วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2564

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : งานรำลึกและสดุดีวีรชน เมษา-พฤษภา53 ณ อนุสรณ์สถาน14ตุลา (แยกคอกวัว) วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 เวลา 13.00 - 15.00 น.

 


ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : งานรำลึกและสดุดีวีรชน เมษา-พฤษภา53 ณ อนุสรณ์สถาน14ตุลา (แยกคอกวัว) วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 เวลา 13.00 - 15.00 น.

........

พี่น้องที่เคารพ ตลอดจนสื่อมวลชนที่เคารพทุกท่านครับ นี่เป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ที่ผมได้มายืนอยู่ในบริเวณถนนประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้แห่งนี้ เรามาพบกับในสถานการณ์ที่เราต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะเรากำลังหวาดกลัวกับโรคระบาดที่กำลังส่งผลกระทบกับสังคมไทยและสังคมโลก แต่ท่านที่เคารพครับ เนื่องจากว่าอากาศค่อนข้างร้อน เรานั่งกันในที่แคบ ๆ ก็แออัด ผมสวมหน้ากากนี้มาตั้งแต่เช้า มันก็ชุ่มเหงื่อที่เต็มใบหน้า ก็ขออนุญาตเปลี่ยนหน้ากากก็แล้วกันนะครับ


(แล้ว ‘ณัฐวุฒิ’ ก็ถอดหน้ากากเดิมสีขาวออก แล้วสวมหน้ากากอันใหม่สีดำ ซึ่งมีรูปภาพเยาวชนที่ถูกคุมขังในเรือนจำโดยไม่ได้สิทธิ์ปล่อยตัวชั่วคราว)


ผมได้รับแจกหน้ากากอันนี้หน้างานเมื่อสักครู่ จึงมาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าน่าจะใช้ได้ผลดี นอกจากป้องกันเชื้อโรคระบาดแล้ว ยังน่าจะป้องกันเชื้อโรคอุบาทว์ได้ด้วย แต่ลึก ๆ ในใจจริง ๆ ที่ผมใส่หน้ากากนี้ ผมไม่ได้กลัวโควิดนะครับ  แต่ผมกลัวผู้คนในบ้านเมืองนี้จะลืมพวกเขาที่มีรูปอยู่ในหน้ากากนี้  ผมกลัวพวกเขาจะได้รับอันตราย!


แล้วผมอยากจะพูดออกจากหัวใจซึ่งพูดมาตลอดตั้งแต่ได้รับอิสรภาพ ก็คือ “ปล่อยเด็กออกจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่” 


(ท่ามกลางเสียงปรบมือก้องพร้อมเสียงตะโกน ปล่อยเพื่อนเรา ๆ ๆ)   


ไม่มีประเทศและสังคมใดเติบโตก้าวหน้าโดยการจับลูกหลายที่มีพลังแห่งกรเปลี่ยนแปลงไปไว้ในที่คุมขัง  ไม่มีประเทศใดประกาศว่าเป็นประเทศของประชาชนตราบเท่าที่ผู้มีอำนาจยังคงโบยตีเยาวชนกลางท้องถนน ดังนั้น ผมก็ต้องเอาหน้ากากอันนี้มาใส่


แต่อย่างไรก็ตามท่านที่เคารพ  เราคงพูดจากันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะใส่หน้ากากนี้ตลอดการสนทนาก็เกรงว่าจะไม่สะดวกนัก ผมอยากจะถอดหน้ากาก แล้วให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ติดตามกิจกรรมนี้อยู่ได้มองหน้าผมไว้ 


(ว่าแล้ว ‘ณัฐวุฒิ’ ก็ถอดหน้ากากออก)


พวกคุณจำผมได้มั้ย?  

ผมกับเพื่อนนี่ไง! ที่ถูกพวกคุณไล่ยิงไล่ฆ่ากลางถนนเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา  

ผมนี่ไง! ที่มาพร้อม ๆ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ มาพร้อมกับคำเยาะเย้ยเหยียดหยามถากถางต่าง ๆ นานา มาแล้วถูกเข่นฆ่า โดยพวกคุณอาจะลำพองใจว่าพวกคุณชนะพวกเรา พวกคุณได้กวาดล้างพวกเราไปแล้ว พวกคุณได้ทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเรา  แต่ผมนี่ไง! กลับมายืนตรงนี้อีกทีหลังจากวันเวลาผ่านไปแล้ว 11 ปี


ผมกลับมายืนเพื่อบอกว่าการฆ่าไม่ใช่คำตอบ

ผมกลับมายืนเพื่อบอกว่าฆ่าไปก็เกิดใหม่  

เกิดใหม่ก็ยืนในที่ยืนเดิมของคนที่ถูกฆ่า


ดังนั้น บ้านเมืองนี้มันถึงเวลาที่คนทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ทุกฝ่าย ต้องเปิดใจเข้าหากัน มันถึงเวลาที่เราจะต้องยอมรับความจริงว่า ไม่มีอำนาจหรือไม่มีสังคมใดปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์แห่งความเปลี่ยนแปลงได้  


ผมมาเพื่อจะบอกว่า  (ขณะนั้นฝนก็ตกลงมา)  ฝนที่ตกลงมาเปรียบเสมือนน้ำตาอันปลาบปลื้มของวีรชนผู้สูญเสียเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา  ถ้าหยาดน้ำนี้เป็นหยดน้ำตาของผู้ที่ถูกฆ่าตายเมื่อ 11 ปีที่แล้ว อย่างที่ผมว่า ร้องไห้ลงมาเพื่อนเอ้ย...ร้องไห้ลงมา...ร้องมา  เพราะก่อนที่จะมาถึงวันนี้ ผมก็ร้องไห้ให้กับเหตุการณ์นี้แล้วเช่นเดียวกัน  ผมก็หลั่งน้ำตาให้กับพลังของคนหนุ่มสาว  ให้กับพลังของลูกหลานที่เขายื่นมือมาซับน้ำตาเรา  ที่เขายื่นมือมาโอบกอดการต่อสู้ของ “คนเสื้อแดง” ดังนั้น ผมอยากจะให้น้ำตานี้เป็นน้ำตาสายสุดท้าย  ผมอยากจะให้ซากร่างไร้วิญญาณของพวกเราเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เป็นความสูญเสียสุดท้าย


ไม่ควรมีประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศคนใดต้องถูกฆ่าตายโดยรัฐ เพียงเพราะพวกเขาเรียกร้องทวงถามอำนาจซึ่งเป็นพวกเขาอยู่แล้วโดยชอบตลอดมา ประชาชนไม่ประสงค์จะแย่งชิงอำนาจจากมือใคร ประชาชนไม่พึงประสงค์ที่จะไปโค่นล้มทำลายองค์กร ผู้คน หรือพลังใด ๆ ที่ในสังคมนี้


แต่ประชาชนต้องการยืนเหยียดตัวตรงแล้วบอกทุกคนว่า  เราคือเจ้าของอำนาจสูงสุดที่แท้จริงในการปกครองประเทศไทย  เราต้องการยืนในที่ของเรา  เราต้องการสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เท่าเทียม ในฐานะมนุษย์ของเรา  เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ และเราจะไม่ยอมสูญเสียอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วเช่นเดียวกัน!


ดังนั้น ก็ต้องขอเรียนไปยังทุกคน ทุกท่าน โดยเฉพาะผู้มีอำนาจว่า  ที่ผมมายืนอยู่นี่  ผมไม่ได้มาเปิดฉากสงคราม  ผมไม่ได้มาเปิดหน้าท้าทาย  แต่ผมเพียงมาบอกว่า ถ้าลูกหลายเขาลุกขึ้นมาเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่า  ถ้าลูกหลายเขาต้องการต่อสู้เพื่อยืนยันว่าไม่ยอมรับบ้านเมืองที่ท่านส่งมอบให้เหมือนเช่นที่ผ่านมา ทางเดียวที่ท่านต้องทำคือเปิดใจรับฟัง รัก เมตตา แล้วชวนกันจับมือเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับเขา เพราะประเทศนี้กำลังจะอยู่ในความรับผิดชอบของเขาในอนาคตอันใกล้ข้างหน้า  บ้านเมืองนี้เป็นสิทธิโดยชอบของคนรุ่นนี้


ที่จะเรียกร้องบริบททางสังคม 

ที่จะเรียกร้องรูปแบบการปกครอง 

ที่จะเรียกร้องการจัดสรรโครงสร้างอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรมและดีกว่า


ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะต้องเผชิญหน้ากันด้วยโทสะ  ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ท่านจะจัดการกับเยาวชนด้วยความโกรธเคือง ชิงชัง  เพราะแท้ที่จริงแล้วการต่อสู้นี้เขาทำในนามของคนรุ่นปัจจุบัน  เขาทำในนามของคนเป็นลูกเป็นหลานของเรา  เขาทำในนามของคนรุ่นเดียวกับลูกหลานท่าน


ถ้าคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคนปานหัวใจขนาดไหน พ่อแม่ของเพนกวิน, รุ้ง, ไผ่ พ่อแม่ของเด็กทุกคนในเรือนจำก็รักลูกหลานปานสุดหัวใจเช่นเดียวกัน!


ถ้าผมไม่เห็นด้วยกับการคุกคาม กับการกดดันต่อลูกสาวนายกรัฐมนตรีอย่างไร  ผมก็ต้องไม่เห็นด้วยต่อการจับกุมคุมขัง กระทำกดขี่ต่อลูกหลานประชาชนเฉกเช่นเดียวกัน!


ดังนั้น ผมหวังใจว่าสิ่งที่ผมพยายามสื่อสารตั้งแต่คืนสู่อิสรภาพ จะถูกรับฟัง จะถูกขบคิดพิจารณาจากคนรุ่นเรา จากคนเป็นพ่อเป็นแม่ วันนี้สังคมไทยที่กำลังเป็น ไม่ใช่ว่าเด็ก ๆ กำลังต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขาทำ  แต่ข้อเท็จจริง เด็ก ๆ กำลังต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่พวกเราทำกันมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา  


ไม่เป็นธรรมเลย...ถ้าปล่อยให้เขาต้องแบกรับปัญหา

ไม่เป็นธรรมเลย...ถ้าต้องปล่อยให้เขาต้องลุกมาแก้ปัญหา

ไม่เป็นธรรมเลย...ถ้าต้องปล่อยให้เขาบอบช้ำยิ่งขึ้นไปอีกจากความพยายามออกให้พ้นวังวนของปัญหา


พวกเรานี่แหละครับต้องช่วยกัน พวกเรานี่แหละต้องกอดลูกหลานไว้ แล้วแสดงความสำนึกต่อหนุ่มสาวปัจจุบันว่าเราผิดไปแล้ว และเราจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอีกต่อไป  เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น  บ้านเมืองนี้ถึงที่สุดผมเชื่อมั่นว่าปลายทางก็หลีกเลี่ยงและปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงไม่ได้  ผมเชื่อมั่นว่าในที่สุดสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงก็จะกลายเป็นมหาพายุใหญ่ของความเปลี่ยนแปลง  แล้วในที่สุดมันก็จะต้องเกิดขึ้น!


แต่ถ้ามันเป็นเช่นนั้น  มันต้องแลกมากับความสูญเสีย  มันต้องแลกมากับชีวิต เลือดเนื้อ อิสรภาพของคนหนุ่มสาวอีกจำนวนเท่าไหร่?


ผมอยากให้การจัดงานรำลึกของคนที่ถูกฆ่าตายจากการออกมาต่อสู้ทางการเมือง มีเหตุการณ์ปี 2553 เป็นครั้งสุดท้าย เป็นการรำลึกสุดท้าย จะต้องไม่มีการรำลึกปี 64 ปี 65 หรือปีใด ๆ ในอนาคตอีกต่อไป


ขอขอบคุณด้วยหัวใจจริง ๆ สำหรับพวงหรีดทุกพวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกหรีดที่สลักชื่อองค์กร ชื่อกลุ่มก้อนของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ส่งมาในวันนี้  ผมเชื่อว่าถ้าดวงวิญญาณของคนที่สูญเสียบนถนนแห่งนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้วได้รับทราบ พวกเขาก็จะภาคภูมิใจ ถ้าดวงวิญญาณของคนที่ถูกฆ่าตายจากการร่วมต่อสู้ด้วยกันกับเราเขารับรู้ แน่นอนที่สุด เขาก็จะกล่าวคำขอบคุณเหมือนที่ผมกำลังพูดแทนอยู่นี้


พวกเขาเป็นประชาชนคนธรรมดา ชาวไร่ชาวนาจากต่างจังหวัด มามือเปล่า ชุมนุมในเมืองหลวง ถูกฆ่าตายโดยในมือใครไม่มีอาวุธ ไม่มีแม้แต่คราบเขม่าดินปืน หลังจากถูกฆ่าตาย พวกเขาไม่มีแม้แต่ที่ยืนในประวัติศาสตร์ ไม่มีอนุสรณ์สถาน ไม่มีอนุสาวรีย์ ไม่มีคดีความ ไม่มีความรับผิดชอบหรือสำนึกจากผู้มีอำนาจที่ลงมือกระทำสังหารในเหตุการณ์นั้น


แต่เวลาผ่านไป 10 กว่าปี พวกเขามีพวงหรีดของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน พวกเขามีพลังของคนหนุ่มสาวที่เรียกขานพวกเขากลางท้องถนน ที่แสดงความเข้าใจ แสดงความเห็นใจ ดังนั้น ขอบอกน้อง ๆ ขอบอกคนหนุ่มสาวเยาวชนที่กำลังต่อสู้ทุกคน ว่าในนาม “คนเสื้อแดง” ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว ผมสำนึกบุญคุณที่น้อง ๆ ได้เอาหัวใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เพื่อนเราในหัวใจของผู้คน 


ถ้าหากดวงวิญญาณของเพื่อนเรายังคงอยู่ในจุดที่รับรู้ได้ และยังคงมีพลัง ยังคงมีเรี่ยวแรงที่พอสู้ไหว เพื่อนเราเหนื่อยมามากแล้ว เจ็บมามากแล้ว แต่ถ้าดวงวิญญาณเพื่อนยังมีเรี่ยวแรง ขอพลังครั้งสุดท้ายปกป้องคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ให้เขาปลอดภัยจากผู้มีอำนาจทั้งหลาย ปกป้องลูกหลานเราอย่าให้เขาทำลูกหลานเราเหมือนกับที่เคยทำกับพวกเราเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ดลจิตดลใจผู้พิพากษาผู้มีอำนาจทั้งหลายให้ปล่อยเยาวชนออกจากที่คุมขังโดยไวที่สุด


ผมเรียนพี่น้องประชาชนที่ได้รับรู้วาระนี้ทั้งประเทศ ว่ามันหมดเวลาที่ประชาชนด้วยกันจะขัดแย้งเข่นฆ่ากันเองอีกต่อไปแล้ว วันนี้มันเป็นเวลาที่ประชาชนทุกคนต้องขบคิดด้วยความจริง ขบคิดด้วยเหตุผล แล้วยืนบนหลักการที่ถูกต้องเพื่อปกป้องอนาคตของชาติ เพื่อปกป้องฝูงนกพิราบสีขาวที่เขากำลังโบกโบยบินไปทั่วสังคมไทย


พลังบริสุทธิ์นี้แกร่งกล้า แหลมคม ห้าวหาญ เกินกว่าที่ส่วนตัวผมจะจินตนาการได้ แต่ขอให้น้อง ๆ ได้รับรู้ว่าความอำมหิตของผู้ถืออำนาจในปัจจุบันนี้มันก็มีมากมายเกินกว่าที่เราจะจินตนาการไหวเช่นเดียวกัน คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มเดียวกันกับที่มีอำนาจสำคัญในกองทัพที่เผชิญหน้ากับพวกผมเวลานั้น!


ดังนั้น จึงขอบอกไปยังฝูงพิราบสีขาวที่เป็นพลังบริสุทธิ์ทุกคนว่า จงโบยบินสู่เสรีด้วยสันติวิธีอย่างแจ่มชัดแน่นอน อย่าเป็นเหยื่อของอารมณ์ โทสะ ความโกรธแค้นที่ถูกกระทำ จนทำให้เขาย้อมสี “นกพิราบ” กลายเป็น “เหยี่ยว” ว่าเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายผู้มีอำนาจสามารถย้อมสีนกพิราบให้กลายเป็นเหยี่ยวได้ เขาจะกลายเป็นฝูงพญาอินทรีย์ที่อำมหิตเข่นฆ่าทำลายน้อง ๆ ทุกคนอย่างที่เขาทำกับพวกเรา ดังนั้น ขอแสดงความเชื่อมั่นในสติปัญญาของคนหนุ่มสาว แสดงความเชื่อมั่นในความกล้าหาญของคนหนุ่มสาว และแสดงความเชื่อมั่นในหลักสันติวิธีของคนหนุ่มสาว


ท่านที่เคารพครับ ในวาระครบรอบ 11 ปี ของการรำลึกการสูญเสียชีวิตประชาชนกลางท้องถนนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมขอส่งความปรารถนาดีไปยังชีวิตครอบครัวญาติมิตรของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ที่ต้องสูญเสียไปในวาระเหตุการณ์เดียวกัน ไม่ว่าจะ 10 เมษายน หรือวันใดก็ตามในปี 2553 ขอดวงวิญญาณของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ขอครอบครัวญาติมิตรของผู้คนเหล่านั้นได้รับรู้ว่า เราไม่มีแม้แต่เสี้ยวเจตนาที่จะทำร้ายกัน เราไม่มีแม้แต่เศษหนึ่งของความสุขที่เห็นท่านเหล่านั้นต้องสูญเสีย เราไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าการออกมาชุมนุมกันมือเปล่า ๆ จะมีปืนติดลำกล้องยิงระยะไกลจากตึกสูงจนคนตายไม่รู้ตัวอยู่กลางถนน ดังนั้น ขอได้รับเอาความรู้สึกเสียใจนี้ ขอได้รับเอาความปรารถนาดีนี้ที่เราส่งมอบให้ และขอให้กำลังเจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ทุกคนเกิดสำนึกว่าครั้งนั้นต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่รัฐกระทำต่อประชาชน กระสุนสังหารนัดสุดท้ายได้จบลงแล้วตั้งแต่ 19 พฤษภาคม 2553 และมันต้องไม่มีอีกต่อไป


ขอส่งกำลังใจไปยังพ่อแม่ครอบครัวของทุกคนที่ยังถูกจองจำ ผมเคยถูกขังมาก่อน และอิสรภาพของผมก็ยืนอยู่บนความเปราะบางและไม่แน่นอน ผมรู้ว่าในวินาทีแบบนั้น คนเป็นพ่อแม่คนเป็นครอบครัวเจ็บปวดและเป็นทุกข์ปานใด ขอได้รับเอากำลังใจนี้ ขอได้รับเอาพลังแห่งความหวังดีนี้ เป็นแรงให้ยืนหยัดต่อ เป็นแรงให้สู้ต่อ แล้วก็เป็นแรงในการติดตามทวงถามอิสรภาพให้กับลูก ๆ ของเราต่อไป


มีคนถามผมมาก ว่าเมื่อไหร่ หรือเป็นไปได้มั้ย ที่จะกลับไปยืนอยู่บนเวทีปราศรัยทางการเมืองอีกครั้ง?  ผมบอกว่าผมไม่ได้เคยมีความคิดเช่นนั้น เพราะเห็นว่ายุคสมัยปัจจุบันเป็นการต่อสู้กับคนหนุ่มสาวและเยาวชน อย่างไรก็ตามผมจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้าหากถึงวินาทีที่หัวใจต้องตัดสินว่าจำเป็นแล้วที่จะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องคนหนุ่มคนสาวอีกครั้ง  ผมจะแจ้งให้ทราบทันที! (เสียงไชโยโห่ร้องพร้อมปรบมือ)


ทุกนาทีบนถนนการต่อสู้ของผม ผมพยายามก้าวย่างด้วยความรอบคอบรัดกุมมาตลอด ผมให้เกียรติทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายตรงข้าม ผมพยายามส่งความปรารถนาดีให้ทุกผู้นามเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าและเปลี่ยนแปลงด้วยสันติให้ได้ แต่ขอพูดชัด ๆ นะครับ ว่าไอ้คนพันธุ์ผมเนี่ย...ไม่เคยกลัวใคร! และถ้าหากจำเป็นต้องตัดสินใจ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น 


สุดท้ายนี้ ก็อยากจะเรียนพี่น้องว่านี่เป็นงานรำลึก 10 เมษายน ที่ผมตื้นตันใจเป็นที่ยิ่ง นี่เป็นการรำลึกเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ที่ผมเชื่อว่าญาติ ๆ ของวีรชนผู้สูญเสียก็คงมีภาพจำที่ประทับใจเพิ่มขึ้นมากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้เราทำไม่ได้เอง แต่เป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาว คนที่เป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานเขาทำให้ เขามอบให้ เขาส่งหัวใจ เขาส่งความยอมรับ เขาส่งความปรารถนาดีมาให้ ผมคิดว่าคนเสื้อแดงทั้งหลายที่เคยเคียงไหล่ใกล้บ่ากันมาสิบกว่าปี 


เราปรบมือดัง ๆ ให้ลูกหลานเราสักทีเถอะครับ!

เราส่งเสียงโห่ร้องของคนเป็นพ่อเป็นแม่ให้กับลูกหลานของเราสักทีเถอะครับ!

สั่งหัวใจเราเป็นพลังร้องตะโกนให้ก้องออกมาให้ลูกให้หลานเราเขาได้รู้ได้ยินได้ฟังสักทีเถอะครับ!

ตะโกนก้องอีกทีให้คนที่อยู่ในเรือนจำเขาได้ยินเสียงนี้ ให้เขาได้รับรู้คำขอบคุณนี้


(เสียงปรบมือโห่ร้องลั่น)


ผู้มีอำนาจทั้งหลายคุณเห็นมั้ยประชาชนเขารักกัน ประชาชนเขาเชื่อมั่นและเป็นหลังพิงของกันและกัน (เสียงผู้คนตะโกน ปล่อยเพื่อนเรา ๆ ๆ ๆ)


ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณหมู่บ้านทะลุฟ้า ขอบคุณทุกคนนะครับ ผมอาจจะจำชื่อกลุ่มน้อง ๆ ได้ไม่หมด อาจจะรู้จักชื่อ คณะของน้อง ๆ ได้ไม่ครบทุกคณะ แต่ถึงวันนี้ผมแน่ใจอย่างหนึ่งว่าผมรู้จักหัวใจน้อง ๆ ทุกคนแล้วครับ รู้แล้วครับ


ท่านที่เคารพครับ การจัดการในวันนี้ในที่สุดก็จะถึงกำหนดเวลาที่จะต้องยุติลง มันจะจบด้วยความซาบซึ้งประทับใจ มันจะจบด้วยพลังแห่งการต่อสู้ที่เรามอบให้กันและกันไว้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็จะต้องยุติลง ผมก็หวังใจว่าการต่อสู้ของประชาชนเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมวันหนึ่งมันก็จะจบลง และผมมั่นใจว่ามันจะจบลงได้ด้วยกรณีเดียวคืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น!


มันจะไม่จบลงด้วยการจับกุมคุมขัง

มันจะไม่จบลงด้วยการเข่นฆ่า

มันจะไม่จบลงด้วยการคุกคาม

มันจะไม่จบลงด้วยการดูหมิ่นเหยียดหยาม

มันจะไม่จบลงด้วยการข้ามหัวประชาชน


ดังนั้น บรรดาเหล่าคณะผู้มีอำนาจทั้งหลายได้โปรดรับฟังเสียงผมบ้าง ท่านฆ่าพวกผมแล้ว ฟังผมสักครั้ง ผมไม่อยากให้ท่านต้องฆ่าใครอีก เพราะผมรู้ว่าฆ่าตายจำนวนขนาดไหนก็ไม่หมด ฆ่าตายกี่คนกี่หนก็ไม่จบ วิกฤตนี้มันมีทางออกของมันได้ ความขัดแย้งนี้สันติภาพรออยู่ไม่ไกล สำคัญก็คือฝ่ายผู้มีอำนาจพร้อมจะเปิดหัวใจของท่านหรือยัง? พร้อมที่จะยอมรับว่าคนทุกคนเกิดมาด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันหรือยัง? 


ผมปรารถนาให้ท่านยอมรับสิ่งเหล่านี้ 

ผมปรารถนาให้ท่านเข้าใจสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้

และผมปรารถนาว่าถึงวันของความเปลี่ยนแปลงทุกกลุ่มทุกฝ่ายทุกหน้าตายังคงอยู่ด้วยกันท่ามกลางความแตกต่างทางความคิด ท่ามกลางความแตกต่างทางอุดมการณ์ ภายใต้กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศที่เคารพในหลักการว่าคนเท่ากับคน คนทุกคนเท่าเทียมกัน


ปีนี้เป็นปีแรกที่เราจัดงานรำลึก 10 เมษายน แล้วยังมีอีกเวทีใหญ่ที่คนหนุ่มสาวเขารวมตัวกันแล้วจัดรำลึกให้เกียรติพี่น้องเราที่สูญเสีย ทราบว่าจะเป็นช่วงเย็นวันนี้จนถึงช่วงค่ำต่อไป ขอขอบคุณกลุ่มผู้จัดเวทีดังกล่าว ขอส่งกำลังใจให้กับกลุ่มผู้จัดเวทีดังกล่าว แล้วผมว่าในฐานะที่เราก็เป็นนักสู้ แต่เรายืนสู้ครั้งใหญ่เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ลูกหลานก็เป็นนักสู้ แต่พวกเขายืนสู้ในห้วงเวลานี้และอาจจะยาวนานจากนี้ต่อไป ไม่แปลกนะครับที่ผมในฐานะตัวแทนของคนที่เคยสู้ ปัจจุบันหัวใจก็ยังสู้ จะขอคารวะผู้ที่กำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบันสักครั้งครับ (‘ณัฐวุฒิ’ โค้งคำนับ) ขอบคุณทุกคนทุกท่านนะครับ แล้วเดี๋ยวพอเวทีนี้เลิก (ขณะนั้นตัวแทนเยาวชนได้ไปกระซิบบอก ‘ณัฐวุฒิ’ ว่าเวทีใหญ่ที่กล่าวถึงเมื่อสักครู่ได้เลื่อนออกไปแล้ว)


ท่านที่เคารพครับ ผมรู้ว่าเรี่ยวแรงท่านยังมี ผมรู้ว่าพลังในการขับเคลื่อนท่านยังอยู่ แต่ผมเพิ่งรู้ว่าเวทีโน้นไม่อยู่แล้ววันนี้ เพราะว่าน้อง ๆ ผู้จัดเขาเพิ่งมากระซิบผมมาว่าเวทีตอนเย็นที่ผมพูดถึงสักครู่เขาเลื่อน นี่รู้กันหมดแล้วเหรอ แหม...พอไปต่อสู้กับคนหนุ่มคนสาวเข้าหน่อยรู้อะไรแล้วไม่บอกเรา ปล่อยให้ผมหลงละเมอเพ้อเฝ้าอยู่ลำพัง นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าห่างหน่อยรักเก่าก็จืดจาง (เสียงปรบมือโห่ร้อง) 


แต่เอาเถอะหัวใจนี้จะไม่เจ็บปวด หัวใจนี้จะไม่แหลกสลาย ขอให้เธอเดินไปกับคนรักใหม่ของเธอวันนี้อีกสักครั้ง เชื่อพี่เถอะอีเรียม รักใหม่นี้จะไม่หลอกลวงและจะไม่ทำให้เอ็งสิ้นหวัง ส่วนตัวพี่มีแววถูกขัง! แต่ช่างมันเถอะ เพราะออกมาคราวนี้พี่รู้แล้วว่าสุดที่รักของพี่มีคู่ชีวิตใหม่ที่รักเธอจริง 


ไหน ๆ ก็เข้าใจผิดเรื่องเวทีนั้นไปแล้ว เลี้ยวกลับไม่ทันก็ขออนุญาตใช้เวทีตรงนี้แหละทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานวิวาห์ระหว่างลุงป้าที่เคยสู้กันมากับคนหนุ่มสาวที่สู้อยู่ในปัจจุบัน ขอให้เคียงคู่กัน ไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชรไม่สำคัญ สำคัญคือเด็ดยอดเผด็จการด้วยกันเท่านั้น 


น้อง ๆ อาชีวะเขาบอกว่าเขายังมีกิจกรรมอยู่ ก็เอาเป็นว่าแล้วแต่เสรีภาพของแต่ละผู้คน การร่วมกิจกรรมบนท้องถนนเป็นเสรีภาพโดยชอบ อย่างไรก็ตาม ขอให้รัดกุมรอบคอบกับมาตรการป้องกันโรคระบาด ขอให้รัดกุมรอบคอบแล้วก็ยึดหลักสันติวิธีให้แม่นมั่น ขอบคุณทุกคนทุกท่านอีกครับ ขอได้โปรดรู้ว่าทุกดวงวิญญาณของคนเสื้อแดงจะซาบซึ้ง จะประทับใจ และขอบคุณมิรู้คลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ขอบคุณครับ.