วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564

"ณัฐวุฒิ" เปิดใจครั้งแรกหลังคืนสู่อิสรภาพ ยืนยันจุดยืนเดิมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พร้อมยืนเคียงข้างนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่

 




ณัฐวุฒิ" เปิดใจครั้งแรกหลังคืนสู่อิสรภาพ ยืนยันจุดยืนเดิมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พร้อมยืนเคียงข้างนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่


วันนี้ (30 มี.ค. 64) ที่ ยูดีดีนิวส์ -UDD news ชั้นใต้ดิน อาคารเอเวอรี่ มอลล์ แยกแคราย นนทบุรี


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ครบกำหนดวันต้องโทษของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" โดยได้ไปรายงานตัวและเข้าอบรมธรรมะอีกครั้ง หลังถอดกำไลอีเอ็ม เมื่อได้รับอิสรภาพคืนมาโดยสมบูรณ์ จึงได้นัดหมายสื่อมวลชนที่ยูดีดีนิวส์ - UDD news ชั้นใต้ดิน อาคารเอเวอรี่มอลล์ แยกแคราย นนทบุรี ขอเปิดใจครั้งแรก ภายใต้สโลแกน "มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน"


โดยกล่าวขอบคุณ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และกรมคุมประพฤติ ตลอดช่วงที่ถูกคุมประพฤติตนก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนตัวขณะนี้ยังมีคดีความที่ต้องต่อสู้ ซึ่งเป็นผลพวงจากการเคลื่อนไหวในปี 2552 และ 2553 อีกหลายคดี แม้สถานะของตนยังเป็นผู้ต้องคำพิพากษาศาลฎีกา ทำให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี แต่ในฐานะประชาชนยังยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย


นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ผมไม่รู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้และมีคดีความมากมาย ติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง และไม่แน่ใจว่าจะมีอีกกี่ครั้ง ความเจ็บปวดผมรับได้ ภาระที่ต้องแบกรับไม่หวั่นไหว และขอย้ำจุดยืนคืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ภายใต้หลักการ "คนเราเท่าเทียมกัน"


ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 4 เม.ย. นี้ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยแนวทางการเมืองกับนายจตุพร แต่เห็นว่านายจตุพรและหลายคนที่ออกมาเคลื่อนไหวก็มีศักยภาพอยู่แล้ว ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นอดีตแกนนำนปช. ยังไม่มีแนวคิดเคลื่อนไหว นำมวลชนคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่ หรือชุมนุมร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ในขณะนี้


ในประเด็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนไม่อยู่ในสถานะที่จะประเมินการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตและอิสรภาพของคนรุ่นใหม่ได้ เพราะเมื่อแกนนำตัดสินใจที่จะกล้าออกมาต่อสู้ ทุกคนก็ถือว่าอยู่ในสถานะเดียวกันกับตน มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่ขอแสดงตัวที่จะยืนเคียงข้างนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ ซึ่งที่ผ่านมาได้พบกับแกนนำที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ก็ได้พูดคุยแสดงความห่วงใจและเอาใจช่วย เชื่อว่าการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่เป็นพลังบริสุทธิ์ที่ต้องการเห็นประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ถูกล้างสมองหรือชักจูงโดยใคร


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า อนาคตของประเทศจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าอนาคตของชาติยังอยู่ในห้องขัง สิ่งที่เกิดขึ้นที่คนรุ่นใหม่ออกมาต่อสู้เป็นผลพวงและสิ่งที่คนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ ถ้าประเทศดี เด็กเหล่านี้ต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่ใช่ห้องขัง ดังนั้นต้องเอาเขาออกจากห้องขัง โดยคนที่เกี่ยวข้องจะต้องมานั่งหารือ ทำความเข้าใจ พูดคุยถึงปัญหาที่แท้จริงด้วยบรรยากาศของความปรารถนาดีต่อกันและกัน


ขณะที่ช่วงหนึ่งของการแถลง นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวถึงเรื่องราวบทสนทนากับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ที่พบขณะอยู่ในเรือนจำตอนหนึ่งว่า "ผมได้ถามเพนกวินในเรือนจำว่า น้องรู้จักพี่ได้ยังไง เพนกวินบอกว่าเขารู้จักผมตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ตั้งแต่ปี 2553 คำตอบของเขาสั้น ๆ แต่ทำให้ผมคิดยาว เพราะปี 2553 ผมได้ร่วมต่อสู้ครั้งใหญ่ เพนกวินอายุ 11 ขวบ เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมา 10 ปี ถึงปี 2563 เพนกวินเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความและติดคุกอยู่ในเวลานี้


สิ่งที่ผมคิดยาวคือ ถ้าเรื่องราวยังยุ่งเหยิง ยังหาข้อยุติไม่ได้ อีก 10 ปี ลูกชายผมจะอายุเท่าเพนกวินวันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่าอีก 10 ปี ลูกชายผมต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่าคนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล พยายามให้ลูกต้องได้รับอิสรภาพอาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิน แม่ไมค์ แม่รุ้ง แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผม พ่อของ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ วันนี้ก็ได้


"ผมถึงบอกว่าคนรุ่นเรานี่แหละที่ต้องรับผิดขอบ! ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโต ก่อนที่เขาจะรู้ความด้วยซ้ำไป ถามหัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนว่าเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้หรือ เราจะเข้าคิวรอการเป็นพ่อแม่ที่ต้องวิ่งประกันตัวลูก ที่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นลูกต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ผมว่าเรายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้!


ดังนั้น ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ เราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้โดยไม่ต้องทำร้ายกันและกันกับคนหนุ่มคนสาว เมตตาเถอะครับ อย่าอาฆาต พยายามเถอะครับ อย่าพยาบาท และผมเชื่อว่าบ้านเมืองมันมีทางออก ขอส่งความปรารถนาดี ๆ ไปถึงประชาชนคนหนุ่มสาว ไปยังเยาวชนที่ต่อสู้อยู่เวลานี้


จริง ๆ โดยวัยนับกันยาก แต่พวกเขาเรียกผมติดปากว่า "พี่" แม้ว่าจะรู้จักเป็นการส่วนตัวน้อยคนมาก ที่ยังอยู่ข้างนอกไม่เคยรู้จักแม้แต่คนเดียว ที่อยู่ข้างในก็ไปรู้จักกันข้างในแทบจะทั้งหมด แต่อยากจะบอกว่า 

"พี่เต้นยังอยู่ตรงนี้ พี่เต้นเคียงข้างเสมอ เข้าใจและเห็นใจ และไม่คิดว่าจะทอดทิ้งกัน" นายณัฐวุฒิกล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์