แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.77
ตอน : การเมืองไทยในปีใหม่ 2565
[การครองอำนาจโดยจารีตอำนาจนิยมถูกท้าทายโดยสถานการณ์ใหม่]
สวัสดีค่ะ
ก็ถือเป็นสวัสดีปีใหม่ที่ในช่วงเวลานี้เป็นต้นเดือนมกราคม 2565
ดิฉันก็ว่างเว้นไปเสียนาน แต่ก็คิดว่ามันก็ต้องได้เวลาทำงานพูดคุยทางการเมืองกับพี่น้องประชาชนแฟนเพจของอ.ธิดาและในเครือข่ายเช่น
ยูดีดีนิวส์ เป็นต้น
ต้องยอมรับว่าปี
2564 เป็นปีที่เลวร้ายมากของประเทศไทยในแง่ว่า
ขบวนการต่อสู้ของภาคประชาชนซึ่งพุ่งถึงจุดสูงในปี 2563 ถูกกระหน่ำด้วยทั้งสถานการณ์โควิดและการใช้กลยุทธ์ของกระบวนการยุติธรรมในการจับกุมคุมขังและไม่ให้ประกันตัวเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคไหน
ๆ
พูดง่าย
ๆ ก็คือ คนยุคก่อนเขาไม่เคยต้องมารบกับเด็ก แล้วเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ที่จะแยกแยะ
ก็คือไม่เอาเรื่องเด็ก ไม่เอาเรื่องเยาวชน มันต้องสำรวจตัวเอง แล้วก็ปรับปรุงตัวเอง
มันเหมือนกับเราเป็นครอบครัวใหญ่ ถามว่าในครอบครัวเล็กหรือครอบครัวใหญ่
คุณเป็นครอบครัวแบบไหนที่คุณจับเด็กไปคุมขัง เอาไปโบยตี แล้วก็ขังอยู่ในห้องน้ำ สมมุติว่าเป็นครอบครัวเล็ก
มันเป็นครอบครัวแบบไหนกัน แสดงว่ามันเป็นครอบครัวที่ผู้ปกครองไม่มีวุฒิภาวะเลย
ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วก็มีเยาวชนที่ต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
กลายเป็นความเหี้ยมโหดอาฆาตมาดร้าย
แต่ดิฉันจะบอกให้ว่าสังคมโลกและสังคมของคนที่มีวุฒิภาวะ
ไม่ว่าเด็กอาจจะก้ำเกินอะไรไปบ้างก็ตาม เขาไม่ถือสา เพราะว่านั่นคือเยาวชน
มีแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลง ต้องการเปลี่ยนแปลง และต้องการสิ่งใหม่ ๆ
ให้เกิดขึ้น มันก็อาจจะมีวูบวาบบ้างในความคิดของคนรุ่นเก่า
แต่ต่อให้เป็นคนอนุรักษ์นิยม/จารีตนิยมขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่พวกสุดโต่ง
ถ้าเป็นพวกวุฒิภาวะก็จะไม่ทำกับเยาวชนเช่นนั้น ดังนั้นภาวะของการที่จะจัดการกับเยาวชนและคนที่คิดต่างจากผู้ครองอำนาจปัจจุบันมันก็ยังดำเนินต่อมาในปีนี้
ดังนั้นดิฉันก็อยากจะพูดในประเด็นที่ว่า
“การเมืองไทยในปีใหม่ 2565”
[การครองอำนาจของจารีตอำนาจนิยมที่ถูกท้าทายโดยสถานการณ์ใหม่]
การถูกท้าทายโดยสถานการณ์ใหม่
แน่นอนก็คือเยาวชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ
แต่ในสถานการณ์ใหม่มันมีสถานการณ์ของโลก
แล้วก็มีสถานการณ์ของสังคมทั้งในประเทศและนอกประเทศ
ซึ่งมันแสดงความเสื่อมของฝ่ายจารีตนิยมปรับตัวไม่ทันกับสถานการณ์โลก
ดิฉันยกตัวอย่างง่าย
ๆ เอาที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
การปกครองโดยจารีตนิยมอำนาจนิยมที่รวมศูนย์อำนาจจากบนลงล่างอย่างเดียว
และเนื่องจากมันเป็นเครือข่ายในระบบอุปถัมภ์
ดังนั้นคนที่อยู่ข้างล่างก็จะไม่พูดความจริงทั้งหมด พูดง่าย ๆ ว่า
หนึ่งก็คือดีครับนาย คือนายดีหมด แล้วก็สถานการณ์ข้างล่างเรียบร้อยครับไม่มีปัญหา
อย่างเช่นกรณี “หมู” ก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นโรคระบาดที่อันตราย ผ่านมาตั้ง 2 ปีกว่า
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาดหมูซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
และที่น่าอับอาย
ยกตัวอย่างเช่น ไปแข่งกีฬาต่างประเทศ
คุณอยู่กันยังไงคุณไม่เปลี่ยนแปลงกฎระเบียบให้เหมือนกับกติกาของโลกสากล
จนกระทั่งนักกีฬาของเราไม่สามารถที่จะให้ประเทศชาติมีความภาคภูมิใจ
“ธงชาติขึ้นไม่ได้” นี่มันคือประจานความชั่วร้าย
การปรับตัวไม่ทันของรัฐจารีตนิยม/อำนาจนิยม เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้
รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมด
แต่เฉพาะหน้าดิฉันพูดเอาเรื่องหมูกับเรื่องที่เกิดขึ้นของกีฬาซึ่งมันชัดเจนในเวลานี้
แน่นอนรวมทั้งการแก้ปัญหาของสถานการณ์โควิด
แล้วก็เรื่องเศรษฐกิจซึ่งขณะนี้
ดิฉันยกตัวอย่างอีกอันก็ได้ ก็คือคุณจะมาเก็บภาษีของคริปโตเคอร์เรนซี
เวลาเขาขายบางทีภายในเดือนเดียว ครั้งหนึ่งได้กำไร อีกครั้งขาดทุน
แล้วคุณจะทำยังไง? คุณเก็บภาษียังไง?
มันก็เหมือนกับย้อนไปในเรื่องภาษีหุ้นของคุณทักษิณที่โดนเล่นงาน
เราไม่มีการเก็บภาษี เราทำเรื่องหุ้นกันมาตั้งกี่สิบปีแล้ว เพราะว่ามันมีขึ้นมีลง
มีกำไร มีขาดทุน ก็เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลอะไรต่าง ๆ ปกติ
อันนี้เอาเร็ว
ๆ 3 ตัวอย่าง ว่าการครองอำนาจของฝ่ายจารีตและอำนาจนิยมนั้น ยังไปไม่ทัน
มันกำลังถูกท้าทายโดยสถานการณ์ใหม่ของโลก
ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กระแสของเสรีประชาธิปไตยมารุ่งพุ่งแรง อีกกระแสหนึ่งก็เป็นกระแสของเผด็จการซ้ายและขวา
แต่กระแสของเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นกระแส โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเยาวชนไทยคนรุ่นใหม่
และกระแสนี้ได้รับการตอบรับกระทั่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ใช่พวกสุดโต่งนะ
คือสุดโต่งนี่ไม่ต้องเอามาพูดกัน
เพราะฉะนั้น
เมื่อมันเป็นกระแส มันเป็นสถานการณ์ใหม่ แล้วรัฐจารีตอำนาจนิยมปรับตัวไม่ทัน
อะไรจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ดิฉันก็ลองดูว่ามันเป็นอะไร แล้วอยากให้ท่านผู้ชม
ท่านผู้ฟัง ได้ติดตามดูใน “นิด้าโพล” ว่าคนมองยังไง?
ใน “นิด้าโพล” เอาเป็นว่าดิฉันค่อนข้างชื่นชมว่าถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าประชาชนไทยเข้าใจ เช่น พูดถึงเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม 46.34% จะวุ่นวายมากขึ้น 34.72% ถ้าเอามาบวกกัน ก็แปลว่า 80% บอกว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวาย เขามองไม่เห็นเลยว่าจารีตนิยม/อำนาจนิยม ซึ่งอยู่ในยุครุ่งเรืองสุด ขณะนี้ต้องถือว่ายุครุ่งเรืองสุดนะ เพราะเขาครองอำนาจทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ครองอำนาจสูงสุด อาจจะเทียบได้กับในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์ ในยุคปี 2500 ซึ่งอยู่ยาวนานมาอีก 15 ปี นี่เป็นยุครุ่งเรืองสุด แต่ประชาชนบอกว่าการเมืองจะวุ่นวาย
ประชาชนมองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนที่ “นิด้าโพล” เรียกชื่อว่า “กลุ่มสามนิ้ว” เขาเชื่อว่าก็จะมีกิจกรรมไปเรื่อย ๆ และอาจจะมากขึ้น อันนี้ซึ่งดิฉันมองว่ามันมากจากความชอบธรรมของผู้บริหาร ความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ แล้วก็ความชอบธรรมหรือเรียกว่าไม่ชอบธรรมเลยก็ได้ ก็คือการดำรงอยู่ของวุฒิสมาชิกที่มาเลือกนายกรัฐมนตรีในรอบต่อไป
ส่วนปัญหาของเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจก็จะแย่ลง 45.73% อีก 34.04% มองว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเหมือนเดิม รวมทั้งหมดแล้วก็ประมาณ 80% นั่นแหละ คือทุกวันนี้ที่อยู่มันไม่ได้ดีนะ แล้วมันมีแต่จะแย่ลงด้วย ครึ่งหนึ่งของประชาชนบอกว่ามันแย่ลง อันนี้เป็นความคิดเห็น ไม่ใช่ว่าตัวดิฉันมาโจมตี และรวมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ก็เหมือนกัน
ดิฉันค่อนข้างชื่นชมว่าประชาชนนั้นคิดได้
คิดเป็น แปลว่าเขาไม่ได้ชื่นชมกับอำนาจนิยม/จารีตนิยม เขามองว่าต่อให้มันเป็นยุครุ่งเรืองสุด
มีอำนาจสูงสุด แต่ควบคุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไม่ได้ นี่คือบทสรุปของประชาชน
ถ้าถามดิฉัน ดิฉันก็คิดแบบนี้แหละ นี่แสดงว่าประชาชนไม่ต้องมีใครมานำ
เขาคิดเองเป็น นี่เป็นความสุขของดิฉัน
ความชื่นใจของเราก็คือมันไม่จำเป็นต้องมีใครมาชี้แนะ แต่ประชาชนคิดเป็นและคิดได้
นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าย่างเข้าปี
2565 ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นเลยว่า ระบอบซึ่งจะเรียกว่า “ระบอบประยุทธ์” ก็ได้
หรือระบอบจารีตอำนาจนิยม จะทำให้ประเทศไทยมีความสงบสุขแล้วแก้ปัญหาประเทศได้
น่าจะมีโพลอย่างอื่นอีกที่ไม่ใช่ซุปเปอร์โพลนะ คือให้เป็นโพลตรงไปตรงมา
ดิฉันยังคิดอยากจะให้ทำอีก แต่ดิฉันเชื่อว่า “นิด้าโพล” เขาก็ไม่ได้มีอิทธิพล ไม่ได้มีว่าฝ่ายค้านจะเข้ามามีอิทธิพล
หรือรัฐบาล เขาน่าจะแคร์รัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้านด้วยซ้ำ อันนี้ก็คือทัศนะประชาชน
ดังนั้น
เมื่อเรามาพูดถึงการเมือง ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ อันนี้ถ้าเป็นการสุ่มที่ถูกต้อง
คิดอย่างนี้ว่า การเมืองจะไม่สงบ เศรษฐกิจก็จะมีปัญหา แล้วด้านสังคม
นี่ไม่ใช่แค่โรคระบาดเชื้อโรคนะ โรคระบาดคนด้วย นี่คือพื้นฐานของการมองประเทศ
ในทัศนะของดิฉัน
การเมืองมันมีสองฝั่ง แน่นอน!
เขาทำให้เหมือนกับว่าถ้าเป็นกาต้มน้ำเขารู้ว่ามันกำลังเดือด ฝั่งประชาชน
ฝั่งพรรคการเมือง เวทีรัฐสภา ก็จะมาตื่นเต้นกับการเลือกตั้ง โอเคมันก็ต้องตื่นเต้น
มันดีกว่าอยู่เฉย ๆ เพราะว่าทำอะไรเขาก็ไม่ได้ เขามีอำนาจสูงสุดตอนนี้
ขยับทางไหนก็ไม่ได้ ฟ้องแหลกลาญเลย ไม่ได้มีความรู้สึกละอายต่อบาปกรรมที่จะทำ
ก็คงจะตื่นเต้นกับการเลือกตั้งระดับหนึ่ง นอกจากการเลือกตั้งซ่อมแล้ว
ก็อาจจะเตรียมสำหรับเลือกผู้ว่าฯ แล้วก็อาจจะมีการเลือกตั้งซ่อม อบจ. อบต.
อะไรต่าง ๆ มากมาย
ดิฉันคิดว่าในทางยุทธศาสตร์ของจารีตอำนาจนิยมก็จะค่อย
ๆ ปล่อยให้เวทีรัฐสภาได้มีการเลือกตั้งเพื่อเป็นการคลายจุดเดือด คือลดจุดเดือด
พร้อมกันนั้นก็ทำให้พรรคฝ่ายค้านมีความหวังมากขึ้น พรรคเก่าแก่ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์,
พรรคเพื่อไทย
มีความหวังมากขึ้นว่าเมื่อมีการเลือกตั้งได้บัตรสองใบนั้นก็แปลว่าอาจจะมีโอกาสได้รับที่นั่งมากยิ่งขึ้น
คล้าย ๆ ว่าเอาอันนี้มาล่อว่าไม่ต้องไปยุ่งกับพวกขบวนการท้องถนนให้มาก
หันมาเวทีรัฐสภา เพราะว่าเวทีรัฐสภาคุณอาจจะชนะก็ได้ มันก็เหมือนจะสร้างความฝันลม
ๆ แล้ง ๆ หรือเปล่า? นี่เป็นเรื่องที่จะต้องคิด
แต่ถามว่าทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น?
ในทัศนะดิฉัน ดิฉันถือว่าการใช้บัตรสองใบครั้งนี้น่าจะหวาดกลัวพรรคใหม่ ๆ มากกว่าพรรคเพื่อไทย
พรรคอนาคตใหม่ก็ยุบไปแล้ว ถ้าจะยุบอีกทีก็อาจจะหาสาเหตุยากขึ้น
แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าหวาดเกรงการเกิดพรรคใหม่ในฝั่งที่ไม่เอารัฐประหาร
ไม่เอาอำนาจนิยม ไม่เอาเผด็จการ ไม่ต้องการให้พรรคนั้นเติบโต
หลายคนถามว่าพวกจารีตอำนาจนิยมไม่กลัวพรรคเพื่อไทยหรือ?
ดิฉันคิดว่า พปชร. เขาใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน อำนาจของกฎหมาย
ทุกอำนาจที่จะทำให้พรรคพปชร. สามารถที่จะทัดเทียม อาจจะไม่เหนือกว่าพรรคเพื่อไทย
แต่ว่าได้คะแนนมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็หาพวกมาร่วมฝูงไม่ยาก
แบบที่ทุกวันนี้เป็นอยู่ เพื่อไทยชนะก็จริง แต่ พปชร. ได้ตั้งเป็นรัฐบาล
เที่ยวหน้าเพื่อไทยอาจจะชนะมากขึ้นอีก แต่ว่าทีมที่จะไปร่วมกับเพื่อไทยเห็น ๆ
ก็อาจจะเป็น ก้าวไกล, เสรีรวมไทย หรือประชาชาติ พรรคเหล่านี้
ในขณะที่พรรคที่จะร่วมกับ พปชร. มีเยอะแยะ
แล้วไปมีกระแสข่าวว่าพปชร.กับเพื่อไทยจะบวกกัน
ดิฉันคิดว่าอันนี้มันเป็นการใส่ไข่เกินไป ดิฉันไม่อยู่พรรคไหน อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่ได้อยู่ตรงกลางนะ ไม่ได้บอกว่าเป็นกลาง แต่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย
ดิฉันก็คิดว่าถ้าจะบอกว่าเพื่อไทยไปรวมพปชร. มันมากเกินไป
แต่เรื่องการแข่งขันกันในระหว่างพรรคอันนั้นก็เอาไว้พูดกันอีกทีหนึ่งก็แล้วกัน
สำหรับในปีใหม่นี้ที่ดิฉันมองก็คล้าย
ๆ กับที่ประชาชนส่วนใหญ่มอง
ก็คือมันจะเกิดความเสื่อมในการปรับตัวของรัฐอำนาจนิยม/จารีตนิยมมากขึ้น
ความเสื่อมนี้อาจจะไม่ได้ทำให้เขาต้องลาออก/ยุบสภาทันที
แต่ดิฉันคิดว่าความเสื่อมในด้านความเชื่อถือศรัทธานั้นมีพลังอย่างยิ่ง
สำคัญกว่าด้วย เขายุบสภาหรือว่าลาออก หรืออะไรก็ตาม
พลังไม่เท่ากับให้เสื่อมถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นดิฉันอยากให้กำลังใจในฝ่ายประชาชนว่า
ปีใหม่นี้ฝ่ายบริหารเขาอาจจะยังอยู่ต่อ เขาไม่ยุบสภา
ประชาชนก็ยังเดินหน้าต่อสู้ทั้งในกระบวนการยุติธรรม ในท้องถนน
และร่วมกับเวทีรัฐสภาในการที่สนับสนุนเวทีรัฐสภาในการต่อกรกับอำนาจของจารีตนิยม/อำนาจนิยมในเวทีรัฐสภา
ในขณะเดียวกันฝั่งพรรคการเมืองก็ต้องช่วยสนับสนุนการต่อสู้นอกรัฐสภาด้วย
ไม่ใช่ “ติ่ง” พรรคทั้งหลายตีกันเอง ตีกันจนเรียกว่ามากมาย
ดิฉันก็คิดว่าเข้าใจนะว่าถ้าคุณเป็น “ติ่งพรรคการเมือง” คุณก็ยังสู้กัน
แต่ถ้าคุณเป็นนักต่อสู้ คุณจะไม่มารบกันเรื่องของพรรคการเมือง
คุณพูดได้โดยเหตุโดยผลว่าพรรคนี้มีปัญหาอะไร ควรจะแก้อะไร พรรคนี้มีปัญหาอะไร
ควรจะแก้อะไร แล้วในการเลือกตั้ง ประชาชนน่าจะคิดอย่างไร คุณพูดได้ทั้งหมด
แต่ว่าถ้าคุณยังเป็นการต่อสู้แบบ “ติ่ง” รบกัน มันแสดงว่าวิญญาณของนักต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศมันอาจจะลดมากหรือไม่มีเลยก็ได้
เพราะไม่ได้แคร์ว่าจะทำอย่างไรให้แนวร่วมการต่อสู้ของประชาชนเติบใหญ่
ดิฉันคิดว่าในสถานการณ์ของปีใหม่นี้
ก็อยากเรียกร้องฝ่ายประชาชนว่า อย่ามัวแต่ทะเลาะกันในฐานะ “ติ่งพรรคการเมือง”
ให้ทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดความเสื่อมทรุดของฝ่ายจารีต/อำนาจนิยมในทางความคิด
ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาระบอบที่เป็นระบอบล้าหลัง
รัฐที่เป็นรัฐที่ล้าหลังให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่มาตีกันเอง
ในขณะเดียวกันก็ต้องชี้ให้เห็นว่าการที่กระทำอย่างอยุติธรรม ในทัศนะดิฉันนะ
ก็คือต่อเยาวชน มันไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสังคมไทยและในสังคมโลก
เพราะฉะนั้นทัศนะของดิฉันมันเป็นยุคที่เขามีอำนาจมากที่สุด
จารีตนิยม/อำนาจนิยม แต่กระทำการอันเลวร้ายที่สุดแบบที่สังคมโลก สังคมไทยไม่เคยทำ
เพราะนี่เป็นการกระทำต่อเยาวชน ต่อเด็ก ต่อคนหนุ่มคนสาว
คุณมีคำขวัญวันเด็กไปเพื่ออะไรที่ต้องมารับผิดชอบต่อสังคม
เพราะว่าคุณยังไม่สามารถรับผิดชอบต่อความเจริญก้าวหน้าและอนาคตของเด็กได้
มีแต่ผู้ใหญ่เรียกร้องเด็ก แต่ที่จริงเด็กเขาเรียกร้องผู้ใหญ่ ฟังหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น
หลายคนก็รู้สึกว่าพวกที่มาจากรัฐประหารครองอำนาจยาวนาน
ดิฉันก็ผ่านช่วงระยะเวลาซึ่งฝ่ายจารีตนิยม/อำนาจนิยมมีอำนาจมายาวนาน
แต่ไม่เคยเห็นการกระทำที่กระทำแล้วน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็คือจัดการกับเด็ก
จัดการกับเยาวชน และไม่ปรับปรุงตัวเอง ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ขายหน้าในสายตาชาวโลก
ไม่ต้องไปพูดเรื่องการเมือง การเมืองคุณไม่ได้มีธงอยู่ในค่ายเสรีประชาธิปไตย
คุณไม่ได้เข้าไปอยู่กับเขา กระทั่งเล่นกีฬา
คุณก็ยังชักธงไทยอวดไม่ได้ทั้งที่นักกีฬาของเราทำได้
เพราะฉะนั้นให้มันเป็นปีของความเสื่อมทรุดของฝ่ายจารีตและอำนาจนิยม
ถึงเขายังสามารถครองอำนาจได้อยู่ แต่เป็นการครองอำนาจซึ่งเสื่อมทรุดลงไปทุกวัน
แล้วอย่าได้สามารถครองอำนาจนำแบบเดิมได้อีกต่อไป
เพราะเรามองระยะยาว
อย่าไปคิดว่าการเอาชนะระยะสั้นด้วยการเลือกตั้งจะทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลง
เราผ่านมามากแล้ว มีอยู่ทางเดียวก็คือว่าจะต้องทำให้อำนาจนำที่ไม่ถูกต้อง
ไม่ชอบธรรมนั้น ได้ปรากฏชัดในสายตาประชาชน
แล้วก็ทำให้เห็นว่าอนาคตประเทศนี้มันจะเดินต่อไปไม่ได้
ถ้าผู้ครองอำนาจยังเป็นฝ่ายจารีตนิยม/อำนาจนิยมแบบสุดโต่งและเรียกว่าไร้สติสัมปชัญญะ
หรือว่าไร้ความรับผิดชอบชั่วดีแบบนี้
ก็หวังว่าฝ่ายประชาชนทั้งหลาย
เราอาจจะไม่มีชัยชนะจริง ๆ ภายในปีนี้ แต่มันเป็นการสะสมชัยชนะ
ก็อวยพรอีกครั้งหนึ่งว่าขอให้ฝ่ายประชาชนนั้นสามัคคีกัน แล้วก็เดินไปข้างหน้า
จับมือด้วยกันโดยไม่ต้องตีกันเองค่ะ
#ธิดาถาวรเศรษฐ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์