วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

"ณัฐวุฒิ" ประเมินความเคลื่อนไหวของนักศึกษาเยาวชนขณะนี้

 


ประเมินความเคลื่อนไหวของนักศึกษาเยาวชนขณะนี้

 

“ณัฐวุฒิ” ได้กล่าวว่า ผมคงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่าความเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนเวลานี้จะไปได้ไกลแค่ไหน? หรือไม่? เพราะว่าเมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีของการต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิต อิสรภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับผมนั่นแหละครับ ถ้าผมเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง พวกเขาก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายคนที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของการต่อสู้เท่าเทียมกัน

 

ผมเคารพในความเคลื่อนไหว เคารพในความคิดเห็นของพวกเขา และผมก็คิดว่าผมคงไม่แน่พอที่จะมานั่งประเมินสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยชีวิต ด้วยอิสรภาพ ด้วยสิ่งที่ต้องเผชิญและแบกรับนานัปการ

 

ถ้าผมจะพูดได้ผมก็จะพูดเพียงว่าภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของผมและก็ของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาจนวันนี้ ผมขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบัน (เสียงปรบมือ) พร้อมกันนั้นผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหา บิดเบือน ให้ร้ายป้ายสี ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการโค่นล้มทำลายสถาบัน

 

จุดยืนทางการเมืองของผม ของเพื่อนมิตรที่สู้กันมา เด่นชัดมาตลอด แต่เมื่อในวันที่คนหนุ่มสาว เมื่อในวันที่พี่น้องประชาชนออกมาสู้ แล้วกำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้

 

ผมมีท่าทีอย่างอื่นไม่ได้!

ผมแสดงจุดยืนอย่างอื่นไม่ได้!

ผมต้องยืนเคียงข้างพวกเขา!

ผมต้องยืนเคียงข้างประชาชน! (เสียงปรบมือ)

 

ผมมีโอกาสได้พบกับพวกเขาหลายคนขณะที่ผมอยู่ในเรือนจำ แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เพราะผมเข้าไปก่อน บางช่วงเวลาก็อยู่นอกเงื่อนไขการกักโรค จึงได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้ต้องขังทั่วไปในแดน 2 แต่น้อง ๆ ช่วงเวลานั้นเข้าไปอยู่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึง 14 วัน ดังนั้น พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากอยู่ในเรือนนอนตามมาตรการกักโรคของทางเรือนจำ

 

อย่างไรก็ดี ก็มีช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่เบิกตัวพวกเขาออกมาเพื่อพบทนายความ เพื่อพบผู้หลักผู้ใหญ่ของรัฐบาล ของกรมราชทัณฑ์ ที่เข้าไปพูดคุย เข้าไปดูแลความเป็นอยู่ แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยกันสั้น ๆ แต่ว่าผมคิดว่าผมห่วงใยพวกเขา ผมคิดว่าผมเป็นห่วงพวกเขา

 

ทุกเช้าเมื่อผมออกจากเรือนนอนแล้วเดินผ่านห้องที่พวกเขาถูกจำขังอยู่ ผมต้องชะโงกหน้าไปเรียกพวกเขาทุกครั้ง เพราะผมเป็นห่วงว่าน้อง ๆ เขาไม่เคยถูกขัง มาอยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร? ปลอดภัยหรือไม่? ขนาดไหน?

 

ผมได้เห็นพวกเขาคุยกันเอง ผมได้เห็นเวลาเขากิน ผมได้เห็นเวลาเขานอนหลับ ไม่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นนักต่อสู้ เป็นนักปฏิวัติ หรือประกาศตัวเป็นผู้กล้าหาญใด ๆ ก็ตาม แต่จากสายตาที่ผมเห็น จากเนื้อชีวิตที่ผมได้สัมผัส จากประสบการณ์ที่ผมผ่านพบชีวิตมาจนเป็นพ่อคน สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังผมไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธผมไม่ได้ คือพวกเขายังเป็นเด็ก บางคนถ้าผมมีลูกเร็วตอนอายุ 24-25 พวกเขาเป็นลูกผม

 

ดังนั้น ผมรู้ดีว่าอิสรภาพของผมเปราะบาง แล้วการแสดงจุดยืนหรือการพูดเรื่องราวเหล่านี้ก็อาจจะทำให้ความเปราะบางนั้นเปราะบางไปอีก แต่ผมไม่คิดจะมีทางเลือกอื่น ผมคิดว่าประเทศนี้ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงามได้เลยตราบเท่าที่ “อนาคตของชาติ” ยังอยู่ใน “กรงขัง” เราไม่สามารถจะกล่าวอ้างอธิบายใด ๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ทำเพื่อลูกหลาน

 

ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขัง...ยังไม่ได้กินข้าว!

ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขัง...ร้องห่มร้องไห้ หวาดกลัวความตาย และโหยหาอิสรภาพ!

 

ในความเคลื่อนไหวของพวกเขา ไม่ว่าจะแนวคิดหรือแนวทางการต่อสู้ มีทั้งส่วนที่ผมเห็นด้วยและมีทั้งส่วนที่ผมห่วงใย แต่ในความเป็นคนหนุ่มสาวของพวกเขา ในความเป็นพลังบริสุทธิ์ของพวกเขา ผมมีแต่ความรู้สึกรัก ห่วงใย เอาใจช่วยเพียงอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกอื่น

 

ผมเป็นของผมแบบนี้ และผมเชื่อว่าสังคมนี้ เราไม่ควรจะมองเห็นชีวิตและอิสรภาพของคนหนุ่มสาวที่กำลังถูกกระทำเป็นชัยชนะ เป็นความสะใจ เป็นเรื่องที่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้ เพียงเพราะเขายืนอยู่คนละฝ่ายกับอำนาจ หรือเขายืนอยู่คนละฝ่ายความคิดกับคนบางกลุ่มเท่านั้น

 

บางคนบอกว่าเมื่อเด็ก ๆ ทำผิด เด็ก ๆ ก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อละเมิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ผมอยากจะถามว่าท่านคิดอย่างนั้นกันจริงหรือเปล่า? เพราะสำหรับผม ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราสู้กันมา 10 กว่าปี แล้วจนถึงวันนี้การต่อสู้นี้ก็ยังคงอยู่ แล้วคนรุ่นลูก รุ่นหลาน ออกมาสู้วันนี้ ถูกดำเนินคดี ถูกกระทำต่าง ๆ นานามากมาย โดยเราทั้งหลายบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป ในหัวใจปฏิเสธ ในหัวใจผมกำลังบอกตัวเองว่า “คนรุ่นเราต่างหากต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำกันลงไป แล้วทำให้พวกเขาต้องออกมาสู้กันในวันนี้” (เสียงปรบมือ)

 

ถ้าบ้านเมืองมันเดินไปตามวิถีทางที่ถูกต้องจริง ถ้าบ้านเมืองมันปกครองในระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ไม่มีอำนาจนอกระบบมาแทรกแซง ไม่มีเผด็จการรัฐประหารเข้ามายึดกุมประเทศ ไม่มีกติกากดขี่เช่นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “เด็กพวกนี้ต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่ได้อยู่ในห้องขัง” เด็กพวกนี้ต้องใช้สติปัญญาใช้วิชาความรู้ของตัวเองนำพาตัวเองให้เข้มแข็งเพื่อเป็นอนาคตเป็นความหวังของคนทั้งชาติ

 

ดังนั้น ผมคิดว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ชะตากรรมของคนหนุ่มคนสาวที่เกิดขึ้น คนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ เอาเด็กออกจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ เรามาแก้ปัญหากันด้วยเหตุด้วยผล เรามาแก้ปัญหากันด้วยความจริง เรามาแก้ปัญหากันด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและปรารถนาดีต่อกันและกันอย่างแท้จริง!

 

ถ้าเปรียบประเทศเป็นบ้าน คนรุ่นพวกเราเป็นพ่อแม่ คนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบันเขาเป็นลูก พ่อแม่มีปัญหาทะเลาะกันมา 10 กว่าปี จนวันหนึ่งลูกโตขึ้นแล้วลูกลุกขึ้นตะโกนขึ้นกลางบ้าน สิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทำคือตั้งใจฟังเขา พยายามที่จะแก้ไขปัญหาให้เขา หรือแก้ไขปัญหาร่วมกับเขา ไม่ใช่เอาเขาไปขัง!

 

ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นสัญญาณที่ถูกส่งตรงมาจากคนที่กำลังจะเติบโตมารับผิดชอบบ้านเมืองต่อไป เขาตอบเราแล้วว่าเขาไม่ยอมรับสังคมที่เป็นมา เขาตอบแล้วว่าเขาอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริงของสถานการณ์ แล้วผมคิดว่าใครก็ตามในบ้านเมืองนี้ไม่ควรเกรงกลัวหรือปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง

 

ในโลกใบนี้ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแน่นอนที่สุด วิทยาการองค์ความรู้ต่าง ๆ ทำให้มนุษย์สามารถจะสำรวจทุกอย่างทั้งในสุริยะจักรวาล ทั้งเรื่องบนดิน ใต้ดิน ทุกเรื่อง มนุษย์สามารถที่จะเข้าถึงและสำรวจได้ แล้วมนุษย์ก็พบว่าไม่มีเรื่องใดเลยที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ เมื่อพลังของการเปลี่ยนแปลงส่งสัญญาณมาชัดขนาดนี้ กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจ กลายเป็นว่ารัฐ ได้ทุ่มเทใช้กำลัง ใช้กฎหมาย ใช้ทรัพยากร ใช้ความรุนแรง ใช้ทุกอย่างเพื่อพยายามควบคุม ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เป็นจริงควรจะพยายามเข้าใจมันต่างหาก

และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปล้างสมอง ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของคนหนุ่มคนสาวในวันนี้ จนถึงขั้นทำให้เขาสามารถจะเคลื่อนไหว สามารถจะทำอะไรก็ตาม ตามแต่คนที่ล้างสมองปรารถนา ผมไม่เชื่อ!

 

ผมมีวิธีคิดของผมง่าย ๆ โลกยุคปัจจุบันแม้แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ใช่จะจูงใจลูกได้ง่าย ๆ เขาเติบโตในวันเวลาของเขา เขาเติบโตในโลกอีกใบของเขา ดังนั้น ผมว่าเราอยู่กันได้ด้วยความจริง แล้วเราจำเป็นต้องยอมรับความจริงก่อนที่ทุกอย่างมันจะเสียหายเลวร้ายไปมากกว่านี้ ว่านี่คือพลังบริสุทธิ์ที่เขาสะท้อนออกมา

 

นอกเหนือจากเรื่องหลักการ นอกเหนือจากเรื่องชะตากรรมของคนหนุ่มสาวที่ผมได้ประสบพบเจอบ้างแล้วนั้น อีกเหตุผลสำคัญที่ผมต้องประกาศจุดยืนเคียงข้างพวกเขาก็คือ ในนามของความเป็นมนุษย์ ผมเป็นคนเสื้อแดง ผมเป็นมา 10 กว่าปี จนบัดนี้ก็ยังเป็น และผมเชื่อว่าทั้งชีวิตผมก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือเป็นเรื่องเสียหายที่จะเป็น “คนเสื้อแดง” (เสียงปรบมือ)

 

ผมต่อสู้ร่วมกับพี่น้องร่วมอุดมการณ์มา 10 กว่าปี เราเป็นคนที่ถูกยิงทิ้งเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราถูกจำขัง ถูกไล่ล่า ถูกเขาเหยียบย่ำ แบกรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามต่าง ๆ มากมาย เราถูกยิงตายกลางถนนเป็นร้อย แล้วเราก็เห็นเขาออกมาล้างถนน คดีของพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตายไม่ถึงศาล เราถูกเรียกเป็นควาย เราถูกตราหน้าว่าเป็นขบวนการรับจ้าง เราถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา เป็นคนไร้ค่า

 

10 กว่าปีที่ผ่านมา พวกผมต่อสู้แล้วก็เจอกับสิ่งนี้ แต่พวกเขาคนหนุ่มสาวเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่หยิบยื่นความเข้าใจ หยิบยื่นความเห็นใจ และหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกผม พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกผมกลางท้องถนน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจเราแล้ว เห็นใจเรา อยากขอโทษเพราะเมื่อก่อนเข้าใจผิด พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ ในนามของความเป็นมนุษย์ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้! (เสียงปรบมือ)

 

ผมมีโลกใบเดียว ถ้าผมต่อต้านเผด็จการในเมียนมาร์ ผมก็ต่อต้านเผด็จการในประเทศไทยด้วย (เสียงปรบมือ) ถ้าผมประณามการเข่นฆ่าประชาชนที่เมียนมาร์ ผมก็ต้องไม่ยอมรับการกระทำใด ๆ ต่อประชาชน ต่อคนหนุ่มสาวและเยาวชนในประเทศไทยด้วย (เสียงปรบมือ)

 

ผมอยากจะบอกทุกฝ่ายนะครับว่าที่ผมพูดไม่ใช่ผมจะประกาศเผชิญหน้า ไม่ใช่ผมจะท้าทายแล้วออกไปเดินนำหน้าขบวนที่เขากำลังทำอยู่เวลานี้ ไม่ใช่! แต่ผมพูดจากหัวใจจริง ๆ ผมคิดแบบนี้ ผมเชื่อแบบนี้ และผมเป็นคนอย่างนี้ แล้วถ้าหากว่าใครก็ตามจะเห็นว่าการพูดวันนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหา เป็นเรื่องที่ร้ายแรง ทำลายชาติ ทำลายบ้านเมือง ผมก็จะไม่เปลี่ยนคำพูด ผมยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงมันกำลังเกิดขึ้น แล้วมันเดินเร็ว ถ้าไม่เข้าใจ ถ้าไม่เท่าทัน มันจะพากันพังหมด มันจะเสียหายกันทั้งระบบ ไม่มีเหลือไม่ว่าใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

 

ผมพูดยาวหน่อยสำหรับคำถามเมื่อสักครู ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นหรือว่าเลยเถิดไปถึงคำถามอื่นบ้างก็ตาม แต่ว่าอย่างที่บอกอะครับ มันอยู่ในใจ มันก็ต้องพูดออกมา (เสียงปรบมือ)

 

การขึ้นเวทีร่วมกับนักศึกษาหรือไม่เป็นเรื่องในอนาคต

 

“ณัฐวุฒิ” กล่าวว่า เมื่อเทียบเคียงกับน้อง ๆ ที่เป็นแกนนำหลักอยู่เป็นจำนวนมากเวลานี้ ผมก็อาวุโสกว่าพวกเขาพอสมควร ความอาวุโสนี้ไม่ได้หมายความว่าผมเหนือกว่า เก่งกว่า หรือมีศักยภาพในการนำสูงกว่า แต่ความอาวุโสนี้ทำให้ผมต้องตระหนักกับตัวเองว่าเราต้องรอบคอบ รัดกุม ยกย่อง ให้เกียรติพวกเขา พวกเขาต่อสู้กันมา มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน มีวันเวลาที่แสดงความกล้าหาญ มีวันเวลาที่แบกรับความเจ็บปวดร่วมกัน

 

ดังนั้น ผมว่าคงไม่ใช่วาระที่ผมจะมาประกาศวันนี้ว่าจะไปขึ้นเวที จะไปเป็นแกนนำร่วมกัน ผมมีหน้าที่ต้องเคารพและให้เกียรติพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเขายังต่อสู้อยู่อย่างกล้าหาญ และผมเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยการผ่านพบสถานการณ์ที่มากขึ้น ๆ คงทำให้บางเรื่องบางแง่มุมที่ผมมีความห่วงใจพวกเขาก็คงจะทำให้เข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็คงจะขับเคลื่อนอย่างรัดกุม อย่างแหลมคมมากขึ้น

 

ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามันขาดความรัดกุม ขาดความแหลมคมนะครับ อย่างที่บอกผมเคารพพวกเขาด้วยหัวใจ แต่ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของพัฒนาการ ดังนั้น คงไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ ๆ จะลงจากโต๊ะแถลงข่าวนี้เดินพรวดพลาดไปขึ้นเวทีที่น้อง ๆ เขาสู้กันอยู่ คงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่อนาคตต่อไปข้างหน้า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความจำเป็น ถ้าสถานการณ์มันไม่อาจจะมีวิธีการอื่นได้ ก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคตครับ (เสียงปรบมือ)