วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

“ณัฐวุฒิ” ยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสียใจที่เลือกเส้นทางนี้แม้มีคดีความมากมาย ยืนยัน “มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน”

 


“ณัฐวุฒิ” ยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสียใจที่เลือกเส้นทางนี้แม้มีคดีความมากมาย ยืนยัน “มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน”

 

30 มี.ค. 64 เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม ยูดีดีนิวส์ อาคารเอเวอรี่มอลล์ แยกแคราย นนนทบุรี  “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แถลงข่าวการคืนสู่อิสรภาพ เปิดใจหลังถอดกำไลอีเอ็ม

 

โดยในช่วงแรกของการแถลงเปิดใจ “ณัฐวุฒิ” กล่าวว่า

 

ท่านสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ก็ขอขอบคุณทุกท่านนะครับที่ได้กรุณาแสดงความสนใจแล้วก็ร่วมบันทึกภาพหรือว่าเผยแพร่การแถลงข่าว “คืนสู่อิสรภาพ” ของผมในวันนี้

 

การเข้าไปอยู่ในเรือนจำรอบนี้ของผมนับเป็นครั้งที่ 3 ตลอดชีวิตการต่อสู้สิบกว่าปี ครั้งนี้เป็นคดีแรกที่ถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน อย่างไรก็ตามนะครับผมได้ถูกจำคุกไปแล้วก่อนหน้านี้เป็นเวลา 8 เดือนเศษ เมื่อรวมเข้ากับการได้รับการลดโทษจากการพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมและในเดือนธันวาคม รวมกับการต้องโทษจำคุกรอบนี้ซึ่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำเกือบ 6 เดือน ก็ทำให้เข้าหลักเกณฑ์การพักโทษเป็นกรณีพิเศษ แล้วก็ออกมาติดกำไลอีเอ็มอยู่ในความควบคุมของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2563 จนถึงเมื่อวานนี้ 29 มีนาคม 2564

 

ตลอดเวลา 3 เดือนเศษของการพักโทษ ผมปฏิบัติตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของกรมคุมประพฤติอย่างเคร่งครัด นั่นก็คืออยู่ในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับการกำหนดหากมีกิจธุระจำเป็นสำคัญจะออกนอกพื้นที่ ก็จะทำหนังสือขออนุญาตกับทางกรมคุมประพฤติเป็นรายกรณี ไม่ได้เข้าไปในสถานที่ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์ เช่น บริเวณสนามบิน หรือว่าในอาณาบริเวณของเรือนจำ ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แสดงสัญลักษณ์ใด ๆ ทางการเมือง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

 

รวมทั้งมีการรายงานตัวกับกรมคุมประพฤติเดือนละ 1 ครั้ง เข้ารับการอบรมธรรมะซึ่งดำเนินการโดยกรมคุมประพฤติภายใต้การถ่ายทอด ภายใต้การดูแลกระบวนการของพระคุณเจ้าที่วัดโตนด อ.บางกรวย จ.นนทบุรี นี่ก็เดือนละ 1 ครั้ง ล่าสุดก็เป็นเมื่อวานนี้

 

ที่เล่าความตรงนี้เสียก่อนก็เพื่อให้เป็นที่รับทราบและเข้าใจของสังคมนะครับ ว่าทุกอย่างทั้งขั้นตอนพิจารณาหลักเกณฑ์พักโทษ แล้วก็การออกมาแล้วอยู่ในเงื่อนไขของการพักโทษของผมนั้นเป็นไปตามระเบียบ เป็นไปตามกระบวนการอย่างที่ผู้ต้องขังทุกคนซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ได้รับ แล้วก็แนวปฏิบัติก็เป็นไปดังที่กรมคุมประพฤติกำหนด ไม่ได้มีข้อยกเว้นหรือข้ออภิสิทธิ์อื่นใด

 

จึงขอขอบคุณกระทรวงยุติธรรมนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พณฯ ท่านสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ตั้งแต่กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ รวมกระทั่งผู้คนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อทุกท่านที่ปฏิบัติต่อกันตามระบบระเบียบกติกาเป็นอย่างดี ที่ได้กรุณาดำเนินการในทุกขั้นตอนจนผมออกมาสู่อิสรภาพ แม้จะเป็นบางแง่มุม่ช่วง 3 เดือนกว่าก่อนหน้านี้ และก็สมบูรณ์เมื่อวานนี้

 

อย่างไรก็ตามนะครับ การต่อสู้ทางการเมืองของผมยังมีคดีความอยู่อีกหลายคดี ซึ่งอยู่ในสารบบของกระบวนการยุติธรรม ก็เป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องสู้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นคดีจากการชุมนุมเมื่อปี 2552 จากการชุมนุมเมื่อปี 2553 หรือว่าคดีอื่น ๆ สถานะของผมเวลานี้จึงเป็นสถานะของผู้ถูกจำคุกจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งถือว่าคดีถึงที่สุด ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ได้ ไม่สามารถจะลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือตำแหน่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่น หรือการเมืองรูปแบบใดก็ตามถ้าหากจะมีกติกาเปลี่ยนแปลงจากนี้ในห้วงเวลา 10 ปี ก็ไม่สามารถจะลงสู่สนามในฐานะผู้สมัครได้

 

แต่ในฐานะประชาชน ในฐานะบุคคลหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมก็ขอยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศจุดยืนไว้ตั้งแต่วันแรกของการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไร ผมก็ยืนยันจุดยืนเช่นนั้น จนถึงปัจจุบัน และตราบจนถึงอนาคต

 

ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้แล้วมีคดีความมากมาย

ติดคุกแล้ว 3 ครั้ง แล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะมีครั้งต่อไปหรือไม่? อย่างไร?

ความเจ็บปวดที่ผ่านพบ...ผมรับได้!

ภาระหนักอึ้งที่ต้องแบกรับ...ผมไม่หวั่นไหว!

ภยันตรายใด ๆ ที่เคยเผชิญและหากจะต้องเผชิญอีก...ผมไม่ท้าทาย...แต่ก็ไม่เคยหวาดกลัว!

 

ผมเชื่อมั่นว่าจุดยืนทางการเมืองที่ได้ประกาศต่อประชาชนแล้วยืนหยัดสู้มา

เป็นแนวทางอย่างแท้จริงที่จะทำให้บ้านเมืองนี้เดินไปข้างหน้า

ที่จะทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ที่จะทำให้การแก้ปัญหาทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศเป็นไปได้อย่างแท้จริง

 

ภายใต้หลักการว่า...คนเราเท่าเทียมกัน!

ภายใต้หลักการว่า...อำนาจสุงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน

ภายใต้หลักการว่า...เราไม่มีความจำเป็นจะต้องทำลายล้างใคร ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ให้แตกดับไปจากกัน

 

เพราะในความเป็นจริงประเทศนี้เดินไปข้างหน้าได้โดยคนทุกฝ่าย ทุกความคิด ทุกสถานะอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความแตกต่าง ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความเปลี่ยนแปลง

 

เมื่อได้ยืนยันจุดยืนเดิมทางการเมือง ได้ยืนยันจุดยืนเดิมในการต่อสู้ ผมก็ไม่มีคำแถลงอะไรที่เตรียมการมามากมายไปกว่านี้ เพราะคำว่าจุดยืนเดิมของผม ผมพูด ผมยืนยัน ผมกระทำมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี

 

ที่อยากจะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนอีกเรื่องก็คือ มันไม่มีขบวนการต่อสู้ไหนสมบูรณ์แบบ ในโลกของการต่อสู้มันไม่มีอะไรโรแมนติกชนิดที่เรียกว่าทุกอย่างที่ได้ก้าวย่างบนเส้นทางนี้จะต้องสวยงาม จะต้องถูกอกประทับใจกับคนทุกส่วนทุกอย่าง  ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์จากการต่อสู้ของผม ของเพื่อนมิตรผู้ร่วมอุดมการณ์ ก็ขอมอบสิ่งนั้นเป็นเกียรติยศให้กับประชาชนที่ได้ร่วมต่อสู้กันมา หากมีสิ่งใดซึ่งผู้คนในสังคมเห็นว่าเป็นความผิดพลาด เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เป็นเรื่องที่ท่านอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเสียหาย ผมขอน้อมรับสิ่งนั้นเอาไว้เอง ผมขอให้ความไม่พอใจ ความไม่เข้าใจ หรือถ้าหากจะเป็นความชิงชังเกิดมีขึ้น ผมขอน้อมรับเอาไว้เอง


แต่ผมไม่เคยมีเจตนาที่จะทำให้บุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดความเสียหาย ผมไม่เคยมีเจตนาที่จะทำลายบ้านเมือง ทำลายชีวิต ทรัพย์สินของใครใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกันทางการเมือง! ณัฐวุฒิ กล่าว.


คลิปฉบับเต็มการแถลงข่าว "การคืนสู่อิสรภาพ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ"