วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

ส่งท้ายกับคำตอบของ “เพนกวิน” ที่ทำให้ “ณัฐวุฒิ” ต้องเอามาคิดยาว

 


ส่งท้ายกับคำตอบของ “เพนกวิน” ที่ทำให้ “ณัฐวุฒิ” ต้องเอามาคิดยาว

 

ผมอยากจะส่งท้ายอย่างนี้นะครับ แล้วผมคิดว่าคนหลาย ๆ คนที่อยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับเราก็ควรจะลองคิดเรื่องนี้ด้วยกัน  ผมได้มีโอกาสถาม “เพนกวิน” ในเรือนจำว่า

 

พี่ได้ยินว่าข้างนอก พวกน้องเอาคำปราศรัยของพี่ไปพูดถึง

พี่ได้ยินว่าข้างนอก พวกน้องตะโกนชื่อพี่อยู่หลายเวที...น้องรู้จักพี่ได้ยังไง?

 

“เพนกวิน” บอก เขาเห็นผมตั้งแต่เขาอายุ 11 ขวบ เมื่อราวปี 2553 คำตอบของเขาง่าย ๆ สั้น ๆ แต่มันทำให้ผมต้องเอามาคิดยาว เพราะเมื่อมี 2553 ผมร่วมกับเพื่อนมิตรและพี่น้องประชาชนร่วมอุดมการณ์ต่อสู้ครั้งใหญ่ วันนั้น “เพนกวิน” อายุ 11 – 12 ขวบ เหตุการณ์ผ่านมา 10 ปี ถึงปี 2563 “เพนกวิน” มาเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความติดคุกติดตะรางอยู่จนวันนี้

 

ท่านครับ สิ่งที่ผมต้องคิดว่าก็คือว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้อยู่อีก 10 ปี ถ้าเรื่องราวมันยังคงยุ่งเหยิง ยังหาข้อยุติที่ถูกต้องไม่ได้อีกเป็นเวลา 10 ปี

 

10 ปีข้างหน้า ลูกชายผมจะอายุเท่า “เพนกวิน” วันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่า 10 ปีข้างหน้า ลูกชายผมจะต้องมาเจอกับสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า คนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล คนที่จะต้องพยายามทุกอย่างให้ลูกได้รับอิสรภาพ อาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิน แม่รุ้ง แม่ไมค์ แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผมซึ่งเป็นพ่อของ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ วันนี้!

 

ดังนั้น ผมถึงบอกว่าคนรุ่นเรานี่แหละครับต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโต ก่อนที่เขาจะรู้ความด้วยซ้ำไป ถามหัวใจคนเป็นพ่อ เป็นแม่ ทุกคนเลยครับว่าเรายังปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ได้หรือ? เราจะเข้าคิวการเป็นพ่อแม่ที่ต้องวิ่งประกันตัวลูก ที่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อดูถ่ายทอดสดลูกเดินขบวน ลูกยืนอยู่บนเวที ลูกกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ผมว่าเราก็ยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้!

 

ดังนั้น ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้นะครับ และเราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ไม่มีใครต้องทำลายกันและกันให้พินาศวอดวายกับคนหนุ่มคนสาว

 

เมตตาเถอะครับอย่าอาฆาต

กรุณาเถอะครับอย่าพยาบาท

 

แล้วผมเชื่อว่าบ้านเมืองมันมีทางออก ขอส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชน ไปยังคนหนุ่มสาว ไปยังเยาวชนที่ต่อสู้อยู่เวลานี้ จริง ๆ โดยวัยนับกันยาก แต่พวกเขาก็เรียกผมติดปากว่า “พี่” ก็อยากจะบอกทุกคนนะครับ แม้ว่าผมจะรู้จักเป็นการส่วนตัวน้อยคนมาก ที่ยังอยู่ข้างนอกไม่เคยรู้จักเลยแม้แต่คนเดียว ที่อยู่ข้างในก็ไปรู้จักกันข้างในแทบทั้งหมดนะครับ แต่อยากจะบอกว่า

 

“พี่เต้นยังอยู่ตรงนี้”

“พี่เต้นเคียงข้างเสมอ”

“เป็นกำลังใจ เข้าใจ และเห็นใจ และไม่คิดว่าจะทอดทิ้งกัน” ขอบคุณครับ ณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด.