เพื่อไทยส่งทีมผู้สมัคร
ส.ก. ชิงสนามเลือกตั้ง กทม. 50 เขต ยอมรับนโยบายตรงกับ "ชัชชาติ" 60%
หลังจากเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
(ส.ก.) ของพรรคไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา
โดยใช้สโลแกน “เลือกเพื่อไทย เลือกอนาคตที่มั่งคั่งให้คนกรุงเทพฯ” ภายใต้การนำของ
แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม
และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
วันนี้
(31 มี.ค. 65) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ 2 ได้เปิดให้มีการรับสมัครระหว่างวันพฤหัสบดีที่
31 มีนาคม ถึง วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร
โดยกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค. 2565
ทีมผู้สมัคร
ส.ก. ของพรรคเพื่อไทยทั้ง 50 เขต ได้เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง โดยมี ชัยเกษม
นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง และ พวงเพ็ชร ชุนละเอียด
ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ส.ก.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้นำทีมในครั้งนี้
พวงเพ็ชร
เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร ส.ก. ครบทั้ง 50 เขต และมีนโยบายที่ชัดเจน
ซึ่งหลังการเลือกตั้งก็เป็นเลือกที่ตั้งรอดูต่อไปว่า ผู้ว่าฯ กทม.
ที่มาจากการเลือกตั้งจะมีนโยบายที่ตรงกันหรือไม่ หากตรงกันก็พร้อมที่จะผลักดัน
พร้อมยอมรับว่า แนวนโยบายของพรรคเพื่อไทยและชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่า
กทม. ในนามอิสระนั้นมีความใกล้เคียงกัน 50-60 เปอร์เซ็นต์
พวงเพ็ชร
กล่าวต่อว่า ผู้สมัครของพรรคทุกคนเป็นคนขยัน ติดดิน
และทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ศึกษาปัญหาในพื้นที่มาตลอด
โดยคาดว่าผู้สมัครจะสอบผ่าน ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด และคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครผู้ว่า
กทม. โดยตรง เพราะผู้สมัคร ส.ก. ทุกเขตต่างเป็นคนที่ทำงานในพื้นที่จริง
และมีความสามารถที่จะทำงานในสภาด้วย
เมื่อถามต่อว่า
หากผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้รับการเลือกตั้งไม่ใช่คนที่มีแนวโนยายตรงกันกับทีม ส.ก.
ของพรรค จะสามารถร่วมงานกันได้หรือไม่ พวงเพ็ชร ระบุว่า สามารถทำงานได้กับทุกคน
และเชื่อว่าจะสามารถผลักดันแนวแนวโยบายของพรรคให้ผู้ว่าร่วมขับเคลื่อนได้
สำหรับแนวนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย
มีดังนี้
1)
30 บาท ถึงที่หมาย : ผลักดันให้กระทรวงคมนาคมบริหารจัดการรถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟลอยฟ้า
หน่วยงานเดียว เพื่อการบริหารค่าโดยสารที่เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย
เสียค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว ผู้โดยสารจะเข้ามาใช้งานมากขึ้น
ทำให้ค่าตั๋วโดยสารถูกลงด้วย
2)
50 เขต 50 โรงพยาบาล :
ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุขที่มีอยู่แล้วเขตละ 1 แห่ง หรือสร้างโรงพยาบาลชุมชนขนาด
120 เตียง ที่สามารถดูแลประชาชนเบื้องต้นแบบครบวงจร โดยให้
กทม. รับงบประมาณกองทุนประกันสุขภาพจำนวน 15,000 ล้านบาท
มาบริหารจัดการเอง
3)
437 สถานศึกษา พัฒนาสร้างรายได้ : เปิดพื้นที่โรงเรียนในสังกัด กทม.
437 แห่ง ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับทุกคน
ให้เป็นพื้นที่ของงาน เงิน และอนาคต ทั้งการศึกษาในระบบ โดยเพิ่มการเรียนภาษาที่ 2 อังกฤษและจีน เพิ่มทักษะคอมพิวเตอร์และโปรแกรมมิ่ง เพื่อให้เด็กและเยาวชน
มีทักษะความรู้ในโลกสมัยใหม่ รวมทั้งการศึกษานอกระบบ
ต้องทำให้โรงเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Maker space) โดย กทม.มีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณ จัดจ้างครู อุปกรณ์ เช่น การทำอาหาร
ตัดเย็บเสื้อผ้า โรงถ่ายหนัง มาสร้างสรรค์งานร่วมกัน จนเกิดเป็นสตาร์ทอัพ
4) กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาท : ทุกชุมชนใน
กทม.ไม่เกิน 6,000 แห่ง ชุมชนแออัด หมู่บ้าน และคอนโด ต้องได้รับงบประมาณ
200,000 บาทต่อปี ให้
แต่ละชุมชนนำเสนองบประมาณเพื่อพัฒนาพื้นที่ผ่านเขตของตนเองได้
โดยจะมีคณะกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้งภายในชุมชน
มีผลงานชัดเจนจากการบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองมาแล้ว
มาร่วมตัดสินใจใช้งบประมาณแบบมีส่วนร่วม
5) 50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์ : คนชุมชนหรือย่านนั้น จัดงานแสดงศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร แฟชัน ดนตรี โดยคนในท้องถิ่นที่จะสามารถออกแบบอีเวนต์เพื่อดึงดูดเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างเงินด้วยตนเอง กรุงเทพฯ จะไม่หลับใหล เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ทรงพลัง สร้างงาน สร้างเงินให้กับประเทศ
#เลือกตั้งผู้ว่ากทม65 #เพื่อไทย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์