วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

คณะจุฬาฯ จุดเทียนตามหาความยุติธรรม นิสิต-น.ศ.-อาจารย์ อ่านกวี อย่าละทิ้งความฝัน จงอยู่อย่างมีความหวัง ยิ่งมืด ยิ่งต้องส่องไฟ อยู่ในที่ปิด ยิ่งต้องช่วยส่งเสียง มวลชนมอบดอกไม้กำลังใจ แม่แพนกวิน - แม่ไผ่

 


คณะจุฬาฯ  จุดเทียนตามหาความยุติธรรม นิสิต-น.ศ.-อาจารย์ อ่านกวี อย่าละทิ้งความฝัน จงอยู่อย่างมีความหวัง ยิ่งมืด ยิ่งต้องส่องไฟ อยู่ในที่ปิด ยิ่งต้องช่วยส่งเสียง มวลชนมอบดอกไม้กำลังใจ แม่แพนกวิน - แม่ไผ่


วันนี้ (10 มี.ค. 64) เวลา 17.00 น. ที่ ลานจักรพงษ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะจุฬาร่วมกับองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และ สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย I Student Council of Chulalongkorn University

ร่วมกับกลุ่มราษฎร จัดกิจกรรม "10มีนาจุดเทียนตามหาความยุติธรรม" โดยร่วมกันจุดเทียนและวางดอกไม้ ไว้อาลัยให้กระบวนการยุติธรรมไทยที่บิดเบี้ยวและไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชน และเพื่อระลึกถึงบุคคลที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ


อาธิ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒกุล หรือรุ้ง กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง, นายจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ หัวหน้าการ์ดกลุ่ม We Volunteer หรือวีโว่ เป็นต้น 


โดยบรรยากาศเริ่มตั้งแต่ 16.30 น. มีประชาชนแต่งกายชุดดำมาพร้อมเทียนและดอกไม้ทยอยเข้าร่วมจำนวนมาก แต่ขณะที่กำลังจะเริ่มทำกิจกรรมได้มีฝนตกลงมา กลุ่มผู้จัดกิจกรรมจึงประกาศให้ผู้มาร่วมกิจกรรมเข้ามาหลบฝนและทำกิจกรรมภายในศาลาข้าง ๆ ลาน ซึ่งมีการแจกเทียนสีชมพู ขาว และเหลือง สำหรับใช้ทำกิจกรรม


ต่อมา 17.25 น. กิจกรรมเริ่มด้วยการกล่าวปราศรัยโดยองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) และอาจารย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง และไม่เห็นด้วยกับการถูกคุมขังโดยไม่ได้รับการประกันตัวจากมาตรา 112


จากนั้นได้มีการเล่นดนตรี โดยอาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ สลับกับการอ่านบทกวี ของ นิสิต นักศึกษา และอาจารย์


ต่อมา นิ้ง กลุ่มนักเรียนเลว กล่าวว่า พี่น้องอาจถูกขังอย่างไม่เป็นธรรม เราอาจถามตัวเองว่า บนเส้นทางอันยาวไกลนี้ เมื่อไหร่เราจะชนะ เมื่่อไหร่เราจะได้ประชาธิปไตย แต่จงอย่าละทิ้งความหวัง เรามากันไกลมาก นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา ลุงป้าเสื้อแดง หรือแม้แต่จากปีที่แล้ว พวกเราเดินทางมาไกลมาก วันนี้มวลชนทั้งหลายได้ตื่นขึ้น แม้เขาจะดูเหน็ดเหนื่อย หรือสิ้นหวัง


โดยก่อนจบ นิ้ง ได้ฝากบทกลอนที่เพื่อนของตนได้แต่งไว้ ความตอนหนึ่งว่า


“แม้จันทราจะลาลับแล้ว แม้ดวงแก้วจะแตกระเหิน แม้ความฝันจะอยู่ห่างไกลเกิน ก็จะเดินตามไปใจมั่นคง”


ต่อมา นิสิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ่านบทกวี "Still I Rise" ของ มายา แองเจลู สตรีผิวดำชาวอเมริกัน  โดยอ่านทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยที่แปลโดยนักศึกษาไม่ประสงค์ออกนาม ความตอนหนึ่งว่า


คุณอาจฆ่าฉันด้วยถ้อยคำ

ฆ่าด้วยความแค้นเคียดและเกลียดชัง

ประกาศคำเท็จขมระทมหมอง

แต่ดั่งละอองธุลี ฉันจะลอย

ค้อมหัวหายหลุบตาหงอท้อถอย

แผ่วเสียงเศร้าสร้อยสิ้นภินท์พัง

เชือดซ้ำด้วยสองตาคลั่ง

แต่ดั่งอากาศฉันจะลอย


จากนั้น เคท ครั้งพิบูลย์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่ของอาจารย์ที่ต้องมาประกันตัว แต่เราเผชิญความไม่เท่ากันในทุกหย่อมหญ้า ก็คิดว่าน่าจะมีอะไรที่ทำได้มากกว่าไปประกันตัว ซึ่งเขาถูกลิดรอนเสรีภาพ หลังจากเข้าคุก สิ่งนี้ไม่อาจเรียกว่าความยุติธรรมได้ แต่เป็นความมืดดำที่สังคมพยายามยัดเยียดให้เขา ตั้งแต่สอนหนังสือมา ไม่เคยมีช่วงไหนที่รู้สึกหดหู่ใจที่ไม่ได้ประกันตัว แต่การที่คุณจับ 1 คนไป เขามีพี่ แม่ พ่อ มีประชาชน เพื่อน ๆ ที่อยู่ข้างเขา แต่นั่นไม่เป็นธรรมที่จะจับเขาไปเพื่อไม่ให้แสดงออกทางด้านความคิด


“ขอเป็นกำลังใจให้กับแม่ของลูกที่ทำหน้าที่ ทำภารกิจเพื่อนำสังคม ด้วยการเป็นปัญญาชน หากเรามุ่งหวังเห็นเพื่อน ๆ เรากลับมา นี่คือโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่า การทวงความยุติธรรม คือหน้าที่ของเรา ปล่อยเพื่อนเรา คืนความยุติธรรมให้กับมนุษย์ทุกคน” อ.เคท กล่าว


ขณะที่ ผศ.ดร.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า อยู่จุฬามาหลายปี ไม่เคยเห็นการเคลื่อนไหวที่เข้มเแข็งขนาดนี้

.

เพนกวินมีต้นทุนทางสังคม มีต้นทุนชีวิตที่ดี แต่เขาเลือกสู้ต่อ เป็นหนึ่งในนักสู้ หลายวันที่ผ่านมาได้เห็นแม่เพนกวิน เดินกับพวกเขา จึงไม่แปลกใจที่เพนกวินเป็นนักสู้แบบนี้ เพราะคุณแม่ก็เป็นนักสู้ที่เข้มแข็งเช่นกัน


การต่อสู้ใช้เวลา มีการใช้อำนาจ ใช้พรรคพวก จึงเรียกร้องให้ทุกคนใช้ความอดทนในการต่อสู้ อยู่ในที่มืด เราต้องยิ่งส่องไฟ เราอยู่ในที่ปิด ยิ่งต้องช่วยกันส่งเสียง ยิ่งมืดมิดเท่าไหร่ ยิ่งต้องส่องสว่างจากข้างในมากเท่านั้น


อาวุธที่ผู้มีอำนาจกลัวที่สุด คือความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ ขอช่วยกันนำพาสังคมไปข้างหน้า เมื่อคนเราตื่นจากการหลับฝัน แม้ถูกปิดทุกทาง แต่เราจะไม่ยอมหลอกตัวเองด้วยการหลับตาลงได้อีก สิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุด คือให้ความเงียบส่งเสียง” ผศ.ดร.อรรถพล กล่าว


จากนั้น เชิญชวนให้ผู้ร่วมกิจกรรมทำการยืน-นั่งเงียบ เป็นเวลา 1 นาที


ต่อมา "มายมินท์" จากคณะจุฬาฯ ปราศรัยถึงบทสนทนาที่คุยกับรุ้งปนัสยาว่า ก่อนวันที่รุ้งจะถูกคุมขัง ได้คุยกันเหมือนว่าวันต่อไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น รุ้งยังได้บอกว่าหลังเสร็จจากศาลจะไปเที่ยวกัน แม้จะติดขัดบ้าง แต่งานวันนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเราไม่คิดว่าเพื่อนจะถูกจับถูกขังจริง ๆ เกือบปีที่สู้กันมาได้พบเพื่อนหลาย ๆ คน การต่อสู้ของธรรมศาสตร์ดูเข้มแข็งและเป็นอย่างนี้เสมอมา อยากบอกว่าแม้วันนี้จุฬาจะทำอะไรไม่ได้มากแต่ยังเป็นกำลังใจให้เสมอ จะสู้ไปด้วยกันจนกว่าประเทศนี้จะสู้มีประชาธิปไตย จากนั้นมายมินท์อ่านกวีหมดจิตหมดใจจะใฝ่ฝันและทิ้งท้ายการปราศรัยว่า เราจะสู้ต่อไปจนกว่าฟ้าจะมีดาว


และต่อจากนั้น "นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์" มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน 1 ใน 4 แกนนำราษฎร ซึ่งถูกคุมขังในความผิดมาตรา 112 และมาตรา 116 ตั้งแต่ 9 กุมภาพันธ์ 2564  เปิดเผยความรู้สึกในครั้งนี้ว่า ..


“ ทุกวันนี้ มองไปบนท้องฟ้า ไม่เห็นดวงดาว เพราะดวงดาวอยู่ในคุก เขาเหนื่อยกว่าเรามาก เขาเข้มแข็งรอออกมาต่อสู้ แม่เคยถามว่า เขาจะทำเพื่ออะไร แต่เพนกวินบอกว่า ประเทศนี้คือบ้านเกิดของเพนกวิน เพนกวินต้องทำเพื่อประเทศไทย 


แม่ของเพนกวิน กล่าวต่อไปว่า อยากมาให้กำลังใจคนที่มาวันนี้ คนที่อยู่ในเรือนจำทุกคนเสียสละและไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะสำเร็จในรุ่นนี้หรือไม่ ก็อาจจะเป็นประโยชน์กับคนรุ่นต่อไป หลายคนถามว่าเพนกวิ้นเป็นไงบ้าง ต้องบอกว่าหัวใจของเพนกวิ้นเข้มแข็งกว่าแม่มาก ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่แม่ต้องทำหน้าที่แม่ ต้องออกมายืนข้างลูก เพนกวิ้นมองโลกในแง่ดีไปหน่อยว่าเขาจะไม่โดนขังเลยไม่ให้แม่ไปวันที่ขึ้นศาล แม่รู้สึกผิดมากที่ไม่ได้อยู่กับลูกในวันนั้น ก่อนหน้านี้แม่เคยบอกว่าที่เพนกวิ้นทำอยู่ไม่ต้องทำแล้วเพราะทำยังไงก็ไม่ดีขึ้น แต่เพนกวิ้นบอกว่าไม่ได้เพราะนี่คือประเทศของเขา แล้วถ้าเกิดมาไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น ก็จะเสียชาติเกิด ซึ่งวันนี้เพนกวิ้นก็ได้ทำแล้ว


ด้านแม่ของไผ่ จตุภัทร์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมจัดงานนี้ขึ้น และขอขอบคุณทุกคนที่ไม่ลืมไผ่กับคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือนจำ คิดว่าไผ่คงไม่โดดเดี่ยว เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ ในฐานะนักกฎหมายเราไม่ควรนิ่งเฉยและเคยชินกับการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะเลือกฝักฝ่าย ที่ฝ่ายเห็นต่างจากผู้มีอำนาจจะถูกกระทำด้วยกฎหมายทุกข้อไม่เว้นแม้พ.ร.บ.ความสะอาดหรือเครื่องเสียง ตั้งแต่ปี 2557 ความยุติธรรมไม่มีเลย มันไม่ใช่สองมาตรฐานแต่มันไม่มีมาตรฐาน เราต้องการการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย 


จากนั้นมวลชน รวมทั้ง นิสิต นักศึกษา ต่อแถวนำดอกกุหลาบ มอบให้ แม่ของแพนกวิน และแม่ของไผ่ พร้อมทั้งสวมกอดและกล่าวให้กำลังใจ 


ต่อมาผู้จัดกิจกรรมเชิญชวน ผู้ร่วมกิจกรรมร่วมกันจุดเทียนไว้อาลัยให้กระบวนการยุติธรรม และได้นำประมวลกฎหมายอาญามาเผาเพื่อประท้วงมาตรา 112 และชวนทุกคนร่วมกันยืนสงบนิ่ง 1 นาที 12 วินาที แล้วตะโกนศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎรจงเจริญ พร้อมกัน 3 ครั้ง ก่อนประกาศยุติกิจกรรม ในเวลา 19.20 น. 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คณะจุฬาฯ #ราษฎร #TheRatsadon #10มีนาจุดเทียนตามหาความยุติธรรม


ประมวลภาพ