อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มรดกคณะราษฎร 2475
ตอนที่ 3 : ภาพ 14 ตุลา 16
เป็นการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กองทัพนานเป็นสิบปี
สัมภาษณ์ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ในวาระ 89 ปี 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรปฏิวัติสยาม เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (สัมภาษณ์โดย The 101 world เมื่อ 24 มิ.ย. 63)
----------
ถ้าเราพูดถึงในรูปแบบการชุมนุม
เราชุมนุมเมื่อตอนปี 2551 เราใช้ “สนามหลวง” ไม่ใช่ “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”
ปี
2552 หน้าทำเนียบ ก็ไม่ได้ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเหมือนกัน คือพูดง่าย ๆ ว่า
หน้าทำเนียบเพราะตอนนั้นต้องการไปกดดันรัฐบาล แต่ไม่ได้เข้าไปนะ ไม่มีการเข้าไป
อยู่ข้างนอก ทั้ง ๆ ที่เรายุติการชุมนุมเอง
เพราะว่าตอนนั้นเรามองว่าไม่อยากให้มีการสูญเสีย แล้วแกนนำเหลืออยู่ 3-4 คน
(คุณณัฐวุฒิ, คุณวีระ, คุณหมอเหวง) อาจารย์มองแล้วว่ามันง่าย
อาจารย์ก็คิดว่ามันควรจะยุติ เพราเขาใช้วิธีเป็นคีมหนีบเข้ามา หมายความว่าปี 2552
ก็ไม่ได้ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
แต่เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยไม่ต้องไปอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ถูกฟ้องร้องเช่นกัน
พอปี
2553 แต่ละที่มันก็มีการเคลื่อนจากต่างจังหวัด แต่ว่าของเราในกรุงเทพฯ
เริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ (ที่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว หายไปแล้ว)
เขาเรียกว่ารวมพลกัน เวลามาตั้งเวที เราก็ต้องเวทีตรงวัดราชนัดดา
เดิมมีการปรึกษากันว่าจะตั้งเวทีหันหลังให้สนามหลวงไหม แล้วหันหน้ามาราชดำเนิน
รูปแบบอย่างหนึ่งซึ่งคนประทับใจและอาจารย์เชื่อว่ากปปส.หรือกลุ่มพันธมิตรฯ
ที่เข้าใจอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็คือภาพที่ยิ่งใหญ่ของ 14 ตุลา
แต่อาจารย์ว่า
(ไม่รู้จะย้อนแย้งหรือเปล่านะ)
ประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวที่มักจะใช้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ดูประหนึ่งเป็นเวทีและศูนย์กลางนั้น ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่มีอนุรักษ์นิยมเข้ามาเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยเลย
เช่น 14 ตุลา ที่ขบวนการฝ่ายอนุรักษ์นิยมเข้ามามีการจัดการเต็มที่ เช่น
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พวกแกนนำเดินเข้าเดินออกบ้านคุณชายคึกฤทธิ์
รูปล่าสัตว์ทุ่งใหญ่ ม.ล.รองฤทธิ์ ปราโมช เป็นคนวาด เราต้องยอมรับ 14 ตุลานั้น
มันเป็นการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ดังนั้นมันจึงดูประหนึ่งว่ามันสอดคล้องกันกับสัญลักษณ์ และภาพคนเป็นแสน
เป็นภาพที่สวยงามมากที่สุด
และสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับกองทัพอยู่ยาวนานเป็นสิบ ๆ ปีเลยนะ อย่าง 2519
เขาทำรัฐประหารจริง แต่ว่าคนที่มาเข่นฆ่าไม่ใช่ทหารนะ เป็นตำรวจ
ใช้ตำรวจตระเวนชายแดน ใช้ลูกเสือชาวบ้าน ภาพ 14 ตุลา อาจารย์มีญาติที่เป็นทหาร
คือพวกเขาไม่เคยคิดว่าในชีวิตเขาจะเจออย่างนั้น และทหารรู้ว่าสู้ประชาชนไม่ได้
แต่เขาก็เริ่มเลียนแบบ เริ่มมีการแยกสลาย เอาเด็กอาชีวะออกมา เริ่มทำม็อบของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
เพราะฉะนั้น
ภาพ 14 ตุลา ดูเหมือนเป็นความสำเร็จของการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย
แต่ในทัศนะอาจารย์คิดว่ามันเป็นการที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสามัคคีกับทุกฝ่ายเพื่อที่จะสู้กับเผด็จการทหารซึ่งมีท่าทีว่าจะยึดอำนาจอยู่ยาวนานแบบเดียวกับที่เขาเล่นงานจอมพล
ป. ทั้งที่จอมพล ป. ก็ร่วมมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมในการทำรัฐประหาร 2490
แต่เนื้อแท้ของจอมพล ป. นั้นยังแยกส่วนกับฝ่ายจารีตนิยม ดังนั้นจอมพล ป.
ต้องถูกจัดการ จอมพลถนอมกับจอมพลประภาสก็เหมือนกัน
เพราะงั้นมันดูดีว่านี่ดูเหมือนเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แต่มันไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง
เพราะฉะนั้นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจึงถูกเชิดชูให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แต่ที่มันยิ่งใหญ่เพราะว่ามีฝ่ายอนุรักษ์นิยมเข้ามาร่วมด้วย ต่อมามันจึงเกิด 6
ตุลา ภายในเวลาฉับพลันเลย เพื่อที่จะยื้ออำนาจไม่ให้นักศึกษาฝ่ายก้าวหน้าเติบโต
และเกิดการฆ่ากันตายมากมาย
ดังนั้น
14 ตุลา 16 มันจึงไม่ใช่ภาพชัยชนะที่แท้จริงของฝ่ายประชาธิปไตย (ในทัศนะอาจารย์)
มันเป็นภาพลวงตา แต่ว่ามันยิ่งใหญ่ และมีผลสะเทือนในทางก้าวหน้าพอสมควร
ทีนี้
อย่างที่เราบอกแล้วว่าในฝ่ายนปช. เนื้อหาเราเหมือนกันกับคณะราษฎรแต่ว่าเราไม่ได้เอาอนุสาวรีย์เป็นฉากประจำ
ปี 2553 เราไปชุมนุมตรงผ่านฟ้า (หน้าวัดราชนัดดา) เพราะว่าเราต้องการให้คนมากกว่า
ด้านหนึ่งเป็นราชดำเนินนอก อีกด้านหนึ่งก็เป็นราชดำเนินกลางไปสู่ราชดำเนินใน
เป็นสองส่วนคือให้กินแดนกัน ราชดำเนินนอกก็มีเต็นท์ของคนต่างจังหวัดเต็มไปหมด
ราชดำเนินในไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจนถึงสนามหลวง
แต่ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมันดันเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 10 เมษาอยู่บริเวณนั้น
แต่จริง ๆ แกนนำใหญ่ เวทีใหญ่ ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แต่ว่ากลายเป็นจุดที่เกิดโศกนาฏกรรมเพราะว่าทหารมายึดพื้นที่ตรงถนนดินสอ
ตรงสี่แยกคอกวัว กลายเป็นว่ามันเกิดขึ้นหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
จากนั้นเราก็มีการแยกส่วนไปอยู่ที่ราชประสงค์
จริง ๆ
มันก็เป็นการต่อต้านความเหลื่อมล้ำและชี้ให้เห็นถึงระบบทุนนิยมที่มันขัดแย้งกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
คุณลองคิดดูซิว่าห้างหรู ๆ โรงแรมหรู ๆ
ชาวบ้านก็เขาผ้าขาวม้ามาตากและอยู่กันเต็มไปหมด มันก็เป็นภาพของความขัดแย้ง
แต่จริง ๆ ถ้าเป็นนักวิชาการตอนนั้นทำวิจัยง่ายที่สุดแล้ว
อาจารย์ยังนึกในใจเลยว่านี่ถ้าชั้นไม่มาอยู่อย่างนี้นะ ทำวิจัยแล้ว
ต่อให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม คุณจะไปหายังไงโอ้โหมีคนมาเต็มไปหมดเลย
แล้วเราไม่เคยขัดนะ ในการชุมนุมของเราทั้งที่บริเวณราชดำเนินหรือราชประสงค์
เราไม่มีพื้นที่ลับ ใคร ๆ ก็เข้าไปได้ ใครจะไปทำวิจัย กอ.รมน. จะไปเดิน
ทูตจะไปเดิน ผู้สื่อข่าวจะไปเดิน ได้หมด
เวทีของเราก็จะเป็นเวทีที่สื่อมวลชนกับแกนนำอยู่ในเต็นท์เดียวกัน
มีเชือกกั้นแค่นั้นเองแยกฝั่ง เผื่อเวลาแถลงข่าวหันหน้ามาก็เจอกันพอดี
ดังนั้นไม่มีความลับ เพราะว่าเป้าหมายเราต่อเนื่องจากคณะราษฎรแท้ ๆ
ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ก็คือต้องการระบอบประชาธิปไตย
แต่ว่าเราต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ใช่แบบไทย ๆ ที่ไม่ใช่แบบอำมาตยาธิปไตย
แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้ 100% แต่มันไม่ควรจะ 20% หรือ 10%
แบบที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันได้สัก 70% ก็ยังดี
อย่างรัฐธรรมนูญ
2540 เราก็ได้มาสัก 80% แต่มันก็อยู่ได้ไม่นาน หรือว่า 2489 ของอาจารย์ปรีดี
เราก็ได้มาสัก 70% ตอนนี้ก็กลับไปเหลือ 10% 20% เหมือนเดิมอีก มันถอยหลังยิ่งกว่า
2475 (ฉบับแรกเลยนะ) ด้วยซ้ำ ในทัศนะอาจารย์
ดังนั้น
ระบอบประชาธิปไตยของเราที่เราต้องการ มันจึงทำให้เราไม่จำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้น
เพราะเราเพียงแต่สืบทอดเจตนารมณ์ ทำต่อจาก 2475 จริง ๆ คณะราษฎร 2475 ทำแล้วก็ทำได้ระดับหนึ่ง
เขาไม่แตะเลยคือ “กองทัพ” เพราะพอดีคณะราษฎรคุมกองทัพได้ ไม่ได้แตะอีกอันก็คือ
“อำนาจตุลาการ” อำนาจนิติบัญญัติก็พยายามทำให้วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง 2489
รัฐธรรมนูญนั้นโดนเลย เพราะฉะนั้นนิติบัญญัติกับบริหาร เขาพยายามทำ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
อย่าไปพูดถึงอำนาจตุลาการหรือว่ากองทัพ และตอนนี้มีอำนาจใหม่คือ “องค์กรอิสระ”
ขึ้นมาอีก มันก็กลายเป็นอำนาจ ไม่ใช่นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ
อาจารย์ว่ามันก็เป็นอำนาจองค์กรอิสระกับอำนาจกองทัพ บอกตรง ๆ ก็คือ 5 อำนาจ
มันไม่ใช่ 3 อำนาจแบบเดิม เพราะว่าเขาไม่ขึ้นกับรัฐบาล
ก็แปลว่าเขาก็เป็นอีกอำนาจหนึ่ง
ถามว่าเมื่อก่อนที่มันไม่ได้เป็นอันเดียวกันเพราะว่าคณะราษฎรคุมทหารได้
และคุมทหารได้ยาวนาน อย่าลืมว่าจากเจ้าคุณพหลฯ มาจนถึงจอมพล ป.
ก็ยังอยู่สายเดียวกัน จอมพล ป. มาถึง จอมพล ถนอม กิตติขจร เขาก็ยังเป็นรุ่นน้อง
จอมพล ป. นะว่าไป ดังนั้นมันยังเป็นสายงานของคณะราษฎร แต่เป็นสายทหาร
มันจึงยังไม่ใช่เป็นเนื้อเดียวกัน สนิทกับอนุรักษ์นิยมเสียทีเดียว
จุดเปลี่ยนก็มาตรงจอมพลสฤษดิ์
ซึ่งค่อนข้างเป็นเนื้อเดียวกันกับฝ่ายจารีตนิยมและทำให้ประเทศเป็นจารีตนิยมมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ก็หมายความว่าฝ่ายจารีตนิยมและฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เป็นกลุ่มเครือข่ายต้องการให้กำลังทหารเข้ามาเป็นอันเดียวกัน
อย่างเครือข่ายจะเรียกว่าเป็นเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยหรือเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ก็ตาม
ก็แปลว่าจะเอากองทัพมาอยู่ในเครือข่ายนี้ด้วย นั่นจึงจะทำให้พละกำลังมีมาก
แต่ก่อนหน้านี้มาจนถึงจอมพลถนอม พูดก็พูดเถอะนะ ไม่ว่าเขาจะเป็นเผด็จการก็ตาม
แต่เขาก็ยังเป็นสายที่มาจากสายยุคคณะราษฎรอยู่นะ
จอมพลประภาสเป็นคนที่ใช้อาวุธเล่นงานกับคุณตาของท่านประธานองคมนตรีปัจจุบันด้วยซ้ำ
ก็คือเป็นสายคณะราษฎร
แล้วพอมาหลัง
14 ตุลานะ ทหารก็เริ่มไม่เป็นเอกภาพ มันก็เลยมีการรัฐประหารบ่อยมาก
บางครั้งก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพลเรือน กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
หรือเครือข่ายระบอบอำมาตย์
แต่ว่าความพยายามของเครือข่ายสถาบันและเครือข่ายระบอบอำมาตย์ก็พยายามที่จะสร้างให้เป็นกองทัพที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
ก็จะมีการทำนายได้ว่าใครจะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. หน่วยไหนจะคุมกำลัง ใครจะมาคุมกำลัง
คือพูดง่าย ๆ ว่าอาจจะมีการเตรียมไว้เลยเป็น 3-4 รุ่นเลย
มันกลายเป็นของจำเป็นในการที่จะได้มาซึ่งอำนาจอย่างถาวร
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่อาจารย์คิดว่าเมื่อก่อนในอดีตสมัยคณะราษฎรนั้นยังไม่ได้ลงสู่ประชาชนเต็มที่
ดังนั้น ตราบเท่าที่กองทัพยังอยู่ในมือคณะราษฎร คุณลองคิดดู พอเจ้าคุณพหลฯ ตาย
ถัดมามีรัฐประหารทันที ปี 2490 เพราะพระยาพหลฯ ท่านเป็นนายทหารประชาธิปไตย
ท่านไม่ยอมหรอกที่จะให้มีการทำรัฐประหารและทหารก็ยอมรับท่านมาก
เพราะฉะนั้นการชิงในการควบคุมทหารก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
และนี่คือปัญหาของประเทศไทยที่ทหารไม่ขึ้นกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่ทหารจะต้องเป็นผู้จัดการรัฐบาล
แล้วถามว่าในบางประเทศทหารอาจจะอยู่เหนือกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม
แต่ในประเทศไทยนั้นอาจารย์ว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้พยายามผนึกกำลัง
แล้วก็พยายามจัดการ
มันไม่ใช่ว่าจะได้ทุกครั้งนะ
ถ้าเราดูในยุคหลัง 14 ตุลา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา, คุณทวีป หรืออะไรต่าง
ๆ เหล่านั้น แล้วกระทั่งมียังเติร์ก มันเพิ่งมาเป็นเอกภาพตอนพล.อ.เปรม
มีการชิงอำนาจกันโดยตลอด แล้วหลังจากนั้นก็คือความพยายามของฝ่ายจารีตนิยมที่พยายามจะดึงทหารก็คงเลือกคนที่เด่น
ๆ สมัยก่อนก็เป็นจอมพลสฤษดิ์ ถัดมาก็เป็นพล.อ.เปรม
ดังนั้นมันจึงเกิดความเป็นเอกภาพของกลุ่มจารีตกับทหาร
ในทัศนะของอาจารย์นะ แต่ว่าในบางเวลา (เฉพาะตอน 14 ตุลา)
เนื่องจากทหารยังไม่ขึ้นอยู่กับฝ่ายจารีตนิยม 100%
ยังมีความแตกต่างไม่ลงตัวกันอย่างมาก ซึ่งมีเรื่องรายละเอียดมากมาย
เป็นเรื่องที่เรียกว่ามันจะค่อย ๆ เปิดเผยมาเรื่อย ๆ
#89ปีปฏิวัติสยาม
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์