แลไปข้างหน้ากับ
ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.105
ประเด็น
: โศกนาฏกรรมราชนาวีไทย 2565
สวัสดีค่ะ
วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องโศกนาฎกรรมของราชนาวีไทย 2565
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจประชาชนไทยทั้งประเทศสูง นอกไปจากโศกนาฏกรรมของพระองค์ภาฯ
ดิฉันเลือกเรื่องนี้มาพูดเพราะว่าเป็นเรื่องที่เราสามารถวิเคราะห์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นเพื่อที่จะทำให้เกิดประโยชน์ได้
ดิฉันก็คิดว่าอยู่ในความสนใจของพวกเราทั้งหมด
ดิฉันถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ของราชนาวีไทย
เมื่อพูดถึงโศกนาฏกรรมของราชนาวีไทยก็ย้อนกลับไปนิดหน่อย
ก็คือว่าที่จริงแล้วประเทศไทยก็มีพื้นที่ติดต่อทะเลเป็นจำนวนมาก
ราชนาวีไทยควรจะรุ่งเรืองกว่านี้ ถ้าเรามาเทียบกันกับกองทัพบก กองทัพอากาศ
แต่ประวัติศาสตร์การเมืองทำให้ราชนาวีไทยถูกลดบทบาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือครั้งล่าสุดคือกบฏแมนฮัตตันโดยทหารเรือ
อีกส่วนหนึ่งก็คือราชนาวีไทยค่อนข้างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคณะราษฎรและอาจารย์ปรีดี
เราจะเห็นได้ว่าในชุดของคณะราษฎร นอกจากกองทัพบกซึ่งมีเจ้าคุณพหลฯ จอมพล ป.
เป็นหลักแล้ว รวมทั้ง 4 ทหารเสือ พระยาทรงสุรเดช ต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นกองทัพบกหมด
แต่ว่าในช่วงของอาจารย์ปรีดีนั้นค่อนข้างใกล้ชิดกับกองทัพเรือ จนกระทั่งเกิดกบฏวังหลวงด้วย
แต่ว่านั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งเมื่อหมดอำนาจของอาจารย์ปรีดีและคณะราษฎร
ก็ทำให้กองทัพเรือ พูดตรง ๆ ก็คือการได้รับการสนับสนุนจะเป็นงบประมาณหรืออะไรต่าง
ๆ ก็น้อยลง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพ.ศ. 2494 ที่มีกบฏแมนฮัตตัน
มีทหารเรือจี้จอมพล ป. แล้วกองทัพอากาศก็ระดมยิ่ง ไม่สนใจจอมพล ป.
ซึ่งต้องกระโดดเรือหนีออกมาว่ายน้ำไป
ตามข่าวคือไปบนบานพระเจ้าตากสินเอาไว้ว่าถ้ารอดจะทำอนุสาวรีย์ให้ อันนี้คือจอมพล
ป.
นั่นก็คือเรือรบหลวงศรีอยุธยาซึ่งเป็นเรือใหญ่ก็จมใน
พ.ศ. 2494 และถ้าย้อนไปหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ต้องถือว่าเรือหลวงสุโขทัยเป็นเรือลำที่ 4 ที่อัปปาง พ.ศ. 2484 เป็นเรือหลวงธนบุรี
ถูกกองเรือฝรั่งเศสยิง อันนี้ก็เรียกว่าเป็นยุทธนาวีจริง ๆ
คืออัปปางเพราะการสู้รบจริง พ.ศ. 2488 เรือหลวงสมุย ก็ถูกเรือดำน้ำ USS Sealion ของสหรัฐฯ ยิงจม ระหว่างกลับมาจากเติมน้ำมันที่สิงคโปร์
อันนั้นก็ถือว่าอยู่ในสงคราม เพราะตอนนั้นเราอยู่กับฝ่ายอักษะ อยู่กับเยอรมัน
อยู่กับญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2
การอัปปางของเรือของราชนาวี
2 ลำแรก ในพ.ศ. 2484 กับ พ.ศ. 2488 ถือว่าเป็นการอัปปางหรือการสูญเสียในสงคราม
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสิ้น
ถึงอย่างไรก็ตามก็ถือว่าเป็นการสูญเสียอย่างมีศักดิ์ศรีในฐานะราชนาวีไทย
ไม่ว่าจะอยู่ฟากไหนก็ตาม แต่ว่าพอ พ.ศ. 2494 นี่ยิงเอง กองทัพอากาศยิง
อันนี้ก็เรียกว่ากลายเป็นเรื่องความสูญเสียที่มันไม่ควรจะสูญเสีย
ก็คือต้องการเอาชนะ เพราะถือว่าทหารเรือเป็นกบฏ แล้วก็มา 2565
ดังนั้นก็เรียกว่าเวลาผ่านมา
จาก พ.ศ. 2484 จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2565 ความจริงการสูญเสียของเราน้อยมาก
เราแทบไม่ได้อยู่ในสงครามเลย มีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกว่าเบาะ ๆ เท่านั้น
เรือหลวงสุโขทัย |
ในครั้งนี้ในทัศนะของดิฉัน
เป็นการสูญเสียซึ่งเรียกว่าไม่สมศักดิ์ศรี ไม่สมบทบาทของราชนาวี
เพราะว่าเป็นการสูญเสียซึ่งไม่ควรจะเกิด ดังที่ดิฉันได้กล่าวไปแล้วก็คือว่า
ดิฉันไม่รู้หรอกว่าประเทศไหนในโลกที่มีเรือรบถูกโจมตีโดยธรรมชาติ พายุ
ในอดีตเราพูดถึงเรือไททานิค อันนั้นมันก็เป็นเรือโดยสารใหญ่ที่สุดในโลกที่บอกว่า
“ไม่มีวันจม” ในนี้ความจริงเรือสุโขทัยก็เป็นเรือรบ
เคยข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงออสเตรเลีย ไปฮาวาย แล้วก็ไปร่วมฝึกการรบอะไรต่าง ๆ
แม้นว่าอายุจะ 36 ปีแล้วก็ตาม
แต่ว่าทางกองทัพเรือก็ยืนยันว่ายังเป็นเรือที่มีประสิทธิภาพ
ยังใช้การได้น่าจะไปถึง 50 ปี แต่ว่าปกติเขาจะปลดระวางเหมือนคนเกษียณอายุเมื่อ 40
ปี อันนี้นี่ก็เรียกว่าเป็นการสูญเสียที่ไม่ควรจะเสีย แต่นี่คือเรือ!
แต่ดิฉันกำลังเป็นกังวลสำหรับทหารเรือ
ซึ่งในขณะนี้ยังอยู่ในตัวเลข 23 คน ที่ยังหาไม่พบ
เพราะว่าที่เพิ่งพบโดยเฮลิคอปเตอร์ก็ 1 คน คงเหลือที่ยังไม่พบ 23 คน
ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ว่าโอกาสของการที่จะเสียชีวิตมีสูง
เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่เป็นการอัปปางของเรืออย่างเดียว แต่นั่นหมายถึงการสูญเสียชีวิตทหารเรือ
ซึ่งมันไม่ควรจะสูญเสีย
ดังนั้นที่เรามาพูดวันนี้
ดิฉันถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมของราชนาวีในปี 2565
ซึ่งในอดีตก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าไหร่
และมาในช่วงหลังก็ดูเหมือนถูกโจมตีจากประชาชน จากสังคม
จากพรรคการเมืองมากในเรื่องของเรือดำน้ำ เพราะฉะนั้นพอเกิดเหตุการอย่างนี้หลายคนก็จะคิดเลยว่า
อยากได้เรือดำน้ำใช่มั้ย? แล้วดูซิ
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความสูญเสียทั้งเรือที่อัปปางและชีวิตของลูกเรือจำนวนมากที่ต้องสูญเสียคราวนี้
เพราะเขาก็บอกเขาเพิ่งซ่อมมาอย่างดี
หมายถึงว่ามีการบำรุงบูรณะเรือใหม่ ถามว่าแล้วทำไมมันง่ายดายเกินไปหรือเปล่าในการที่เกิดความเสียหายขนาดนี้
โดยทางเทคนิคดิฉันก็จะไม่พูดถึงเพราะว่าเราจะไม่พูดในสิ่งที่เราไม่รู้
ดิฉันขอเน้นไปที่การสูญเสียชีวิต และเมื่อพูดเน้นไปที่การสูญเสียชีวิต
มันก็มีคำให้คนนินทาเป็นจำนวนมากในเรื่องที่ว่า เสื้อชูชีพมีไม่ครบ
ท่านก็อ้างว่ามีสำหรับลูกเรือ
มี 70 ครบ แล้วท่านยังพูดอีกว่า ไม่ใช่ว่ามีเสื้อชูชีพแล้วจะรอดตาย
ที่ตายเพราะมีเสื้อชูชีพ และที่ไม่ตายเพราะไม่มีเสื้อชูชีพก็มี
พูดอย่างนี้มันก็ถูก แต่ถามว่ามีให้ครบมันดีกว่าไม่ครบ ใช่หรือเปล่า?
พูดแบบนี้มันพูดเหมือนกับว่าคือเป็นการพูดแก้ตัวที่ ในทัศนะดิฉัน “ชุ่ย”
ส่งเดชเกินไป ควรจะพูดอย่างเสียใจว่า เสียใจ ทำไมถึงมีเสื้อชูชีพไม่ครบ
แล้วดิฉันอยากจะถาม
ดิฉันยังไม่ดูถึงคุณภาพนะ ประเดี๋ยวจะพูดถึงเรื่องคุณภาพ เอาปริมาณก่อน
ปริมาณของเสื้อชูชีพทำไมต้องมี 70 เท่าลูกเรือ ตามปกติเขาต้องมีเกินด้วย 1.
มีเกินสำหรับลูกเรือเพราะในบางกรณีหยิบฉวยไม่ทัน 2.
มันต้องเกินสำหรับคนที่มาลงเรือ
ดิฉันอยากจะถามว่าคนที่มาลงเรือเขาต้องหอบชูชีพมาด้วยหรือ? เหมือนคุณไปบ้านใคร
แล้วคุณต้องเอาจานข้าว คุณต้องเอาช้อน
เพราะว่าในบ้านนั้นมีจานมีแก้วพอดีกับคนในบ้าน เช่นนั้นหรือ? เวลาคุณไปลงเรือ
ขนาดไปเที่ยวหรือไปไหนก็ตามแต่ ไม่มีใครเขาหอบชูชีพจากบ้าน
มันไม่ใช่แมสก์ที่เป็นของใครของมัน ชูชีพมันก็ต้องอยู่ที่เรือ แล้วคนที่อยู่ในเรือ
แม้กระทั่งเรือโดยสาร หรือกระทั่งเรือกล้วย เรือ Banana Boat ทุกคนเขาก็ต้องรู้ว่าให้มีพอให้ทุกคนในยามฉุกเฉิน
ไม่ใช่มีเพื่อแก้บนหรือมีไปงั้นเอง นี่เข้าข่ายประมาทหรือเปล่า? เรือรบนะคะ
ขนาดเรือข้ามฟาก เรืออะไรต่าง ๆ
เหล่านี้ก็ยังถูกกวดขันเรื่องจำนวนชูชีพจะต้องเท่ากับคน
ดิฉันลงไปล่องเรือก็ต้องดูทันทีว่ามีชูชีพเท่าไหร่ อันนี้เป็นพื้นฐานเลย
เพราะฉะนั้น
คำพูดที่พูดอย่างภาคภูมิใจว่ามีชูชีพตามจำนวนแล้ว แต่มีคนมา 30 คน
อันนี้ก็เลยไม่มีชูชีพ ในทัศนะดิฉันนะ อันนี้เป็นคำกล่าวหาที่สร้างสรรค์นะคะ
ก็คืออย่าทำอย่างนี้อีก เป็นคำพูดแก้ตัวที่ใช้ไม่ได้
คุณมีชูชีพแม้กระทั่งเท่าจำนวนลูกเรือก็ผิดแล้ว คุณต้องมีให้มากกว่าสำหรับลูกเรือ
เผื่อเหลือ เผื่อขาด เผื่อเสียหาย เผื่อหยิบฉวยไม่ทัน
แล้วคุณต้องมีเผื่อสำหรับคนที่จะไปลงเรือ
เมื่อมีคนไปลงเรือปั๊บคุณต้องรู้ทันทีว่ามีชูชีพพอสำหรับคนอื่นหรือเปล่า
อันนี้มันเป็นพื้นฐานนะ ดิฉันไม่ใช่ทหารเรือ แต่ว่าเมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปเรายังต้องคิดอย่างนั้น
แล้วถามว่ากองทัพเรือไม่คิดอย่างนี้ได้อย่างไร? ไม่ได้!!! เพราะฉะนั้น โดยเชิงปริมาณแล้วใช้ไม่ได้
อย่ามาพูดอย่างภาคภูมิใจว่ามีแล้ว แต่เผอิญมีอีก 30 คนมาลง แล้วคุณให้ลงทำไม
ถ้าคุณให้ลงคุณต้องมีชูชีพให้เขา
ชูชีพแบบคาดเอวที่ราชนาวีอังกฤษใช้ |
ดิฉันอยากให้ดูในต่างประเทศของราชนาวีอังกฤษเขาจะมีลักษณะคาดเอว
(ตามภาพ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือมันต้องคาดในเวลาที่ค่อนข้างฉุกเฉินหรือตลอดเวลาที่อาจจะมีโอกาสความเสี่ยง
ดิฉันอยากจะถามว่า คุณไม่รู้หรือว่ามันจะมีลมพายุ กองทัพเรือ
นอกจากประเด็นประมาณของชูชีพซึ่งไม่ถูกต้องเลย
แล้วคำถามว่าคุณรู้ไหมว่าคุณอยู่ในสถานการณ์ไหน สถานการณ์ที่เขาห้ามเรือประมง
เรือสินค้า ไม่ให้ออก
เสื้อชูชีพแบบมีหน้ากากกันน้ำ |
กลับมาที่ลักษณะของเสื้อชูชีพอีกแบบ
(ตามภาพ) โดยคุณภาพมันจะดึงเด้งออกมา
และโดยทั่วไปเขาจะมีกระป๋องแก๊สติดไว้ด้วยเพื่อให้มันพอง แล้วก็จะมีหน้ากากใส
เพราะพายุบ้าคลั่ง มันไม่ใช่ลอยในแม่น้ำเจ้าพระยานะที่มียายคนหนึ่งแกลอยมาได้ตั้งนาน
ลอยไม่รู้กี่กิโลเมตร นั่นแม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีคลื่นลมพายุ
อันนี้มีพายุสูงขนาดเรือจมแล้ว คำถามว่าน้ำมันจะเข้าหน้าเขาตาจนสำลักหรืออะไรต่าง
ๆ เพราะฉะนั้นอันนี้เขาก็มีหน้ากากป้องกัน
ชูชีพแบบที่นาวิกโยธินอังกฤษใช้ |
ส่วนอีกแบบหนึ่งในกรณีที่อาจจะเป็นนาวิกโยธินหรือกรณีที่คุณต้องแบกอาวุธ
มันก็จะเป็นชูชีพอีกแบบหนึ่งซึ่งสามารถลายเป็นห้อยอยู่ที่คอได้
อันนี้พูดถึงชนิดของชูชีพ ต้องเป็นชนิดที่ว่าสามารถกันน้ำกระแทกหน้าเข้าจมูกได้
เมื่อกี้เราพูดเรื่องปริมาณไปแล้ว นี่พูดถึงคุณภาพ
ดิฉันอยากให้กลับไปดูว่าชูชีพของคุณเป็นแบบนี้หรือเปล่า
และอันนี้เขาให้แพคติดเอวไว้ตลอด เวลาจำเป็นก็ดึงออกได้เลย แล้วเท่าที่มีคนนินทา
“แพยาง” ไหนคุณบอกว่ามี 6 แต่ว่าเท่าที่ทราบดูเหมือนจะมีแพยางอันเดียว
ดิฉันไม่พูดเรื่องเทคโนโลยีของเรือนะ
พูดเรื่องการเตรียมพร้อมอย่างไม่ประมาทสำหรับชีวิตของทหารเรือ เขาควรจะตายอย่างมีค่า
เพื่ออย่างที่บอก เขายินดีที่จะตายเพื่อปกป้องเสรี (เพลงวอลล์นาวี)
อันนั้นเป็นเพลงตั้งแต่ในยุคสงครามเย็น มันควรจะตายด้วยความภาคภูมิใจ
แต่ว่าตายแบบนี้ ในทัศนะดิฉันก็อดเสียใจแทนเขาไม่ได้
ว่าโสกนาฏกรรมครั้งนี้มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่อง ความประมาท
ไม่ว่าจะเป็นความรู้ เมื่อคุณเอาเรือออกคุณจะต้องเผชิญอะไร ดินฟ้าอากาศแบบไหน
และสมมุติคุณดื้อจะไป มันเป็นภารกิจสำคัญอะไรที่ต้องพากันไปที่ชุมพรทั้งหมด
และโดยเฉพาะในยามที่ดินฟ้าอากาศไม่ปกติ ดิฉันก็ไม่เข้าใจ
คุณจะรำลึกถึงเสด็จเตี่ยที่สัตหีบก็ได้
ถ้าคุณเชิ่ออย่างนั้นเสด็จเตี่ยก็มาได้ ไม่ต้องไปถึงโน่นเลย
นี่ถ้าเสด็จเตี่ยอยู่ก็คงถูกด่าไปแล้ว เพราะว่าท่านเป็นคนปากไวแล้วก็ด่าเก่ง
คงด่าไปแล้วว่ามาทำไม ก็ไหว้กูอยู่ตรงนั้นก็ได้ ไม่เห็นเป็นไร
จุดธูปก็ถึงแล้วเหมือนกัน 100 ปีของกองทัพเรือกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่มันไม่น่าเชื่อ
เพราะฉะนั้นเป็นความประมาทบกพร่อง ในทัศนะของดิฉันนะ แล้วก็ความคิดที่ไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเห็นคุณค่าของชีวิต เอาความต้องการเหนือกว่า
เป็นเรื่องสำคัญ จนกระทั่งลืมคิดเรื่องอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เรือนี้เป็นเรือรบนะ
แต่ไม่ได้รบกับใคร
แต่ตอนนี้ตามข่าว
ก็ยิ่งอีกอย่างอีกนะ ก็บอกอาวุธอะไรต่าง ๆ ไม่ได้เอาใส่เอาไว้
ที่คนเป็นห่วงนะเนื่องจากอาจจะมีปืนกล มีอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น พื้นสู่อากาศ
ท่อตอปิโดอะไร ท่านว่าไม่มี! แต่ไม่มีแล้วมันจะเรียกเรือรบหรือเปล่า?
ท่านบอกว่าที่เอาเรือออกมาก็
1. จะไปช่วย อาจจะมีเรือจน แต่นี่จมเอง 2. ก็ไปงานพิธี เลยไม่ได้ทุกอย่าง
แต่บอกว่าที่จมลงไปไม่ต้องห่วง ไม่มีอาวุธจรวด ไม่มีตอปิโดอะไร ประมาณนั้น
ถ้างั้นมันก็เป็นเรือเปล่า ๆ
เป็นเรือเปล่า ๆ ไม่พอ แต่ว่าโศกนาฏกรรมที่บอกว่าเสื้อชูชีพไม่พอ
เป็นเรื่องใหญ่ แล้วในทัศนะของดิฉัน
ถ้าท่านออกมาพูดอย่างที่บอกว่าเสื้อชูชีพมันไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
คนที่ตายก็มีเสื้อชูชีพ ประมาณว่าถ้าคนจะตายมีเสื้อชูชีพหรือไม่มีมันก็ตาย
พูดประมาณอย่างนั้น ดิฉันก็อยากจะถามว่า 1. ต่อให้เป็นเสื้อชูชีพห่วย ๆ ถ้ามีมันดีกว่าไม่มีมั้ย?
อันที่ 2. ก็คือเสื้อชูชีพที่ท่านบอกว่ามันช่วยอะไรไม่ได้
เสื้อชูชีพของท่านเป็นแบบไหน แล้วระบบในการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเรือยาง
ไม่ว่าอะไรต่าง ๆ ถ้าเรือยางมันมี 6 ลำ จริงตามที่ท่านพูดนะ
ดิฉันว่ามันคงจะเซฟคนได้เยอะ อย่างน้อยก็ยังมีคนเกาะเรือยางได้จำนวนหนึ่ง
ภาพ รล.สุโขทัยเอียง 80 องศา (ภาพจาก Thai Royal Navy) |
ถัดมา
มาดูมาตรการช่วยเหลือ ดิฉันดูเวลา 17.16 น. น้ำทะเลเข้าเรือ เครื่องยนต์ดับ
เครื่องไฟฟ้าดับ ผ่านไป 1 ชม. แปลว่าใน 1 ชม. นี้ทำอะไรไม่ได้
กลับไปหาคำตอบทางเทคนิคว่า ตั้งแต่น้ำยังไม่เข้าเรือตั้งแต่ตอนเย็น
การคาดการณ์ว่าจะมีน้ำเรียกว่าพายุสูง อาจจะมีน้ำเข้า มีการคาดการณ์หรือเปล่า?
ยิงคำถามเอาไว้ คาดการสถานการณ์เอาไว้อย่างไร เพราะว่านี่อยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ
เพราะไปเข้าหาดทรายรีก็ไม่ได้ เข้าที่ประจวบฯ ก็ไม่ได้ เมื่อเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ
มี 1-2-3-4-5 มีการเตรียมการเป็นอย่างไร 1 ชม.กว่าที่ไฟฟ้าดับ
และอีก
1 ชม. เรือหลวงกระบุรีเพิ่งออกจากบางสะพานไปช่วยเรือหลวงสุโขทัย
และหลังจากนั้นประมาณ 2 ทุ่ม เรือหลวงสุโขทัยก็เอียง 45 องศา จากนั้น 20.30 น.
เรือหลวงอ่างทองจึงออกเดินทางจากสัตหีบไปช่วย แล้วประมาณ 21.00 น.
เรือหลวงกระบุรีจึงถึง ก็คือนับจากเกิดน้ำทะเลเข้าประมาณ 17.00 น. 21.00 น.
เรือหลวงกระบุรีจึงเดินทางถึง ดิฉันถือว่า “ช้า”
แล้วคำถามว่าถ้าเรือวิ่งช้า
แล้วมีเครื่องบินมั้ย? อันนี้ก็ยิงคำถามอีก มีเครื่องบินมั้ย? ที่จะไปช่วย (เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยอยู่ที่ไหน)
แต่ท่านอาจจะบอกว่ามีพายุอะไรต่าง ๆ ดิฉันก็ไม่ทราบ เอาเป็นว่ามันช้า จาก 17.00 น.
ถึง 21.00 น. เรือเอียง 80 องศา ก็คือ 21.00 น. แล้ว 23.00 น. ก็เป็นการสละเรือ
ปลดแพชูชีพ แล้ว 23.20 น. เรือหลวงสุโขทัยเริ่มจมจากท้ายเรือ และในที่สุด 23.46 น.
เรือหลวงสุโขทัยจม นี่คือเหตุการณ์
หลังจากนั้นการช่วยเหลือ
ลองคิดดูว่ากลางคืนของวันที่ 18 จนสว่าง ช่วยคนได้ประมาณ 30 คน
พอหลังจากนั้นวันที่ 19 กลางวัน
ซึ่งเป็นเวลาเงินเวลาทองที่ต้องระดมสรรพกำลังทั้งหมด
เพราะมันเป็นเวลากลางวันซึ่งมันหาได้ง่ายหน่อย ก็ยังได้ไม่หมด
ยังเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าเย็นวันที่ 19 ยังเหลืออยู่ 30 ราย ที่ยังหาไม่พบ
เพราะฉะนั้นมาถึงบัดนี้ก็เหลือประมาณ 23 ราย พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเจอวันที่ 19
ก็เจอเป็นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด พอมาวันที่ 20-21 ก็พบ 1 ราย 2 ราย 3 ราย 4 ราย
อะไรอย่างนี้
ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าภารกิจในการช่วยจะนานไปอีกสักเท่าไหร่
แต่ความหวังมันจะริบหรี่ เพราะว่านี่มันอยู่ในทะเล ไม่ใช่แม่น้ำ มีพายุ
แล้วก็น้ำเย็น และดังที่บอกว่าคุณภาพของเสื้อชูชีพตามที่ดิฉันดูแล้ว
มันไม่มีเหมือนกับภาพที่ดิฉันโชว์ให้ดู
ซึ่งมันต้องมีที่ปิดบังใบหน้าจากการที่ถูกน้ำทะเลเข้า
ดิฉันดูแล้วว่าการตระเตรียมและการช่วย ในทัศนะดิฉันมันช้า
ช้าไปและมีจุดบกพร่องเป็นจำนวนมาก
ในทัศนะของดิฉัน
เวลาเกิดโศกนาฏกรรมผู้คนจะแบ่งเป็น 2 แบบ แบบหนึ่งก็ไปคิดเรื่องไสยศาสตร์
ความคิดแบบไสยศาสตร์แบบคนสมัยร้อย ๆ หรือพันปีมาแล้ว ถือว่าเรื่องราวร้าย ๆ
เกิดจากลางร้ายปีศาจร้าย ก็จำเป็นต้องสวดปัดเป่าให้ความเลวร้ายหายไปต่าง ๆ
เหล่านี้ เหมือนสมัยโบราณมีโรคห่าโรคอหิวาต์ลง ก็ใช้วิธีว่าเอาพระมาสวด
อันนี้ชาวบ้านทั้งหลายก็เห็นได้ง่าย ๆ
มาถึงปัจจุบันนี้ว่าไอ้วิธีคิดแบบนี้มันใช้ไม่ได้
แต่ถามว่ามาตอนนี้
พ.ศ.นี้ ก็ยังมีคนคิดอย่างนี้ เวลามีโศกนาฏกรรมอะไร ก็คิดในทางไสยศาสตร์
จนกระทั่งมีอาจารย์คนหนึ่ง อันนั้นไสยศาสตร์หนักไป อันนี้ในอีกกรณีหนึ่ง
ก็คือคิดว่าจะทำไสยศาสตร์ โดยอ้างว่าวิทยาศาสตร์ช่วยไม่ได้ ล่าสุดก็
ดิฉันไม่อยากจะนินทาแต่ว่าตรง ๆ เลยก็ได้ ที่รัฐบาลสั่งให้บวชมังคะ มีการบวช
มีการสวดมนต์ อันนี้ในกรณีอาการประชวรของพระองค์ภาฯ ซึ่งดิฉันก็ไม่ว่า
ก็ถือว่าเป็นเรื่องสิริมงคล แต่เรื่องของอาจารย์ที่ใช้วิธีทางไสยศาสตร์
อันนั้นมันมากเกินไป
คิดเพียงแต่แค่นี้มันไม่ได้
ถ้าทั้งประเทศคิดแบบนี้หมด แทนที่จะคิดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แก้ปัญหา
ไม่ใช่ใช้วิธีปัดรังควาน สวดมนต์อ้อนวอน นี่แหละคนมันถึงได้แบ่งเป็น 2 ประเภท
เพราะฉะนั้นตอนนี้ใครคิดจะบวช จะสวดอ้อนวอนก็ไม่เป็นไร
เพราะอาจจะคิดว่าตัวเองทำอย่างอื่นไม่ได้
แต่
“รัฐ” ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้า “รัฐ” ทำอย่างนั้นก็ควรจะเป็น “รัฐ”
เมื่อพันปีที่แล้ว หรือกี่ร้อยปีที่แล้ว สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์หลัง ๆ
เขาก็ไม่ได้คิดอย่างนี้แล้ว เขาใช้ความจริง เขาใช้วิทยาศาสตร์มาแก้ไข
ดังนั้นทั้งสองกรณีมันทำให้แบ่งคนเป็น 2 พวก ว่าเป็นพวกจารีตล้าหลังก็จะเอาไสยศาสตร์เป็นด้านหลัก แล้วแก้ปัญหาโดยวิธีทางไสยศาสตร์และสวดอ้อนวอน แล้วก็ปัดรังควานขับไล่
มาปีนี้
พ.ศ.นี้ยังมี!
ดิฉันก็อยากจะเห็นว่าประเทศไทย คนแบบนี้ ที่คิดแบบนี้
มันจะเหลือจำนวนเท่าไหร่ และที่เปล่งเสียงออกมา อายเด็กหรือเปล่า
อายคนรุ่นหลังหรือเปล่า อยากให้คิดซะบ้าง ดิฉันก็ไม่เข้าใจบางคนก็เป็นครูบาอาจารย์
เพราะว่ามายุคนี้ พ.ศ.นี้ มันควรจะเข้าใจแล้วว่าบางอย่างเราไม่รู้
แต่นั่นก็คือเราไม่รู้เพราะว่ามันเป็นความจริงที่เรายังไปไม่ถึง
แต่มันไม่ใช่เป็นสิ่งลึกลับที่อธิบายไม่ได้ เราอธิบายไม่ได้เพราะเราไม่รู้
แต่มันอธิบายได้โดยความรู้
ดังนั้น
การแก้ปัญหาต้องแก้ด้วยความจริงกับความรู้ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่ใช่อ้อนวอน
หรือแม้กระทั่งที่นายกฯ สั่งให้ไปประกอบพิธีทางศาสนาใด ๆ ก็ตาม
ไม่งั่นประเทศชาติไปไม่รอดค่ะ อายเยาวชนคนรุ่นหลังนะคะ
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #เรือหลวงสุโขทัย