อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มรดกคณะราษฎร 2475
ตอนที่ 6 : เมษาเลือด 53 ที่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สัมภาษณ์ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ในวาระ 89 ปี 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรปฏิวัติสยาม เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (สัมภาษณ์โดย The 101 world เมื่อ 24 มิ.ย. 63)
อยากให้อาจารย์พูดเหตุการณ์เมษาเลือด 53
ที่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เหตุการณ์ 10 เมษานั้นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย แต่เมื่อมีความคิด โดยเฉพาะคุณอภิสิทธิ์นั้นมีความคิดใช้การทหารนำการเมือง แล้วก็คิดว่าการทหารนั้นจะสามารถจัดการกับประชาชนได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ที่อาจารย์เคยบอกแล้วว่าสำนักการศึกษามันไม่เท่ากับสำนึกทางชนชั้น เพราะฉะนั้นเมื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาตัดสินใจ จะโดยตัวเขาเองหรือว่าเครือข่ายที่มากรอกหูเขาให้ทำอย่างนั้นก็ตาม พอตัดสินใจไปแล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นมา
ในวันนั้นความเสียหายส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่ว่าคนจากราชประสงค์มาที่นี่ด้วย เพราะประชาชนไม่ระมัดระวัง ไม่คิดว่าจะมีทหารมายิงประชาชนจริง ๆ คนที่ถูกยิงที่นั่น ปรากฏการณ์ที่บอกว่ามี “ชายชุดดำ” นะ จริง ๆ จนบัดนี้ก็ยังจับไม่ได้เลยนะ มีแต่จับคนที่เรียกว่าพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ แต่ไม่สามารถจับชายชุดดำได้ แล้วคนที่ตายทุกคน ตายวันที่ 10 เมษา ไม่ได้ตายด้วยภาพปืนอาก้าแบบที่เขาโชว์ในภาพนะ เพราะเป็นกระสุนแบบนาโต้ เป็นกระสุน M16 เป็นกระสุนของฝ่ายทหารทั้งหมดเลย
แต่ฝ่ายทหารที่ตาย ก็ตายด้วยระเบิดขว้าง M67 ไม่ใช่ M79 แบบที่อภิสิทธิ์พูด ฉะนั้นภาพชายชุดดำที่ถืออาก้า ไปถือเดินเล่นหรือเปล่า แล้วก็ยิงเล่น ไม่มีทหารตายด้วยอาก้า ไม่มีประชาชนตรงนั้นตายด้วยอาก้า ภาพนั้นเกิดมาเพื่อที่จะดีสเครดิตและทำลายความชอบธรรม ความเสียหายที่การตายที่ตรงนั้นเป็นการยิงจากข้างบนลงมาทั้งสิ้น คนไม่มีอาวุธ ภาพที่เห็นชัด ๆ ก็คือคนที่ถือธงก็ถูกยิง
ภาพประกอบ : วสันต์ ภู่ทอง ถูกยิงที่ศีรษะขณะที่โบกธง
นี่อาจารย์ยังไม่พูดถึงเรื่องของวัดปทุมฯ นะ เอาเฉพาะตรงนั้น การตายฉับพลันตอนนั้นมันช็อคประชาชนและช็อคแกนนำ การตายของทหารก็ช็อคพวกเขา การตายของทหารเราก็ไม่รู้เรื่อง เราก็ถามว่าคุณไปหามาซิว่าใครทำให้ตาย แล้วอาจารย์โกรธคอป.มาก โดยเฉพาะนายสมชาย หอมลออ ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการสิทธิมนุษยชนและเอ็นจีโอ ที่ตอนแรกก็บอกว่าพวกเสื้อแดงมีชายชุดดำ แล้วก็มีชายชุดดำที่โน่น ที่นี่ แล้วก็บอกว่ามาขว้าง M67 ไม่รู้จะขว้างจากไหน ก็ขว้างจากบ้านโบราณ จริง ๆ แล้วมันไม่มี เพราะว่าทหารครองพื้นที่เต็มรวมทั้งสตรีวิทยา ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้ อันนี้เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง แต่ให้เขาไปหามา ก็คือ ไม่มีใครตายด้วยชายชุดดำ ไม่มีใครตายด้วยอาก้าและ M79 ตรงนั้น
การตายของพี่น้องประชาชนตรงนั้น เป็นการตายจากกระสุนปืนแบบซุ่มยิง กับการตายโดย M16 แล้วก็เป็นการตายที่ไม่ได้ยินท่อนล่างด้วย ยิงท่อนบน แล้วก็ยิงหัวเป็นจำนวนมาก เป็นความโหดเหี้ยมชุดสำคัญชุดแรก แล้วในคำสั่งของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ต้องการให้ยุตินะ คือบอกให้ปฏิบัติการ แต่ไม่ได้บอกเวลายุติในคำสั่งทางวิทยุทั้งหมด หมายความว่าให้ทำจนจบ ไม่แคร์ว่าจะตายกี่คน จะจบในเวลามืดค่ำไหม? และเบิกกระสุนปืนมาตอนเบิก 7 แสนกว่านัด ของอาจารย์ตัวเลขมากกว่าศปช.อีก ใช้กระสุนไปแสนเก้าหมื่นกว่านัด แล้วกระสุนสไนเปอร์ 500 กระสุนซุ่มยิงอีก 2 พัดนัด นี่ยกตัวอย่าง (นี่พูดถึงทั้งหมด 10เมษา - 19พฤษภา)
ดังนั้น ก็แปลว่าเป็นเจตนา แต่ผลสุดท้ายอภิสิทธิ์ไม่ได้ถูกฟ้องร้อง ไม่ว่าด้วยศาลอาญาธรรมดาหรือว่าศาลอาญานักการเมือง ทั้ง ๆ ที่เวลาเขาฟ้องก็คือว่าเหตุการณ์วันนั้นคุณควรจะยุติได้แล้ว มีการตาย 20 กว่าคน DSI มองว่ามันควรจะจบแล้ว มันไม่ใช่ กลายเป็นว่าการตาย 20 กว่าคนทำให้เขาพัฒนาการปราบปรามใหม่ให้เป็นการปราบปรามการรบในเมืองแบบเต็มรูปแบบ (แบบที่เสนาธิปัตย์บอก) ไม่ใช่แบบจลาจล เป็นสงครามในเมือง แล้วสมควรที่จะเป็นแบบอย่างสำหรับประเทศอื่น ๆ และอนาคตของประเทศไทย
การตาย 20 กว่าคนนั้นมันไม่ได้ทำให้คุณอภิสิทธิ์คิดได้เลย เขาบอกเขาร้องไห้ทั้งคืน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากร้องไห้แทนที่ว่าลาออกดีกว่า หรือเลิก ทำไมผมอยู่แล้วมันต้องตายกันขนาดนี้? ไม่ใช่เลย กลายเป็นว่าไปพัฒนาทำให้การตายของประชาชนยิ่งหนักหน่วงไปกว่าเดิมอีก มันช็อคเราตรงที่ว่ามีประชาชนตายเป็นชุดแรกแบบเห็นจะจะ ภายในเวลาอันสั้น
ที่ผ่านมาในอดีต การตายจะเกิดขึ้นตอนที่ไม่มีแกนนำแล้ว ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา หรือพฤษภา 35 แกนนำถูกจับไปหมด แล้วเกิดจลาจล ตอนนั้นที่จริงแกนนำยังควบคุมได้ ไม่ได้มีความรุนแรงจากประชาชนเพราะมีแกนนำ แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่มีแกนนำ ความรุนแรงจากประชาชนจะมี เพราะนั้นบอกได้เลยว่าไม่มีความรุนแรงจากประชาชน เพราะแกนนำยังควบคุมได้ แต่เป็นความรุนแรงที่เกิดจากการใช้อาวุธของทหารข้างเดียว แต่ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าทหารเสียชีวิตด้วย ณัฐวุฒิก็ไม่รู้ว่ามีทหารเสียชีวิตด้วย
นี่เป็นการตายของประชาชนขนาดใหญ่ครั้งแรกที่มีการชุมนุมที่มีแกนนำอยู่ มันช็อคมาก เลยมีข้อเรียกร้องรุ่งขึ้นว่าให้เขายุบสภาภายใน 15 วัน ซึ่งเขาก็ไม่ทำ มันกระทบกระเทือน และนี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งเราไม่สามารถจะให้มีการนิรโทษกรรมเหมาเข่งได้ คุณทำกับประชาชนมือเปล่าอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วมันจะเป็นเยี่ยงอย่างว่าในอนาคตต่อไปผู้ปกครองก็ทำกับประชาชนอย่างนี้ได้อีก
เพราะที่อาจารย์บอกว่าอาจารย์มีประสบการณ์ 14 ตุลา ตอนเกิดเรื่องนะ เขาเดินขบวน 13 คืนวันที่ 14 นั้นไม่มีแกนนำแล้วนะ ไม่มีใครไปคุม อาจจะมีมวลชนอาจจะทำอะไรที่รุนแรงก็ได้ แต่ว่าตอน 10 เมษานั้นยังอยู่ในความควบคุม ไม่มีการทำอะไรรุนแรง มันจึงช็อคมาก ถือว่าเป็นความสูญเสียที่ต้องการบอกกับม็อบกับประชาชนว่าจะจัดการกับพวกแกประมาณนั้น ไม่สนใจ ก็คือใช้การทหารเพื่อให้เลิก ในขณะที่เรายังมีการควบคุม ไม่มีความรุนแรงของประชาชน อันนี้เป็นเรื่องที่น่าช็อคมาก และเราก็สงสัยว่าทหารยิงประชาชนได้อย่างไร
ภาพประกอบ : เหตุการณ์เมษาเลือดปี 53
เพราะในการสู้รบ แม้กระทั่งสงคราม ถ้าฝั่งตรงข้ามไม่มีอาวุธ คุณทำไม่ได้นะ คุณยิงไม่ได้ แต่เมืองไทยทำได้ มันแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและความอำมหิตของทหารที่เป็นพวกจารีตนิยม อำนาจนิยม แบบนี้นี่เอง นี่เป็นความสูญเสียซึ่งยังมีม็อบอยู่ พูดตรง ๆ ว่าแทนที่ม็อบจะเลิก ม็อบยิ่งสู้ ก็เลยมีหีบศพสีแดง ยิ่งฆ่า คนยิ่งสู้
แต่ที่เราเลิกตอนในช่วงวันที่ 19 พ.ค. เพราะเรารู้ว่าในขณะนั้นเขากำลังเดินทางเข้ามายิง ไม่ต้องการให้ประชาชนตายอีกต่อไป เพราะว่าเราสู้กับความโหดร้ายของเขาไม่ได้ เราก็ยอมรับชะตากรรมเอง ซึ่งจริง ๆ มันก็มีกระบวนการว่ามันควรจะยุติเมื่อไหร่ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องซึ่งเรียกว่าเป็นปัญหาที่ว่าภาวะการนำในวิกฤตมันไม่ง่าย มันจะมีเรื่องอะไรเข้ามาสอดแทรกอยู่เสมอ
สรุปได้ว่าการตายวันที่ 10 เมษา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น ครั้งหนึ่งตอน 14 ตุลา ตอนกลางวันมีคนพยายามเอาโลงศพขึ้นไปอยู่บนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วก็มีกลุ่มผู้หญิงที่ออกมาเรียกร้อง อันนี้คือเกี่ยวข้องกับโลงศพกับอนุสาวรีย์นะ (อันนั้นเป็นโลงศพสีดำ) แต่ 10 เมษา เป็นโลงศพสีแดงเพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์อีกเหมือนกันว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็กลายเป็นสัญลักษณ์ในเชิงเป้าหมายว่าทำเพื่อเป้าหมายนี้ จนกระทั่งถึงแก่ชีวิต มันตรงข้าม ไม่ใช่เป็นฉากสำหรับยืนปราศรัย แต่ว่ามันกลายเป็นที่วางชั่วคราวของหีบศพที่มีคนเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น ดังนั้น มันเป็นโศกนาฏกรรมที่แกนนำเสื้อแดงและคนเสื้อแดงลืมไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดภายในระยะเวลาสั้นมาก และในช่วงที่มีการนำอยู่ แต่อาจารย์อยู่ที่ราชประสงค์นะ อาจารย์ไม่ได้อยู่ตรงเวทีนั้น แต่ว่ามาติดตามคลิปโดยตลอด
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นที่วางชั่วคราว ของหีบศพคนเสื้อแดงและนปช.ที่เสียชีวิต |
คือเราพูดในเชิงหลักการ คือคุณทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณเจรจาได้นี่ ทำไมคุณต้องใช้วิธียิง เพราะยังมีแกนนำเขายังควบคุมอยู่ แล้วยังคุยกันอยู่ นอกจากคุณจะตัดสินใจผิดโดยใช้การทหารนำการเมือง แล้วในเสนาธิปัตย์เขาเขียนว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้การเจรจาเพื่อยุติ (คุณไปอ่านดูเลย) การชุมนุม แต่ต้องการใช้การทหารเพื่อยุติการชุมนุม อันนี้เขียนชัดเจนในเสนาธิปัตย์ เพราะในความเป็นจริง อย่าว่าไปถึง 19 พ.ค. วันที่ 10 เมษา มันยังมีการคุยกันอยู่ ฝ่ายรัฐบาลก็เหมือนกัน แล้วในที่สุดณัฐวุฒิก็ต้องคุย แล้วก็ผ่านคุณจาตุรนต์ด้วยคุยกับกอร์ปศักดิ์ ณัฐวุฒิบอกว่าให้เขาหยุดยิงประชาชนได้ไหม คือให้หยุดเลย แต่ณัฐวุฒิก็ไม่รู้ว่าทหารก็เสียชีวิต
แล้วมีประชาชนหลายคนเขามาบอกว่าณัฐวุฒิหยุดทำไม ตอนนั้นพวกนั้นมันเสียไปตั้งเป็นกองพันแล้ว ก็แกนนำเราไม่มีใครคิดจะไปรบกับทหาร แต่เราไม่รู้จริง ๆ จนถึงเดี๋ยวนี้เราก็อยากจะรู้เหมือนกัน แต่ว่าการใช้ระเบิดขว้างมันไม่ยาก แต่ถามว่าในม็อบของเราตรงนี้คือไม่มีความคิด ไม่มีกองกำลังที่เขาบอก 500 คน ไม่มี!
ภาพโลงศพสีแดง ถูกนำมาวางบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังเหตุการณ์เมษาเลือด 53 |
อาจารย์ก็เลยถามว่าถ้าคนมาเป็นแสน ถ้าคิดจะรบด้วยอาวุธ ถามว่าทหารก็เอาไม่อยู่นะ ว่างั้นมั้ย? ถ้าตั้งใจนะ มาเป็นสองสามแสนถ้าจะเอาจริง ๆ เอาไม่อยู่นะ แต่เราไม่ได้คิดจะเอาอย่างนั้น เพราะพูดตรง ๆ เราคิดว่าประชาธิปไตยได้พัฒนามาระดับหนึ่งแล้ว เราเพียงแต่ทำต่อจากที่คณะราษฎรยังทำไม่สำเร็จ แล้วก็ทำต่อ เพราะประเทศไทยไม่ควรจะปิดประเทศแล้วฆ่ากัน
เราไม่สามารถปิดประเทศแล้วฆ่ากันได้ เราจะไม่สามารถทำแบบการต่อสู้ในเวียดนามในอดีต ในลาวในอดีต อันนั้นเขาสู้เพื่อเอกราชและเปลี่ยนประเทศเป็นสังคมนิยม แต่ในขณะที่ประเทศไทยนั้นชัดเจนว่าเราสู้สันติวิธี เพราะมันยังอยู่ในระบอบที่มีความต่อเนื่องที่ต้องการพัฒนาให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริง มันไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องสู้ด้วยอาวุธ แต่ว่าในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมคิดว่าการใช้อาวุธเพื่อปราบปรามเราเป็นสิ่งจำเป็น เขากำลังฆ่าตัวเอง (ในความคิดอาจารย์นะ)
เพราะถ้าสันติวิธีใช้ไม่ได้ ถามว่าอะไรจะเกิดขึ้น? แต่มันต้องพิสูจน์ให้เห็นก่อนว่าสันติวิธีใช้ไม่ได้ ใช้ครั้งที่ 1 ไม่ได้ ใช้ครั้งที่ 2 ไม่ได้ อาจารย์ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง? ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยเป็นผู้เลือกนะ เรื่องต่าง ๆ จากการชุมนุมเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ชุมนุมเป็นผู้เลือกอย่างเดียวนะ ฝ่ายปราบชุมนุมเป็นผู้เลือก ทำให้ผุ้ชุมนุมต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วย มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราอยากจะใช้สันติวิธี แต่ถ้ามันพิสูจน์หลาย ๆ ครั้งเข้า สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลง อาจารย์ทายไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ไปชี้นำใคร แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
แล้วเขาเป็นผู้ทำนะ เมื่อเขาสร้างความอยุติธรรม เมื่อเขาสร้างความรุนแรงในการปราบปรามโดยไม่ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ทำรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า คำถามว่าคุณไม่คิดบ้างหรือว่าจะมาถึงจุด ๆ หนึ่งซึ่งประชาชนทนไม่ได้ แล้วเวลาประชาชนทนไม่ได้ เวลานั้นไม่มีใครรู้ล่วงหน้า อาจารย์บอกได้เลยว่าไม่มีใครรู้ล่วงหน้า มันไม่ใช่เรื่องซ้อมบอลที่จะรู้ล่วงหน้า นัดล่วงหน้านะ เวลาไปประท้วงมันไม่ได้รู้ล่วงหน้าหรอก แต่มันจะสะสม ถ้าเป็นภาษานักลัทธิมาร์กซ์ สะสมจากปริมาณไปสู่คุณภาพใหม่ ไอ้ตอนสะสมเนี่ยไม่รู้ มันปึ๊งเข้าสู่คุณภาพใหม่ตอนไหน ไม่รู้!
#89ปีปฏิวัติสยาม
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์