เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีก่อการร้าย แกนนำนปช.และพวก รวม 22 คน เป็น 9 ม.ค. 66 เหตุจำเลยมาไม่ครบ!
วันนี้
(1 ธ.ค. 2565) เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก
ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษ
1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แกนนำนปช.และแนวร่วม
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2562 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ทั้งหมด
โดยระบุว่า เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการก่อการร้าย
สำหรับจำเลยในคดีนี้
ได้แก่ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว
พิกุลทอง, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายยศวริศ
ชูกล่อม, นายนิสิต สินธุไพร, นายการุณ
โหสกุล, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายพงศ์พิเชษฐ์
สุขจินดาทอง, นายสุกเสก พลตื้อ, นายจรัญ
ลอยพูล, นายอำนาจ อินทโชติ, นายชยุต
ใหลเจริญ, นายสมบัติ มากทอง (เสียชีวิต) , นายสุรชัย เทวรัตน์, นายรชต วงค์ยอด, นายยงยุทธ ท้วมมี, นายอร่าม แสงอรุณ, นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ (หลบหนีคดี ศาลจำหน่ายคดีชั่วคราว) , นายสมพงษ์ บางชม, นายมานพ ชาญช่างทอง, นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เป็นจำเลยที่ 1-24 ดังนั้น คดีนี้มีจำเลย 22 คน
ต่อเวลา
14.00 น. ศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เนื่องจากจำเลยมาไม่ครบ
โดยจำเลยที่ไม่ได้มา ได้แก่ นายนิสิต สินธุไพร และ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
ซึ่งทั้ง 2 คนจะถูกออกหมายจับต่อไป สำหรับนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครั้งต่อไปคือวันที่
9 ม.ค. 2566 เวลา 09.30 น.
ทั้งนี้
ก่อนขึ้นฟังคำพิพากษา ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี หนึ่งในทีมทนายความคดีก่อการร้าย
กล่าวว่า วันนี้เป็นคดีที่หลายคนคงจำได้
เป็นคดีที่สืบเนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ในเดือนเมษา-พฤษภา 53
แล้วก็มีการเข้าสลายการชุมนุมของทางศอฉ.
ซึ่งขณะนั้นรัฐบาลและศอฉ.มองว่าการชุมนุมของประชาชนคนเสื้อแดงซึ่งมีแกนนำนปช.เป็นคนจัดการและควบคุมการชุมนุม
ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาร่วมกันก่อการร้าย
ทนายวิญญัติ
กล่าวต่อว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นร่วมประมาณ 10 ปี และในปี
2562 ก็มีคำวินิจฉัยคำพิพากษาว่ายกฟ้องทั้งหมด คดีดังกล่าวมีจำเลยทั้งหมด 24 คน
บางส่วนได้เสียชีวิตก่อนมีคำพิพากษา วันนี้เราได้รับรายงานว่าอาจจะมีการเลื่อนการฟังคำพิพากษา
หรือไม่? เนื่องจากว่าตัวจำเลยถ้ามาไม่ครบ
ศาลอาจจะให้เวลาและอาจมีการออกหมายจับหากศาลเชื่อว่าได้รับหมายแล้วไม่มาฟังคำพิพากษา
หลังจากนั้นก็ค่อยมีการนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้ง
ทนายวิญญัติ
กล่าวว่า คดีนี้ไม่มีอะไรน่ากังวล
เนื่องจากองค์ประกอบความผิดของการก่อการร้ายเป็นเรื่องที่จะต้องวินิจฉัยอย่างละเอียดรอบคอบ
เพราะการที่ใครจะเป็นผู้ก่อการร้ายมันจะกระทบต่อองค์การระหว่างประเทศที่เขามีองค์การต่อต้านก่อการร้ายด้วย
มันไม่ได้มีผลเฉพาะต่อจำเลยในคดีนี้เท่านั้น
ประเทศชาติก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วยว่าเรื่องแบบนี้เรื่องแบบนี้เป็นผู้ก่อการร้าย
จริงหรือไม่?
เมื่อ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตเลขาธิการนปช. เดินทางมาถึง ได้ตอบคำถามสื่อกรณีการฟังคำตัดสินศาลอุทธรณ์ในวันนี้จะมีส่วนในบันทึกประวัติศาสตร์การต่อสู้ให้กับคนรุ่นหลังอย่างไร
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า
ในกระบวนการต่อสู้คดีเราก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงทั้งหลาย
ให้การต่อศาล เรายืนยันความบริสุทธิ์และปฏิเสธข้อกล่าวหาก่อการร้ายมาตลอดตั้งแต่ปักหลักชุมนุมอยู่จนมาถึงวันนี้
ดังนั้นข้อเท็จจริงเหล่านี้ หากปรากฏต่อสาธารณชนก็เป็นวิจารณญาณของคนในแต่ละรุ่น
แต่ละช่วงเวลา ที่จะพิจารณา เพราะว่าข้อเท็จจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว
ไม่ว่าจะมีการเห็นแตกต่างมีฝักฝ่ายกันอย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยัน
หรือแม้กระทั่งคำพิพากษาของศาลก็น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษาได้พิจารณาครับ
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงความกังวลต่อคำตัดสินในวันนี้
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่มีข้อกังวลอะไร เพราะว่าทุกคดีที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้
ผมก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด บางคดีก็ยกฟ้อง
บางคดีก็พิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เราก็ผ่านทุกเหตุการณ์กันมา
คดีนี้ก็เป็นอีกคดีหนึ่ง ก็เป็นหน้าที่ของพวกผมจะต้องต่อสู้กันตามกระบวนการต่อไป
ส่วนรูปแบบการต่อสู้ในอนาคต
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แนวทางสันติวิธียังเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการต่อสู้ทางการเมือง
ไม่ว่าจะมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นคือการเปลี่ยนรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
หรือการเปลี่ยนแปลงระยะยาวคือการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของประเทศให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
และทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หลักสันติวิธีเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรยึดกุมให้มั่นคง เพราะถึงที่สุด
การต่อสู้นอกจากหลักการที่ถูกต้องมันต้องประกอบด้วยวิธีการที่ชอบธรรม
ซึ่งสันติวิธีน่าจะเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้คนในสังคมทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่างยอมรับและอยู่ร่วมกันได้
ด้านนายวิภูแถลง
พัฒนภูมิไท กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนก็ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่ ณ
วันนี้ คิดว่าก็คงจะได้รับความยุติธรรม
อรุณรุ่ของความยุติธรรมก็จะต้องเกิดขึ้นในที่สุด
เวลาต่อมา อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้เดินทางมาพร้อมกับ นพ.เหวง โตจิราการ ซึ่ง อ.ธิดา กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนขึ้นห้องฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีก่อการร้าย กรณีชุมนุมทางการเมืองของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ว่า “อาจารย์ต้องเรียนก่อนอื่นว่าอาจารย์ไม่ใช่จำเลยนะ อาจารย์ก็มาร่วมฟังและอาจจะมาช่วยประกันตัวถ้าหากว่ามีปัญหา “
อ.ธิดา กล่าวต่อว่า ในความคิดของตัวเองก็คิดว่า
ในกรณีนี้ศาลชั้นต้นยกแล้ว เราก็มองในแง่ดีว่าศาลอุทธรณ์ก็น่าจะไปตามนั้น
ด้านบวกก็คือยก แต่ก็มันไม่มีอะไรแน่นอน เพราะว่าคำฟ้องอัยการในการอุทธรณ์นั้นได้เพิ่มข้อหาและเรื่องราวมากขึ้นกว่าเดิม
โดยที่ไม่ได้สามารถที่จะมีการโต้แย้งปกติได้ ซึ่งค่อนข้างแปลกใจ
เพราะปกติชั้นอุทธรณ์มันจะเป็นปัญหากฎหมายมากกว่าข้อเท็จจริงใหม่
เราก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่มองในแง่ดีว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ข้อหารุนแรงที่พูดนั้นปรากฏว่าการดำเนินคดีต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชายชุดดำ เรื่องเผาบ้านเผาเมือง การใช้อาวุธนั้น
ปรากฏพบว่าข้อหาเหล่านั้นมันไม่จริง และมีการยกฟ้องไปเกือบทั้งหมดเลย
ดังนั้น
เราก็หวังว่าระยะเวลาที่นานและพิสูจน์จากคดีอื่น ๆ รวมทั้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับวันนี้
แต่ก็ไม่แน่นอน! อ.ธิดา
กล่าวในที่สุด
ทางด้าน นพ.เหวง โตจิราการ
ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยคดีก่อการร้าย ได้กล่าวก่อนขึ้นรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โดยนพ.เหวง กล่าวว่า “เรียนด้วยความเคารพนะครับว่าเรากราบเคารพคำพิพากษาของศาล
ไม่ว่าจะออกมารูปแบบไหนก็ตาม
ไม่ว่าท่านจะมีคำวินิจฉัยว่าพวกผมมีความผิดก็ยินดีเคารพ
หรือไม่ก็เกิดท่านให้ความเมตตาพิพากษายกฟ้อง ผมก็ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง
ผมก็ให้ความเคารพ เรียนได้คำเดียวครับคือเราเคารพคำวินิจฉัยของศาลครับ” นพ.เหวง
กล่าว
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #คดีก่อการร้าย #แกนนำนปช