ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
(พีมูฟ) เดินเท้าจากสะพานชมัยฯ รายงานตัวกรณีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน สน.นางเลิ้ง
อ่านแถลงการณ์ทวงสิทธิ 16
นักเคลื่อนไหว เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
วันนี้
(1 มี.ค. 65) ตามที่
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ นัดหมายรวมตัวกันที่หน้าสำนักงานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
(ก.พ.ร.) บริเวณ ถ.พิษณุโลก ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เพื่อเดินเท้าไปรายงานตัวที่
สน.นางเลิ้ง
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปิด
ถ.พิษณุโลก บริเวณแยกพาณิชยการ ฝั่งศาลกรมหลวงชุมพรฯ
และบนสะพานชมัยมรุเชฐจนถึงแยกสวนมิสกวันตั้งแต่เวลา 07.30 น.
ทำให้ขบวนผู้ชุมนุมเดินทางไปยัง สน.นางเลิ้ง โดยใช้เส้นทาง
ถ.พิษณุโลกมุ่งหน้าแยกนางเลิ้ง เลี้ยวขวาเข้า ถ.นครสวรรค์ผ่านแยกเทวกรรมเข้าสู่
ถ.กรุงเกษม มุ่งหน้าสะพานมัฆวานรังสรรค์ และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ถ.ราชดำเนินนอก
ผ่านหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งมีม็อบเกษตรกรปักหลักชุมนุมอยู่
และผ่านหน้ากระทรวงคมนาคมซึ่งมีม็อบเครือข่ายชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากการรถไฟ(ชมฟ)ปักหลักชุมนุมอยู่เช่นเดียวกัน
โดยระหว่างนั้นมีผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่ยืนให้กำลังใจ
บ้างเดินต่อแถวร่วมขบวนมาด้วยนั้น
กระทั่งเวลา
10.00 น.ที่ ขบวนได้เดินทางมาถึงสน.นางเลิ้ง
กลุ่มแนวรวมขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P-Move (พีมูฟ) นำโดยนายจำนงค์ หนูพันธ์ ประธานคณะกรรมการบริหารพีมูฟ พร้อมพวก
เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สำเนียง โสธร รอง ผกก.(สอบสวน) สน.นางเลิ้ง
เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา "ร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน"
จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 มกราคม ถึง 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
โดยตัวแทนได้อ่านแถลงการณ์ระบุว่า
"ที่ผ่านมาพีมูฟได้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิอันพึงมี ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง
แต่เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
พวกเราถูกกระทำผ่านกฎหมายและนโยบายของภาครัฐที่ทิ้งเราไว้ข้างหลัง กดทับ
ละเมิดสิทธิของพวกเราที่เป็นคนจนเมือง กลุ่มคนไร้บ้าน ประชาชนในเขตป่า
และกลุ่มชาติพันธุ์
สิ่งที่พวกเราทำได้จึงมีเพียงการลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเท่านั้น เพราะหากไม่สู้
เราคงถูกกดทับไปชั่วลูกชั่วหลาน
ไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากและปลดพันธนาการทางชนชั้นได้
ราคาที่เราต้องจ่ายจากการออกมาเรียกร้องสิทธิ
คือการถูกแจ้งข้อกล่าวหา
“ร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” จำนวน 2 หมาย
รวมทั้งสิ้น 16 คน ที่ประกอบด้วยพวกเราชาวบ้านพีมูฟ
และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพีมูฟ
พวกเราเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้สะท้อนภาพบ้านเมืองของเราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
เป็นการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม
วันนี้เราต้องเดินทางมาจากต่างที่ต่างถิ่น บางคนต้องเดินทางอย่างยากลำบาก
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลและตำรวจไม่สมควรกระทำกับเราเช่นนี้
เราจึงขอประกาศย้ำข้อเรียกร้องเดิมของเรา
คือการต้องเร่งยุติกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเราทั้ง 16 คน
รวมถึงต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. 2548 โดยเร็วที่สุด
พวกเรายืนยันว่า
การลุกขึ้นมาส่งเสียง
การลุกขึ้นมาใช้สิทธิปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนและเรียกร้องสิทธิที่ประชาชนพึงมีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาระหว่างประเทศ
แม้วันนี้พวกเราจะถูกกระทำ แต่ก็จะขอลุกขึ้นสู้
จนกว่าสิทธิในการกำหนดชีวิตของประชาชน จะเป็นของประชาชนโดยแท้จริง"
ด้านนายจำนงค์
กล่าวว่า เรากำลังต่อสู้ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
เพราะเป็นการขัดขวางประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา
ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาของตนเอง โดยไม่สนใจข้อเรียกร้องของประชาชน
จึงอาจจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนการยุติคดีนั้น
ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
เมื่อออกหมายเรียกก็ต้องมารายงานตัวส่วนขั้นตอนการเรียกร้องต่าง ๆ
จะว่ากันต่อว่าจะทำอย่างไรให้ยุติคดี ซึ่งได้ประชุมกับทาง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เพื่อยื่นกรณีนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
จากนโยบายของรัฐบาล โดยนายสมศักดิ์รับปากว่าจะทำให้เสร็จภายใน 3 เดือนซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่าจะทำได้จริงหรือไม่
ขณะที่
น.ส. ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ในฐานะทนายความกลุ่มพีมูฟ
กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นทนายความ ตนมองว่าการชุมนุมดังกล่าวไม่ควรถูกดำเนินคดี
เนื่องจากเป็นการมาติดตามประเด็นที่เคยเรียกร้องกับรัฐบาล
แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา หากรัฐบาลยังใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาแก้ไขปัญหา
ด้วยการดำเนินคดีกับชาวบ้านที่มาชุมนุม ตนมองว่าเป็นการใช้กฎหมายมาปิดปากประชาชน
ดังนั้นควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะไม่ได้ใช้แก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด
แต่ใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับประชาชนที่มาเรียกร้องสิทธิต่างๆ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการแก้ปัญหาที่เรียกร้อง
ไม่ใช่การดำเนินคดี โดยในวันนี้มีผู้ที่มารับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด 12 คน
เนื่องจากมี 3 คนมีความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด และอีก 1
คน อยู่ไกลมาก และต้องดูแลผู้ป่วย หลังรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว
ก็จะทำเรื่องเรียกร้องให้มีการงดเว้นการดำเนินคดีต่อไป
คืบหน้าล่าสุด
13.20 น. ผู้ถูกออกหมายเรียกได้เดินออกจากสน. โดยชี้แจงว่า
เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมาตรา 215 มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป
ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
#ทวงสิทธิต้องไม่ผิดกฎหมาย
#ม็อบ1มีนา65
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์