#12ปีรำลึกเมษาพฤษภา53 ตอนที่ 3
ปรับปรุงจากบทบรรยาย
ยุทธการขอคืนพื้นที่ เมษา 53
(เหตุการณ์ 13 มีนาคม 2553 ถึง 10 เมษายน 2553)
20
มีนาคม 2553 หลังการชุมนุมของกลุ่ม นปช.
ได้เริ่มขึ้นมาสักระยะบริเวณสะพานผ่านฟ้า ก็ได้มีแนวคิดที่จะเคลื่อนขบวนไปรอบ ๆ
กรุงเทพฯ แบบ “ดาวกระจาย” เพื่อแสดงจุดยืนของการชุมนุมในครั้งนี้ พร้อมกับมีการระดมแจกสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและเป็นการเชิญชวนคนกรุงเทพฯ
เข้าชุมนุมกับกลุ่ม นปช.
.
การเคลื่อนพลของกลุ่มผู้ชุมนุม
นปช. ได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 20 มีนาคม
2553 นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร
พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. โดยได้มีการตั้งขบวนบริเวณถนนหลานหลวง
ประกอบด้วยรถบรรทุกเครื่องขายเสียงกว่า 10 คัน พร้อมรถกระบะและรถจักรยานยนต์นับพันคันนำหน้ารถปราศรัยเคลื่อนขบวนของแกนนำ
โดยในรถบรรทุกแต่ละคันจะมีแกนนำ นปช. ประจำรถ โดยคันที่ 1 คือนายณัฐวุฒิ
และคันที่ 10 ซึ่งเป็นคันสุดท้ายจะเป็นของนักวิชาการและพระสงฆ์
โดยแกนนำได้แจ้งผ่านเครื่องขยายเสียงให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางโดยสงบ
ซึ่งนพ.เหวง
โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ นปช. บอกว่าจะใช้สูตร 3 ไม่ คือ ไม่โกรธ, ไม่ตอบโต้, ไม่รุนแรง และ 3 ส่ง
คือส่งยิ้ม, ส่งความรัก และส่งความสุข การเคลื่อนพลของกลุ่มผู้ชุมนุมตลอดการเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นไปด้วยมิตรภาพ
มีการโบกไม้โบกมือให้กำลังใจของประชาชนระหว่างทางพร้อมกับการแสดงรอยยิ้มให้กันและกันทั่วกรุงเทพฯ
รวมไปถึงพื้นที่ในย่านเขตเศรษฐกิจสำคัญอย่างสีลม
ก็มีภาพการตอบรับของประชาชนที่ตอบรับการแรลลี่ของกลุ่มผู้ชุมนุมและให้กำลังใจจากผู้คน
รวมถึงพนักงานของหน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ บนตึกสูง มีการเตรียมน้ำดื่ม, อาหาร และรอยยิ้มให้กันและกันอย่างน่าชื่นชม และเนื่องจากขบวนที่ยาวมาก
จึงมีการตกลงกันทำการแยกสายทำการแรลลี่ครั้งนี้เป็น 2 เส้นทาง
ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ได้รับมอบหมายให้อยู่เฝ้าเวทีชุมนุมใหญ่ โดยมีการปราศรัยเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนอย่างสันติ
ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง
และได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้สนับสนุนในกรุงเทพฯ โดยมีช่างภาพ
สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ติดตามรายงานข่าวการเคลื่อนขบวนอย่างใกล้ชิด
หนทางการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่ม
นปช.
ที่ยืนหยัดด้วยสันติซึ่งเป็นไปตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญทุกฉบับอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ห้วงเวลาของการเริ่มชุมนุมที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม
2553 นั้น
กลับเป็นฝ่ายรัฐบาลอภิสิทธิ์และทหารที่ได้ใช้กลอุบายหลากหลายวิธีในการหาทางที่จะทำลายสลายการชุมนุมและใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนมาโดยตลอด
ซึ่งหนึ่งในวิธีที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เคารพความยุติธรรมและมนุษยชนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
หลังการเคลื่อนขบวนแบบดาวกระจายในวันที่ 20 มีนาคม 2553
ซึ่งได้ผลตอบรับจากประชาชนชาวกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี ก็มีกระแสข่าวของการเคลื่อนขบวนแบบดาวกระจายอีกครั้ง
แต่หลังจากมีการประเมินแล้วว่าอาจจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนส่วนรวมมากเกินไปในการสัญจรไปมาและความสะดวกในด้านต่าง
ๆ ของชาวกรุงเทพฯ
27
มีนาคม 2553 เป็นการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้ทหารที่ทำการซ่อมสุมกำลังและซ่อนตัวในพื้นที่วัดต่าง
ๆ รอบพื้นที่ชุมนุมและส่วนราชการต่าง ๆ ออกจากสถานที่ต่าง ๆ ที่ซ่องสุมกำลังอยู่
ภาพที่ปรากฏตามหน้าสื่อมวลชนจึงเป็นภาพของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เดินไปสถานที่ต่าง ๆ
เพื่อขอร้องและเชิญให้ทหารออกจากสถานที่ต่าง ๆ ที่มีการซ่อมสุมกำลังทหารอยู่ เช่น
วัดตรีทศเทพ,
วัดมกุฎกษัตริยาราม, วัดแคนางเลิ้ง, วัดโสมนัสวรวิหาร, เขาดินวนา, สนามม้านางเลิ้ง
และมหาวิทยาลัยวิทยาเขตพาณิชยการพระนคร
ทั้งนี้
นพ.เหวง โตจิราการ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเชิญกองทหารออกจากวัด
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยและสนามม้านางเลิ้ง ในวันที่ 27 มีนาคม 2553 รัฐบาลสั่งให้ทหารระดับกองพันเข้าไปประจำในวัดสนามม้าและโรงเรียนรายรอบสะพานผ่านฟ้า
เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เห็นการต้อนรับของคนกทม.ที่มีต่อการชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาของคนเสื้อแดงอย่างเร่าร้อนอุ่นหนาฝาคั่งขนาดนี้
ความคิดที่ต้องการข่มขู่คุกคามและใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเกิดขึ้นทันที
รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ส่งทหารระดับกองพัน
พร้อมอาวุธครบมือ
ใช้ยานยนต์ลำเลียงพลหุ้มเกราะขนส่งทหารเข้าไปกระจุกตัวในวัดอย่างน้อยเจ็ดวัดที่อยู่ล้อมรอบบริเวณชุมนุมสะพานผ่านฟ้า
ทั้ง ๆ ที่วัดเป็นสถานที่ถือศีลปฏิบัติธรรมะของพระสงฆ์
เผยแพร่สั่งสอนธรรมะในบวรพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระภิกษุสงฆ์
ปฐมบทของศีลเลยก็คือ ปาณาติปาตา “ให้ละเว้นจากการฆ่า” แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังสั่งทหาร
ที่เป็นอาชีพมีหน้าที่ในการฆ่าทำลายล้างขจัดอริราชศัตรูของไทยเท่านั้น (แต่ของไทยเอามาใช้ฆ่าคนไทยสองมือเปล่าด้วยในบางครั้ง)
พร้อมอาวุธสงครามสารพัดชนิด ปืนทาโว่ ปืนเอ็ม16 ปืนกลเล็กยาว
ปืนกลหนักที่ใช้บนเฮลิคอปเตอร์ กระสุนอีกจำนวนนับไม่ถ้วน รถลำเลียงพล
เป็นสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะก็เอามาประจำในวัดด้วย วัดที่รายรอบก็มีอาทิ
วัดโสมนัสวิหาร วัดมกุฏกษัตริยาราม วัดแค วัดตรีทศเทพ วัดชนะสงคราม วัดบวรฯ
วัดปรินายกฯ และอีกบางวัด
รวมไปถึงส่งทหารระดับกองพันพร้อมอาวุธสงครามและยานลำเลียงพลหุ้มเกราะด้งกล่าวเข้าไปในสนามม้านางเลิ้ง
และโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยด้วย
เรื่องโรงเรียนก็เช่นกันเป็นสถานที่ให้การศึกษาแก่เยาวชน
ยุวชน
แต่นี่รัฐบาลอภิสิทธิ์เอาทหารพร้อมอาวุธสงครามจำนวนมากในลักษณะเตรียมการทำสงครามเข้าไปกระจุกตัวอยู่ในโรงเรียนเด็กเยาวชนซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมทั้งสิ้น
คนเสื้อแดงและประชาชนกทม.ที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวต่างก็ไม่เห็นด้วยและได้มาแจ้งข่าวที่เวทีชุมนุมเป็นจำนวนมาก
ผมเสนอให้ประกาศบนเวทีรับอาสาสมัครสองมือเปล่าเดินทางไปยังแต่ละวัดเพื่อกราบไหว้วิงวอนร้องขอให้ทหารแต่ละกองพันที่ประจำอยู่ในวัดนั้นถอนตัวกลับสถานที่ตั้งของตนเองเถอะ
เพราะเรามามือเปล่าทุกคนและเพียงเรียกร้องให้รัฐบาล “ยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งกันใหม่เท่านั้นเอง
พวกเราทุกคนก็จะกลับบ้านสลายการชุมนุมไปในทันที
ผม หมอสันต์ หัตถีรัตน์ คุณครูประทีป
อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ก็ได้ขอแรงอาสาสมัครคนเสื้อแดงสองมือเปล่าเดินเท้าไปกราบไหว้วิงวอนร้องขอให้ทหารที่อยู่ในวัดโสมนัสวิหารวัดมกุฏกษัตริยารามกลับกรมกอง
ซึ่งภายหลังจากที่ได้พบกับผู้บังคับบัญชาประจำหน่วยแล้ว
ท่านก็ยินดีที่จะถอนทหารกลับกรมกอง เพราะวัดไม่ใช่เป็นที่เหมาะสมที่จะมาตั้งกองกำลังทหารกลางเมืองอย่างนี้
คนเสื้อแดงได้ตั้งแถวเป็นแนวยาว
พร้อมกับนำดอกกุหลาบและดอกไม้อื่น ๆ ที่สวยสดงดงามมาส่งมอบให้ทหารและจับมือทหารเป็นทิวแถวเรียบร้อยส่งยิ้มด้วยมิตรไมตรีที่งดงามให้กับทหาร
ผม หมอสันต์ ครูประทีป ก็ได้ไปขอให้ทหารที่อยู่ในสนามม้านางเลิ้งเคลื่อนตัวกลับกรมกองด้วย
นายทหารที่คุมกำลังมาก็ยินยอมพร้อมใจที่จะนำทหารกลับกรมกองด้วยมิตรไมตรีที่ดีงามต่อกัน
และขบวนสุดท้ายก็มีคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
คุณอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
เคลื่อนตัวไปขอให้ทหารกลับกรมกองที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งนายทหารที่คุมกำลังมาก็ยินดีเคลื่อนกำลังกลับกรมกองด้วยมิตรไมตรีที่งดงาม
ภาพของการแสดงความยินดีโบกไม้โบกมือให้กันระหว่างผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงและทหารที่เคลื่อนตัวออกจากที่ซ่อนพร้อมอาวุธประจำกาย
คงเป็นสิ่งที่บอกได้ถึงแนวทางการต่อสู้ในแบบ “สันติวิธี” ที่ผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.
ให้การยึดมั่นมาโดยตลอดการชุมนุมเรียกร้อง
แต่กลับมีการเขียนรายงานของเหตุการณ์นี้ไปในทางลบของผู้ชุมนุม
โดยรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ออกมาในปี 2556 นั้น กลับได้เขียนรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุม
นปช. นั้นได้เคลื่อนขบวนเพื่อขับไล่เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณวัดและสถานที่ต่าง
ๆ โดยไม่ได้แยแสกับหลักฐานต่าง ๆ ทั้งภาพถ่าย, คลิปเหตุการณ์ที่แสดงหลักฐานชัดเจน
และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกลับไม่มีความเห็นเชิงลบใด ๆ ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ
พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ทางรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ประกาศออกมา
#นปช #UDDnews #ยูดีดีนิวส์
ขอบคุณภาพจากไทยรัฐออนไลน์,
ฟ้าเดียวกัน