กมธ.พัฒนาการเมืองฯ
ชงส่งเสริมพรรคการเมืองเข้มแข็ง- ยึดโยงกับประชาชน พรรคการเมืองต้อง “เกิดง่าย
อยู่ได้ ตายยาก” ย้ำต้องทบทวนเงื่อนไขยุบพรรคให้สอดคล้องหลักสากล
วันที่
1 สิงหาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
มีวาระรับทราบรายงานที่ศึกษาและจัดทำโดยคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง
การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน เรื่อง
ข้อเสนอในการส่งเสริมสถาบันพรรคการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชน โดย พริษฐ์ วัชรสินธุ
สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ได้อภิปรายหลักการและเหตุผลของรายงานดังกล่าว
โดยพริษฐ์
เริ่มการอภิปรายโดยระบุว่าพรรคการเมืองเปรียบเสมือนผู้เล่นในตลาดการเมืองที่มีผู้บริโภคคือประชาชนซึ่งเลือกซื้อสินค้าหรือนโยบายของพรรคต่างๆ
ผ่านการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
หากอยากให้ตลาดดังกล่าวเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพ เป็นตลาดที่ผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงที่สุดให้กับผู้บริโภค
ตลาดนั้นต้องเป็นตลาดที่ไม่ผูกขาด แต่มีการแข่งขันสูงระหว่างผู้เล่นที่หลากหลาย
มีความยึดโยงและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค ผู้ชนะชนะด้วย know-how ไม่ใช่ know-who ด้วยนวัตกรรมทางนโยบายที่ดี
ไม่ใช่ด้วย connection กับผู้มีอิทธิพลในระบอบอุปถัมภ์
ต้องเป็นตลาดที่ผู้เล่นจะหายไปต่อเมื่อสินค้าขายไม่ออก
ไม่ใช่เพราะถูกกีดกันจากตลาดโดยการฮั้วกันระหว่างคู่แข่งกับหน่วยงานกำกับดูแล
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ
จึงได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อศึกษาและจัดทำข้อเสนอในการส่งเสริมสถาบันพรรคการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชน
ซึ่งได้มาเป็นข้อเสนอในรายงานฉบับนี้ รวมถึงร่างแก้ไข พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง
โดยอยู่ภายใต้กรอบของการทำให้พรรคการเมือง “เกิดง่าย อยู่ได้ ตายยาก”
1)
“เกิดง่าย”
รายงานนี้มีข้อเสนออยู่หลายประการเพื่อให้ประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองตรงกันสามารถจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นได้ง่าย
ข้อเสนอคือให้
1.1.
ลดอุปสรรคและเงื่อนไขที่กีดกันการจัดตั้งพรรคใหม่ เช่น
เงื่อนไขจำนวนผู้ร่วมจัดตั้งที่ 500 คน, ต้องใช้ทุนประเดิม 1 ล้านบาท และเอกสารหลักฐานต่างๆ
ที่มากเกินจำเป็นและจัดส่งทางอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ทั้งหมด
1.2.
แก้ไขกติกาเพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองมีความหลากหลายได้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่ขับเคลื่อนเชิงประเด็น
หรือพรรคการเมืองที่ขับเคลื่อนเฉพาะบางพื้นที่หรือภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันทำได้ยาก
เพราะกฎหมายกำหนดว่าทุกพรรคต้องมีสาขาในทุกภาคทั่วประเทศภายใน 1 ปี
1.3.
สนับสนุนให้พรรคการเมืองสามารถขยายฐานสมาชิกได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น
เช่น การปรับคุณสมบัติสมาชิกพรรคให้เปิดกว้างขึ้น, ลดเอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครสมาชิก,
รองรับการสมัครสมาชิกออนไลน์
และหยุดบังคับพรรคการเมืองให้คิดค่าสมาชิก
2)
“อยู่ได้”
รายงานนี้มีข้อเสนอเพื่อให้พรรคการเมืองดำรงอยู่ได้จากการสนับสนุนของประชาชนในวงกว้าง
จึงเสนอให้
2.1.
ปรับกติกา
ให้พรรคการเมืองระดมทุนจากประชาชนและผู้บริจาครายย่อยได้ง่ายขึ้น เช่น
การอำนวยความสะดวกในการรับบริจาคออนไลน์ รวมถึงการออกใบเสร็จและหลักฐานการรับเงิน
ให้กับการระดมทุนผ่านการขายสินค้าออนไลน์ได้ เป็นต้น
2.2.
ปรับกติกาให้พรรคการเมืองระดมทุนจากทุนใหญ่หรือผู้บริจาครายใหญ่ที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้ยากขึ้น
เช่น การป้องกันเงินบริจาคที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การป้องกันการครอบงำพรรคการเมืองโดยทุนใหญ่ที่ใช้วิธีกระจายเงินบริจาค
ไปตามบริษัทย่อยต่างๆ ในเครือ
2.3.
ลดเงื่อนไขที่ไปเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านธุรการของพรรคการเมืองโดยไม่จำเป็น
เช่น เงื่อนไขว่าการประชุมใหญ่ของพรรคหรือการแจ้ง กกต. ในการปรับข้อบังคับ
หรือการเปลี่ยนที่ตั้งสาขาจะทำผ่านออนไลน์ไม่ได้
2.4.
ลดเงื่อนไขที่จะไปจำกัดความคล่องตัวในการใช้จ่าย - ในส่วนของเงินที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองผ่านระบบภาษี
ข้อเสนอคือให้ส่งไปที่พรรคโดยตรงเหมือนกับเงินบริจาค
แทนที่จะต้องส่งไปผ่านกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต.
ที่ไปกำหนดเงื่อนไขว่าพรรคใช้กับอะไรได้หรือไม่ได้
ในส่วนของเงินอุดหนุนที่กองทุนของ กกต. สมทบให้กับพรรคการเมืองเพิ่มเติม เสนอให้
กกต. ผ่อนปรนข้อจำกัดที่ กกต. วางไว้ว่าพรรคใช้กับอะไรได้หรือไม่ได้
ซึ่งตอนนี้มีหลายกิจกรรมของพรรคที่ถูกตีความว่าใช้เงินจากกองทุน กกต. ไม่ได้ เช่น
การหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น หรือการสำรวจความเห็นประชาชน
3)
“ตายยาก” ตลอด 17 ปี
ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองที่มีตัวแทนในสภาถูกยุบรวมกันถึง 5 พรรค
ซึ่งล้วนไม่ได้เกิดขึ้นจากการยุบโดยปากกาของประชาชนที่หยุดให้การสนับสนุน
แต่เกิดขึ้นจากการยุบโดยปากกาของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่าพรรคกระทำผิดกฎหมาย
แน่นอนว่าหากมีการกระทำผิดจริงที่ถูกพิสูจน์โดยองค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางก็สมควรที่จะต้องมีการลงโทษ
แต่โทษนั้นก็ควรจะต้องบังคับใช้กับผู้กระทำผิดอย่างจำกัดวงและได้สัดส่วนกับฐานความผิด
รายงานนี้จึงมีข้อเสนออยู่หลายประการ เพื่อทำให้โทษต่างๆ
สำหรับพรรคการเมืองมีความเหมาะสม สมดุล และได้สัดส่วน มากขึ้น
3.1.
ปรับมาตรการ เช่น
ข้อกำหนดว่าต้องมีสมาชิกพรรคกี่คนหรือสาขาพรรคกี่สาขาภายในกี่ปี
หรือข้อกำหนดเรื่องการทำไพรมารี่โหวต
ซึ่งปัจจุบันมีสภาพบังคับทางกฎหมายที่ทำให้พรรคต้องสิ้นสภาพหากไม่ทำตาม
มาเป็นมาตรการที่ไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย แต่อาศัยการส่งเสริมผ่านแรงจูงใจทางการเงิน
ว่าหากพรรคไหนยิ่งทำได้เยอะก็จะมีโอกาสได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนเยอะขึ้นตามมา
3.2.
ทบทวนเงื่อนไขเรื่องการยุบพรรคให้สอดคล้องกับหลักสากล
และเป็นมาตรการสุดท้ายสำหรับเฉพาะกรณีร้ายแรงเท่านั้น
หากมีการทุจริตหรือการกระทำผิดก็ให้เปลี่ยนจากการลงโทษผ่านการยุบพรรคมาเป็นการลงโทษกรรมการบริหารรายคณะหรือรายบุคคล
หากเป็นข้อหาเรื่องการล้มล้างการปกครอง ก็ให้เป็นการยุบพรรคเฉพาะกรณีที่พรรคการเมืองกระทำความผิดร้ายแรงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครองเท่านั้น
3.3.
ยกเลิกการมีอยู่ของบทลงโทษเพิกถอนสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ซึ่งควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนในระบอบประชาธิปไตย
พริษฐ์กล่าวต่อไป
ว่าทั้งหมดนี้ เป็นภาพรวมของข้อเสนอในรายงานของ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ฉบับดังกล่าว
ซึ่งตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแม้พรรคการเมืองต่างๆ
ย่อมมีความเห็นที่ต่างกันเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศ
แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือความต่างนั้นคือจุดยืนและความมุ่งมั่นที่ทุกพรรคมีร่วมกันในการทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคมีความยึดโยงกับประชาชน
และถูกกำกับโดยกติกาที่เสรี เป็นธรรม ทันสมัย และเป็นสากล
ในส่วนของ
ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
ได้ร่วมอภิปรายสนับสนุนรายงานดังกล่าว โดยระบุว่าตนอภิปรายรายงานฉบับนี้ในฐานะ
ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งจากวันนี้ไปอีก 7 วันจะเป็นวันวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล
ดังนั้นการอภิปรายสนับสนุนรายงานฉบับนี้
ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าพรรคการเมืองอันเป็นสถาบันที่เกิดจากเจตจำนงของประชาชนต้องเกิดขึ้นง่าย
ดำรงอยู่ได้ และต้องสิ้นสุดยาก
รายงานดังกล่าวที่เสนอว่ามาตรา
92 ภายใต้บังคับมาตรา 93 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง
ควรต้องมีการแก้ไข
ให้เมื่อพรรคการเมืองกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครองก่อน
ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองได้ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้
จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการปกป้องเจตจำนงของประชาชนที่ส่งมอบผ่านพรรคการเมือง
เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคสุดท้ายที่จะถูกยุบ
และนี่เป็นเรื่องของพรรคการเมืองทุกพรรค
ภคมนอภิปรายต่อไป
ว่าวงจรการเมืองไทยมีฉากทัศน์ไม่กี่ฉากสลับกันไป
เมื่อมีพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชนแต่ไปขัดกับผลประโยชน์ของกลุ่มผู้มีอำนาจ
ก็มักลงเอยด้วยการถูกใช้อำนาจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร
การใช้องค์กรอิสระเข้าแทรกแซง ไปถึงการยุบพรรคการเมือง
นำอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนไปทำลายอำนาจจากประชาชน
ขณะเดียวกันประเทศไทยก็อ้างมาตลอดว่าเป็นประชาธิปไตย
แต่โดยข้อเท็จจริงไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนบนโลกที่ไล่ยุบพรรคการเมืองเป็นว่าเล่น
บิดเบือนหลักการของกฎหมาย หลักการประชาธิปไตย หลักการนิติรัฐ โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของประชาชน
พรรคการเมืองจะเข้มแข็งได้อย่างไร
ถ้าพรรคการเมืองยังถูกยุบได้แบบพร่ำเพรื่อจนกลายเป็นความเคยชินว่าทำได้เป็นปกติ
ดังที่ปรากฏในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน
ที่แนวทางการนำเสนอส่วนใหญ่มักสรุปว่าท้ายที่สุดพรรคการเมืองจะถูกยุบ
นี่ไม่ใช่ความผิดของสื่อมวลชน แต่เป็นเพราะบริบทการเมืองไทยที่การยุบพรรคเกิดขึ้นบ่อยจนขนาดที่สื่อและสังคมสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าโดยไม่มีใครสนใจข้อกฎหมายอีกต่อไป
เมื่อไหร่ที่จะมีการพิพากษาคดีของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามผู้มีอำนาจ
ทุกคนก็เชื่อไปก่อนแล้วว่าผลจะออกมาเป็นโทษสำหรับพรรคการเมืองนั้นๆ สุดท้ายแทนที่สื่อและสังคมจะวิเคราะห์ไปถึงข้อต่อสู้ทางกฎหมาย
ก็เลยกลายเป็นการวิเคราะห์คดีในฐานะยุทธศาสตร์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจ
ว่าจะชี้ไปในทิศทางไหนแทน
ภคมนกล่าวต่อไป
ว่ารายงานฉบับนี้จึงสรุปไว้ว่า
การยุบพรรคการเมืองควรจะเป็นเครื่องมือในการปกป้องประชาธิปไตย
จากการขึ้นสู่อำนาจของเผด็จการและระบอบการปกครองอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเท่านั้น
และเป็นกรณีที่จำเป็นต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วระบอบอื่นจะเข้ายึดครองและเปลี่ยนระบอบการปกครองให้ไม่เป็นประชาธิปไตยได้
ในฐานะมาตรการสุดท้าย ไม่ใช่มาตรการแรกเพื่อการแทรกแซงขององค์กรอิสระ
ประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมาไม่ถึง
20 ปี มีการยุบพรรคการเมืองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7 พรรค
เป็นการยืนยันว่าระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยเปราะบางแค่ไหน
การยุบพรรคกลายเป็นเครื่องมือที่คนขี้ขลาดแต่อยากมีอำนาจใช้เข้าสู่อำนาจโดยไม่ต้องแข่งขันอะไรเลย
“สุดท้ายนี้
ดิฉันขอตั้งคำถามว่าในประเทศที่การยุบพรรคการเมืองที่มาจากฉันทามติคนเป็นล้านๆ
เสียงทำไมทำได้โดยง่ายจากความคิดเห็นของคนแค่ไม่กี่คน
แบบนี้เรายังเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างเต็มปากอีกหรือไม่
ดิฉันเชื่อว่าวิญญูชนที่มีสามัญสำนึกตอบคำถามนี้ได้ไม่ยาก” ภคมนกล่าว
ด้าน
พงศธร ศรเพชรนรินทร์ สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล
ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การตั้งพรรคการเมืองง่ายขึ้น
การให้พรรคการเมืองดำรงอยู่ได้
และการให้พรรคการเมืองสิ้นสุดลงตามเจตจำนงของประชาชน
คือหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่คณะอนุฯ
และหลายพรรคการเมืองเห็นไปในทางตรงกันเป็นส่วนใหญ่ จึงขอเชิญชวน สส. ทุกพรรค
ร่วมรับรองรายงานฉบับนี้และผลักดันร่างแก้ไข พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง
ในวาระถัดไป