลัง สุดท้ายต้องจบที่ “วัคซีน” ไม่ใช่จบอยู่ที่ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดจมูก

 

ดังนั้น เราก็เริ่มพูดมา แล้วก็ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าอาวุธที่สำคัญที่ทรงพลังในการจะจบ ในการที่เราจะชนะโรคระบาดการติดเชื้อไวรัส ไม่ใช่ยา ไม่ใช่การระมัดระวังตัวเอง แต่เราจะต้องมี “วัคซีน” อันนี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด จากประสบการณ์ของการระบาดของไวรัสต่าง ๆ มาในอดีต (จากอดีตจนถึงปัจจุบัน) เพราะแบคทีเรียเรามียารักษาได้ง่าย แต่สำหรับไวรัสนั้น การใช้ยาฆ่ายังทำไม่ได้ แม้จะมีความพยายาม แต่ก็ทำได้ไม่ดี ยังได้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นต้องจบที่ “วัคซีน” อ.ธิดาตอกย้ำ

 

และเราก็ได้เตือนมาแล้วว่า “วัคซีน” ที่เกิดขึ้นในโลกนี้มันมีหลายเทคโนโลยี มีหลายแหล่งของการผลิต แล้วก็มีสัญญาณที่ไม่ดีเลยของประเทศไทย แต่ดิฉันอาจจะไม่ได้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการที่จะทำให้กระตุ้นเตือนสังคม ก็มีผู้มาพูดขยายต่อ เพราะการที่เราไปผูกขาดวัคซีนเจ้าเดียวด้วยความเชื่อมั่น เราตั้งหัวข้อในวันนี้ที่จะพูด มันจะเป็นคำอธิบายทั้งหมดก็คือ

 

“การต่อสู้กับโควิด19 ของรัฐไทยที่เป็นเผด็จการในระบบอุปถัมภ์”

 

การตั้งชื่อหัวข้อตัวนี้มันอธิบายทุกอย่าง ชื่อมันอาจจะยาว แต่ถ้าฟังชื่อแล้วเราจะรู้ได้เลยว่าเรายังไม่ชนะ และเราอาจจะแพ้ไปอีกนาน (รัฐบาลนี้ชอบใช้คำว่า ชนะ ๆ) เพราะส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือเนื่องจากรัฐไทยเป็นเผด็จการและอยู่ในระบบอุปถัมภ์ ดังนั้นระบอบเผด็จการ ท่วงทำนองของเผด็จการและระบบอุปถัมภ์ที่เรียกว่าคนเก่งกว่านายไม่ได้ นายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตาม ถ้าภาษาโบราณก็ “นายว่าขี้ข้าพลอย” หรือว่า “จะเก่งกว่านายไม่ได้”

 

ระบอบเผด็จการและระบบอุปถัมภ์ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่ง นอกเหนือไปจากองค์ความรู้ที่ยังอยู่ในระหว่างพัฒนา ในขณะนี้เราต้องยอมรับความจริงว่าโรคติดเชื้อโควิด19 ขณะนี้โลกยังเอาชนะไม่ได้ แต่มีรัฐบางรัฐที่ผู้นำมีวิสัยทัศน์ และเขาไม่ได้ติดอยู่ในระบบอุปถัมภ์ เขาไม่ได้เป็นรัฐเผด็จการ มีวิสัยทัศน์มองไปข้างหน้า เห็นค่าของประชาชนสูงมาก เกินกว่าคำว่าเสถียรภาพของตัวเอง ดังนั้นจะต้องทุ่มเททรัพยากรและความคิดความรู้ทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหานี้ ตัวอย่างก็คือ อิสราเอล หรือแม้กระทั่ง สหรัฐฯ หรืออังกฤษ มีท่าทีว่าจะสามารถเอาชนะได้พอสมควร อาจจะยังไม่ชนะโดยสิ้นเชิง แต่ว่าเวลาเราดูการขับเคลื่อนของกราฟที่ลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญของผู้ติดเชื้อในประเทศเหล่านี้ที่พูดมาข้างต้น ก็ต้องถือว่าเขาประสบความสำเร็จจริง และก็เนื่องจากมีองค์ความรู้จริง ตรงนี้จึงเรียกว่าน่าเชื่อถือ แต่เขายังไม่ได้หยุดนะ อย่างอิสราเอลนี่ยังเตรียมวัคซีนเท่ากับจำนวนคนอีกล็อตใหม่ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าโรคนี้มันหยุดลงไปแล้ว แต่มันอาจจะขึ้นมาใหม่ หรือกลายพันธุ์ใหม่ อ.ธิดากล่าว

 

ดิฉันอยากจะเพิ่มเติมอีกว่า นี่เป็นการต่อสู้ มันเหมือนสงครามระหว่าง “เชื้อโควิด19” กับ “มนุษย์โลก” แล้วเชื้อมันเก่ง มันไม่ได้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ มันไม่ได้อยู่ในระบอบเผด็จการ มันก็มีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ในอิสราเอลก็ต้องเตรียมวัคซีนล็อคต่อไป แล้วก็ต้องเตรียมเทคโนโลยีเพราะว่าอาจจะมีเชื้อกลายพันธุ์ ซึ่งสามารถระบาดใหม่ได้ เพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์มันจะต้องเป็นอย่างนี้

 

ไม่ใช่บอกว่ารักษาระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากากอย่างเดียว แล้วจะเอาชนะเชื้อตัวนี้ได้ มันไม่ใช่! มันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น! แล้วก็มีความหยิ่งทะนง ลำพองใจ แล้วก็ใช้ระบบปิดปาก ปิดตา ปิดหู อันนี้มันใช่ระบบอุปถัมภ์เลย เช่น หมอที่พูดว่าอันนี้ขาดแคลน อันนั้นยังไม่เหมาะสมถูกปิดปาก สำหรับประชาชนขณะที่อยู่ในยุคที่เทคโนโลยีใหม่ ประชาชนสามารถรู้ข่าวคราวได้มากมาย ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนนะ แต่ก็ยังจะพยายามจำกัดข้อมูล ปล่อยข้อมูลมา และให้รับข้อมูลตามที่รัฐไทยปล่อย เพราะฉะนั้นก็จะมีการแก้ข่าวอยู่ทุกวัน

 

ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่ใช่รัฐไทยในระบอบเผด็จการก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดตา ปิดหู และปิดปาก และถ้าไม่ใช่รัฐในระบบอุปถัมภ์ ความคิดเห็นหลากหลายที่แตกต่างจากนาย หรือแตกต่างจากบางสำนัก แตกต่างจากกระทรวงสาธารณสุข หรือแตกต่างจากมหาวิทยาลัยบางมหาวิทยาลัย ก็คือสามารถเบิกบานได้ เพราะดิฉันยังเชื่อว่าแพทย์ไทยเก่ง อ.ธิดากล่าว

 

ดิฉันเคยไปรับประกันกับทูตต่างประเทศจำนวนหนึ่ง เพราะบอกเขาว่าไม่เป็นไร เราก็มีความเชื่อมั่นว่าหมอไทยเป็นคนที่หัวดี/หัวไบร์ท ก็คงจะแก้ปัญหาได้ ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ดิฉันต้องขอถอนคำพูด เพราะว่าประจักษ์ชัดแล้วว่าความเก่งที่เก่งเพื่อตัวเอง เพื่อเอาตัวรอดและไต่เต้า มันไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของสังคมประเทศและส่วนรวมดีขึ้น อย่างนี้เขาไม่ได้เรียกว่าเก่งจริง คือเพื่อเอาตัวรอด ไม่อย่างนั้นจะไม่ไปเป่านกหวีดกันเต็มไปหมดหรอก

 

เพราะฉะนั้น หมอที่ไปเป่านกหวีดทั้งหลาย (เกือบหมดกระทรวงเลย) มีนกหวีดทองคำด้วย (ปลัดกระทรวงฯได้) ก็แปลว่ายืนยันอยู่ในระบบอุปถัมภ์เต็มที่ ก็คือท่านปลัดฯ ว่าอย่างนี้ รองปลัดฯ ไล่ลงมา อธิบดี อะไรต่าง ๆ ก็ตามกันหมด ฉะนั้นเป่านกหวีดทั้งกระทรวงเลย อันนี้ก็เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ตาม ๆ กัน ดิฉันถึงต้องขอถอนคำพูด

 

จากชื่อตัวนี้ก็พอจะทำนายได้ว่า การต่อสู้กับโควิดในระบบที่เป็นลิงปิดหู ปิดตา ปิดปาก (ไม่พูด) มันจะไม่ทำให้ประเทศไทยชนะโควิดได้ เพราะฉะนั้น ไทยจะชนะโควิดได้ต้องให้ความรู้เบิกบาน ต้องไม่ใช่เรียกว่า “นาย” เป็นระบบ Top-Down ก็คือแล้วแต่นายสั่ง ปัญหาอยู่ที่ว่านายรู้มั้ย ถ้านายมีความรู้ดีและเก่งจริง แม้กระทั่งจะมีท่วงทำนองเผด็จการ มันก็ยังทำงานได้ประโยชน์ แต่ว่าถ้าเป็นระบอบเผด็จการที่ไม่ได้มีองค์ความรู้ การต่อสู้กับโควิดดิฉันบอกได้เลยว่าไม่มีอนาคต!

 

อ.ธิดา กล่าวต่อไปว่า ทีนี้จะถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ติเรือทั้งโกลน เราก็ยินดีจะพูดถึงปมเงื่อนที่จะต้องแก้ไข ยกตัวอย่าง

 

ประการแรก ปัญหาการที่มีการนำเข้า เราเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว นำเข้าจากอู่ฮั่น พูดเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ โอ้ย..จีนเขาจัดการได้ จนอู่ฮั่นเต็ม ต่อมาก็นำเข้าจากอังกฤษ ตอนนี้จะนำเข้าจากอินเดียหรือเปล่า? หมายความว่าเราไม่มีขีดความสามารถในการที่จะยับยั้งการนำเข้าของเชื้อโรคซึ่งมีการกลายพันธุ์เป็นรุ่น ๆ และการระบาด (ดิฉันจะไม่ย้อนไปพูดเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และก็แก้ไขยังไม่ได้)

 

รวมทั้งการไม่มีการเรียกว่าหาเชื้อในเชิงรุก การไม่ยอมใช้ Rapid Test หรือว่าการที่จะพยายามสงวนเงิน แล้วมันคุ้มหรือเปล่ากับการที่ไม่ยอมตรวจเชิงรุก เท่าที่ดิฉันทราบก็คือ แม้กระทั่งคนที่อยู่ในประกันสังคม วันก่อนไปตรวจ 2 หมื่นคน เจอคนติดเชื้อตั้ง 400 แปลว่า 1 ใน 50 แล้ว อันนั้นเป็นคนปกติในระบบประกันสังคม เพราะฉะนั้นตอบได้เลยว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าขณะนี้ ถ้าเรามาคิดเอาให้มันน้อยกว่านั้น อาจจะเป็น 1 ใน 70, 1 ใน 80 แปลว่าคนไทยขณะนี้ 1 ใน 50 ไปจนถึง 1 ใน 100 ติดเชื้อ พูดอย่างนี้ได้หรือเปล่า? น่ากลัวไหม?

 

อัตราส่วนพบผู้ติดเชื้อของผู้ประกันตน 20,000 คน คิดเป็น 1:50 คน

ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่มีผู้ติดโควิดขณะนี้ 1:50 ไปจนถึง 1:100 คน

 

ดังนั้น การระบาดมันจึงยิ่งยกระดับตลอดเวลา เพราะว่าคุณไม่สามารถสกัดกั้นที่มาของเชื้อ คุณไม่สามารถที่จะไปยับยั้งการระบาด คุณปล่อยให้ระบาดแล้วคุณเอาหลังพิงโรงพยาบาล แล้วตอนนี้โรงพยาบาลก็รับไม่ไหว นี่ก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นมา

ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องทำแล้วต้องแก้เพราะว่าขณะนี้เป็น 1 ใน 50 ไปจนถึง 1 ใน 100 ของคนที่เดินอยู่ทั่วไปมีการติดเชื้อ น่าเป็นห่วงมาก!

 

ประการที่สอง ก็คือ ขีดความสามารถการบริหารงานในด้านงานสาธารณสุขอันเนื่องมาจากที่เราอยู่ในระบบอุปถัมภ์ มันต่างคนต่างอยู่

 

- กลุ่มโรงพยาบาลเอกชน

- กลุ่มโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ในกลุ่มโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยก็ยังมี ศิริราช,  จุฬา ต่างคนต่างเป็นยอดภูเขา

- กลุ่มโรงพยาบาล กทม.

- โรงพยาบาลของกองทัพ

- หรืออะไรต่าง ๆ หน่วยงานต่าง ๆ

 

กับกลุ่มของโรงพยาบาลสาธารณสุขในกรุงเทพฯ ทั้ง ๆ ที่เรามีหมอ มีโรงพยาบาลมากที่สุดเมื่อเทียบกับต่างจังหวัด แต่ว่าการบริหารและการประสานงานแย่มาก! ความคิดและเทคโนโลยีต่ำมาก (แบบที่คนเอามาดูนั่นแหละ) จึงทำให้คนไม่สามารถที่จะเข้าถึงบริการ หาเตียงไม่ได้ ไม่ยอมรับสายโทรศัพท์ ไม่มีรถรับส่ง ต่าง ๆ เหล่านี้ แต่ก็จะบอกว่ามี มีมากพอ

 

ทั้งหมดนี้มันสะท้อนถึงความล้มเหลวของกระทรวงสาธารณสุขและของรัฐไทยในการที่จะดูแลประชาชนซึ่งเป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแต่เป็นการบริหารจัดการที่ยังไม่ดีเพียงพอ ขีดความสามารถยังมี แต่บริหารจัดการแบบตัวใครตัวมัน แล้วไม่มีศักยภาพเพียงพอในการที่จะบริหารทั้งหมดว่า ในกรณี worst case ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดของสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศทไทยในเรื่องของโรคติดเชื้อคุณจะทำอย่างไร?

 

ประการที่สาม เรื่องของ “วัคซีน” เราได้พูดตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในระบบเผด็จการและระบบอุปถัมภ์ คุณไม่มีทางเลยที่คุณจะเอาวัคซีนตัวเดียว มันเป็นไปได้อย่างไรว่าหมอไทยทั้งประเทศไม่รู้หรือว่าวัคซีนมันมีหลายเทคโนโลยี แล้วมันยังเพิ่งทำ มันจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นหรือ? แล้วสยามไบโอไซเอนซ์ ดิฉันยังไม่รู้เลยว่ามิถุนายนนี้จะผลิตได้หรือเปล่า? เพราะเท่าที่ดิฉันมีข้อมูลก็คือ เขาเพิ่งส่งวัตถุดิบ (นี่เป็นเอกสารนะ) เพิ่งส่งวัตถุดิบมาให้ เขาเพิ่งรับรองในเดือนมี.ค. และเขาจะส่งวัตถุดิบมาในเดือน พ.ค. - มิ.ย. แล้วเราจะผลิตได้ 5-6 ล้านโดสหรือเปล่า? อันนี้ดิฉันละเอาไว้

 

แต่เตือนให้รู้ว่าคุณต้องคิดด้วยนะ แม้กระทั่ง แอสตร้า เซนเนก้า ของสยามไบโอไซเอนซ์ ที่ลงทุนไปให้ก่อนตั้งเยอะแยะ อาจจะผลิตไม่ทันเดือนมิถุนายน แล้วคุณไปเที่ยวเร่หาวัคซีนจากซิโนแวค แล้วคำถามว่า หมอไทยคิดไม่ออกเหรอว่าของประเทศจีนซึ่งใช้วัคซีนที่เชื้อตายแล้ว ประเทศไทยก็ทำได้ ทำไมคุณไม่สนับสนุนองค์การเภสัช ขณะนี้เขากำลังทดลองอยู่ ถ้าคุณสนับสนุนตั้งแต่ต้น ป่านนี้ไปเฟส 2  เฟส 3 แล้วในการทดลองกับคน แล้วของประเทศจีน ทำไมไม่ใช้ซิโนฟาร์ม (อันนี้คือเชื้อตาย) แล้วทำไมไม่ใช้ Messenger RNA คุณมาเอาที่ DNA เป็น Vector คือ แอสตร้า เซนเนก้า ซึ่งมันผลิตยาก แล้วเมื่อคุณเอา DNA ไวรัสเข้าไป ปัญหาของ DNA ไวรัสมันก็อาจจะมีร้อยแปดดังที่เกิดขึ้นเราเรารับรู้ข่าว

 

ดังนั้น มันต้องมีหลายตัว หลายวิธี ต้องเผื่อขาดเผื่อเหลือ ตอนนี้เราไปเอาแอสตร้า เซนเนก้า จากเกาหลีมา แต่เกาหลีเลิกใช้ เกาหลีไปใช้ตัวอื่นแทน ใช้ Messenger RNA เพราะฉะนั้นเขาก็เที่ยวตามหา Moderna, Pfizer นี่ไม่นับว่ามีคนนินทาว่าตัวแทน Pfizer พยายามไปคุยกับรัฐมนตรีคนนี้ (ซึ่งมีพวก “หมอไม่ทน” พยายามจะไล่ออกอยู่นี่) ตั้งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

 

มันสะท้อนว่าความรู้ที่มีอยู่ ถ้ามันถูกครอบด้วยระบอบเผด็จการและระบบอุปถัมภ์ที่ต้องตามนาย นายว่าดีก็ต้องดีตาม ถ้านายบอกว่าไม่เป็นไร เอาเจ้าเดียวนี่แหละ คำถามว่านายรู้มั้ยว่ามันผลิตวัคซีนยาก แล้วมันหลายเทคโนโลยีนะ อนาคต อ็อกซ์ฟอร์ดก็อ็อกซ์ฟอร์ดเถอะ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง เพราะมันรีบ มันยังไม่สามารถลงสู่เฟส 2 เฟส 3 ได้อย่างสมบูรณ์ ปกติวัคซีนกว่าจะเอามาใช้ได้ต้องทดลองตั้งหลายปี แต่นี่ภายใน 1 ปี พยายามเอามาใช้ ดังนั้นมันจะมีปัญหาร้อยแปด อ.ธิดากล่าว

 

ปัญหาวัคซีนของความหลากหลาย เทคโนโลยี และแหล่งผลิต ตรงนี้ชัด ๆ เลยว่า ระบอบเผด็จการและระบบอุปถัมภ์ อยู่กับความกลัวและความเชื่อตามคนที่ไม่รู้เรื่อง จึงทำให้ประเทศไทยล้าหลัง กับ WHO (องค์การอนามัยโลก) ก็ไม่ยอมไปซื้อของเขา อ้างเหตุผลร้อยแปด แล้วถ้ามิถุนายนยังผลิตไม่ได้แล้วจะว่ายังไง? หรือผลิตได้ แต่ละล็อตมันก็มีปัญหาไม่เหมือนกัน มันต้องส่งไปตรวจสอบ

 

เพราะฉะนั้นในปัญหาเรื่องของวัคซีนในขณะนี้ แม้จะพูดว่าจะพยายามมา แต่คำถามว่าถ้าคุณฉีดวัคซีนไม่เพียงพอ

 

1) คุณเลือกวัคซีนไม่ได้หลากหลายพอ แล้วบางชนิดมีปัญหา

2) วัคซีนที่คุณตัดสินใจซื้อมันมากและปัญหามันเยอะ ขนาดมากและปัญหาเยอะยังไม่รู้ว่าจะผลิตออกมาได้ไหม? แล้วจะมีปัญหาเฉพาะแหล่งผลิตอีก

 

คำถามก็คือว่า ถ้าผ่านไปอีก 3 เดือน กราฟของผู้ติดเชื้อเรากำลังไต่บันไดสูง แล้วมันมีโอกาสกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ อีก เรารับอยู่ไหม? มันต้องฉีดวัคซีนควบคู่ ต้องฉีดวันละ 3 แสนโดส ไม่งั้นมันไม่ทัน คือจริง ๆ เราควรจะให้เวลาที่เหลือไม่เกิน 3 เดือน นี่ พ.ค., มิ.ย., ก.ค., ส.ค., ก.ย. 5 เดือน

 

5 เดือนนี้ ตอนนี้ พ.ค. ยังไม่ขึ้น เราหลังพิงโรงพยาบาล กำลังจะร่อแร่แล้วว่าเราจะรับไม่อยู่ ถามหน่อยว่าอีก 4 เดือนจะเป็นยังไง? ถ้าคุณไม่สามารถฉีดวัคซีนได้วันละ 3 แสน คุณต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ การบริหารจัดการวัคซีน มันต้อง 3 แสนต่อวัน มันถึงจะทัน ก่อนหน้านี้ได้แสนกว่า ต้องขยับมาเป็น 2 แสน และ 2.5 แสน และ 3 แสน ถ้า 3 แสน 1 เดือน คุณก็ได้ 9 ล้าน ฉีดทุกวันเลยนะ แล้วคุณจะได้ 100 ล้านเมื่อไหร่ เพราะมันมีฉีด 2 เข็ม ถ้าคุณไม่ได้ 3 แสน ดิฉันว่าแย่แน่ ท่านบอกว่าไปถึง ธ.ค.

 

ธ.ค. นี้อย่าให้เกิดภาพแบบอินเดียนะ ที่ต้องไปเผาศพกลางถนนหรือในทุกที่ แล้วทุกวันนี้ดิฉันก็เห็นภาพบางวัดก็พระใส่ชุด PPE แล้วก็ออกมานั่งสวด อันนี้ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่าการเก็บศพเป็นยังไง เพราะพระบอกว่าไปถามสาธารณสุขมาแล้ว ผลที่เกิดขึ้นคือพระใส่ชุด PPE ดิฉันก็คิดว่ามันก็คงไม่ใช่วิธีการที่ถูกในการแก้ปัญหาเรื่องศพ มันไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น เพราะว่าถ้าคุณมีซิปล็อค คุณใส่พลาสติกอย่างดี แล้วก็อยู่ในหีบ แล้วเผา มันก็ไม่มีปัญหาขนาดนั้น ยกเว้นว่าศพตั้งอยู่กลางแล้วไม่มีอะไรปิด แล้วก็ยกไปที่โน่นที่นี่ อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ดิฉันว่าไปถึง ธ.ค. ไม่ได้ แล้วการซื้อวัคซีนต้องซื้อไปเรื่อย ๆ ที่คุณซื้อตัวเดียว แล้วคุณก็คุยนักคุยหนา นี่แหละเป็นระบบอุปถัมภ์ชัด ๆ และด้วยความกลัว ความรู้ก็เลยไม่สามารถที่จะเอามานำพา คุณหลุด ไม่ออกจากระบบอุปถัมภ์ คุณไม่สามารถที่จะหลุดไป คุณก็กลายเป็นลิง ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ต่อให้คุณเป็นลิงที่เก่งอย่างไร ถ้าคุณนั่งปิดหู ปิดตา ปิดปาก ความเก่งของคุณก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพียงแต่หัวหน้าลิงอาจจะเมตตาว่าคุณเป็นลิงนิสัยดี ไม่มีการแข็งข้อ ไม่มีการโต้เถียง อะไรอย่างนี้

 

ดิฉันมองแล้วว่า ที่จะต้องเตรียมอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากคุณจำเป็นต้องฉีด นี่มองในแง่ดีว่า แอสตร้า เซนเนก้า ได้มา 60 กว่าล้านโดส สำหรับ 30 ล้านคน ประวัติของที่อื่นคือ 1 ใน 2.5 แสนก็อาจจะเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน คุณต้องมียา เพราะว่าฉีดทั่วประเทศ 1-2 ต่อ 2.5 แสนคน (2.5 แสนโดส) มันอาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นคุณต้องมียาแก้ ไม่ใช่บอกว่าเป็นอาการข้างเคียงแล้วปล่อยให้ตายไป แล้วบอกว่าจะมีปัญหาถ้าคิดภาพรวมแล้วคุ้มกว่า ความหมายก็คือ ไม่เป็นไร อาจจะมีปัญหาตายไปจำนวนหนึ่ง แต่คนรอดมากกว่า

 

ดิฉันว่าในทางการบริหารจัดการประเทศ พูดอย่างนี้ไม่ได้นะ (มีหมอบางคนพูดแล้ว) ก็คือมันคุ้มกว่าที่จะฉีดแม้นว่าจะมีปัญหา แต่คุณจะต้องบอกกับประชาชนว่า อาจจะมีปัญหา แต่คุณจะแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเจ็บและตายไป ดิฉันจะไม่ไปพูดสืบสาวที่มีการเสียชีวิต แต่ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ นั่นก็คือถ้ามองในแง่ดีว่า แอสตร้า เซนเนก้า ได้มา คุณคืนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาทิ้งเลยก็มีนะ คือเลือกฉีดในคนที่โอกาสเสี่ยงน้อยที่สุด โดยดูว่าเป็นเพศหญิงหรือเปล่า แล้วอยู่ในอายุช่วงไหนถึงควรจะฉีด แอสตร้า เซนเนก้า ได้ หรือควรฉีดซิโนแวคได้ หรือตัวอื่น ๆ  ในบางทีอย่างอิสราเอลคือเขาจะสั่งมาก่อน เขาอาจจะไม่ใช้ก็ได้ เพราะว่าชีวิตคนมีค่า มันไม่ใช่เหมือนบอกว่าฉีดไปเถอะ เราสั่งมาแล้ว แอสตร้า เซนเนก้า ถูกที่สุด ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้ฉีด พูดอย่างนี้มันก็ถูก

 

แต่ว่าในแง่ประชาชนนั้น ในการบริหารรัฐ คุณพูดอย่างนี้ไม่ได้ ชีวิตคนมีค่าหมด คุณอาจจะบอกว่าตายในอุบัติเหตุมากกว่า อันนั้นมันก็เป็นเรื่องอุบัติเหตุ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นบริการของรัฐ รัฐจะต้องทำให้ดีที่สุด มันจะต้องเป็นรัฐที่มีวิสัยทัศน์ รัฐที่รักประชาชน และเตรียมพร้อมในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นรุนแรงที่สุด รุนแรงปานกลาง จะต้องเตรียมพร้อมอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร

 

ดิฉันอยากจะบอกว่า ไอ้งบที่เอาไปแจก ๆ ตอนนี้เสนอวิธีที่จะช่วยอีกอย่างหนึ่งง่าย ๆ ก็คือ การเพิ่มงบประมาณมาสู่กระทรวงสาธารณสุข เพราะตอนนี้ยังใช้งบประมาณน้อยมาก เพิ่มงบประมาณ เพิ่มบุคลากร คนที่ว่างงานเอามาฝึกเป็นผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยแพทย์ ผู้ช่วยเทคนิคการแพทย์ ได้เยอะแยะเลย อาจจะจ้างไป 2-3 ปี ทุ่มเทบุคลากร ก็ขนาดโรงพยาบาลตำรวจยังต้องเอาตำรวจมาเป็นพลเปลเลย เพิ่มบุคลากร เพิ่มงบประมาณ เพิ่มทรัพยากรลงมาให้ถูกที่ เพราะชีวิตประชาชนมีค่า อย่าบอกว่าไม่เป็นไร อาจจะมีปัญหาอยู่ แต่ว่ารักษาคนส่วนใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าตายไปบ้างก็ไม่เป็นไร ดิฉันว่าพูดอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าคุณเป็นรัฐบาล ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาโควิดครั้งนี้ได้ ปกติถ้าเป็นรัฐที่ไม่ใช่รัฐเผด็จการ ถ้าเป็นรัฐที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาจะอยู่ไม่ได้ เขาต้องรับผิดชอบความผิดพลาดตั้งแต่ต้นที่ปิดกั้นเชื้อไม่ได้ แก้ปัญหาการระบาดไม่ได้ แล้วแก้ปัญหาขณะนี้ หาเตียง หาการรักษาพยาบาลให้ตอบสนองคนไม่ได้ เขาอยู่ไม่ได้แล้วนะ

 

ดิฉันไม่ได้พูดโจมตีอย่างเดียวนะคะ ดิฉันได้ชี้ปัญหาอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว มีอยู่อย่างเดียวคือดิฉันรู้ว่าเมื่อเป็นรัฐเผด็จการที่ไม่ยอมลงจากอำนาจ และระบอบอุปถัมภ์ที่ยังครอบงำสังคมไทย มันจึงเป็นการยาก!


สุดท้าย อ.ธิดากล่าวว่า "ขอเรียกร้องมายังบุคลากรทางการแพทยืและปัญญาชนทั้งหลาย อย่าเป็นลิงปิดตา ปิดหู และปิดปาก ถ้าลิงทั้งหลายเปิดตา เปิดหู และเปิดปาก หัวหน้าลิงก็ต้องฟังค่ะ" อ.ธิดากล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์