แลไปข้างหน้า กับ ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.56
ตอน ยุทธวิธีเชิงรุกของฝ่ายรัฐเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวมวลชน!
นี่ก็เป็นเวลาที่สถานการณ์ในประเทศเราเผชิญทั้งวิกฤตโควิด วิกฤตเศรษฐกิจ
วิกฤตเศรษฐกิจนี่คือมันมีอยู่แล้ว โดยเห็นชัดเจนว่าปัญหาชนชั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความแตกต่างระหว่างคนชั้นบนกับคนชั้นล่าง มันเห็นชัดในช่วงวิกฤตโควิด และในวิกฤตโควิดครั้งนี้ การสูญเสียของผู้ที่อ่อนแอ เป็นผู้ที่เรียกว่าขาดความมั่นคงในชีวิตก็จะสูงมาก และผู้สูงอายุด้วย
วิกฤตเศรษฐกิจที่มันมีอยู่แล้ว แล้วก็มาซ้ำเติมด้วยวิกฤตโควิด แล้วก็วิกฤตการเมืองซึ่งมันก็มีอยู่แล้ว มันก็มาซ้ำเติม มีตัวเร่งปฏิกิริยาจากวิกฤตโควิด แล้วก็มาสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ขณะนี้มันก็นำไปสู่วิกฤตศรัทธา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตศรัทธาของท่านผู้นำ มันพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมีอำนาจมาก มีทุกอย่างอยู่ในมือ มีวันเวลาที่ได้ครองอำนาจยาวนาน แต่ว่าคุณจัดการบริหาร ไม่สามารถเอาชนะวิกฤตโควิด แล้วก็ไม่สามารถที่จะนำพาเศรษฐกิจรวมทั้งการเมืองให้ฟื้นตัวได้ จนเป็นที่ชัดเจนว่าคนที่เคยสนับสนุนก็จำเป็นต้องกล้ำกลืน ขนาดคนขวาสุด ๆ ก็ยังบอกว่าไม่ไหว เช่น ราชนิกูลบางคน เป็นต้น
ในท่ามกลางวิกฤตนี้ เราจึงเห็นการขับเคลื่อนของมวลชนซึ่ง แน่นอน! ประท้วงในด้านการเมืองอยู่แล้ว บวกเรื่องของโควิด บวกเรื่องเศรษฐกิจ ก็ทำให้เรามองเห็นความพยายามของประชาชนในการที่จะขับเคลื่อน เพื่อท่านผู้นำและคณะนำทั้งหมดที่นำพาประเทศอยู่ทุกวันนี้ ว่าคุณไม่ไหวแล้ว จะออกไปโดยวิธีไหนก็ตาม แต่ว่ามันเป็นปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่ควรจะเปลี่ยนการนำพา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รัฐบาล”
ทั้ง ๆ ที่จริงมันมีปัญหากองพะเนิน และทั้ง ๆ ที่มันมีปัญหาในการเปลี่ยนแปลงเรียกว่าต้องถึงรากถึงโคน เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เปลี่ยนแปลงระบบ เปลี่ยนแปลงระบอบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่มันเป็นจารีตนิยมอำนาจนิยม แล้วภายใต้อำนาจรัฐราชการจารีต มันต้องเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
แต่ว่าในที่สุดมันก็จะมีเรื่องเฉพาะหน้าที่จำเป็นต้องทำเร่งด่วน มีเรื่องที่จะต้องทำถัดไปจากนั้น แล้วก็เป็นระยะยาว นั่นก็แปลว่าต้องมียุทธศาสตร์ แต่ว่าเฉพาะหน้า การขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วนของรัฐบาลนั้น ก็กลายเป็นหัวข้อร่วมกันของกลุ่มคนมากหลาย
จากที่ดิฉันได้พูดมาครั้งที่แล้ว รัฐบาลแทนที่จะมองให้เห็นว่าตัวปัญหาที่แท้จริง และขณะนี้ที่คุกคามประเทศอย่างแท้จริง นั่นก็คือโควิด คุณต้องแก้ปัญหาโควิดให้ได้ ไม่ว่าคุณจะหน้าตาหน้าเกลียดอย่างไร แต่ว่าถ้าคุณแก้ปัญหาโควิดได้ มันก็แก้วิกฤตประเทศไปเปลาะหนึ่ง
ที่เขาพูดนี่เขาพูดอยากช่วยนะ มันจะได้ไม่ยับเยินมากไปกว่านี้ แต่กลายเป็นว่าเราเห็นว่าในวิกฤตโควิด วิกฤตการเมืองที่ซ้อนอยู่ ความพยายามจะขับเคลื่อนของประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน้าสำหรับรัฐบาลในการบริหารประเทศนี้ มันกลายเป็นว่ารัฐบาลนี้ก็มองเอาประชาชนชุดนี้เป็นศัตรู แทนที่จะรวมศูนย์แก้ปัญหาโควิด นั่นคือทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลนะ แต่คุณไม่เลือกหรอก
มันเป็นวิธีคิดของคนจารีตนิยมที่คลั่งอำนาจ หวงอำนาจ ไม่ยอมสูญเสียอำนาจ จะเป็นยังไงก็ช่างหัวมัน แต่ขอให้ยังอยู่ในอำนาจ เพราะว่าคนจารีตนิยมในสมัยโบราณถ้าพ่ายแพ้ก็ถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร ดังนั้นก็ทำอะไรก็ทำได้
สิ่งที่เราเห็นขณะนี้ก็คือว่า ท่ามกลางวิกฤตโควิด เราจะเห็นวิกฤตที่รัฐบาลพยายามกระทำต่อเยาวชนและประชาชนที่ออกมาต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลออกไปเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลให้บริหารดีกว่านี้ เรียกร้องวัคซีนที่ดี เรียกร้องให้ระดมทรัพยากรทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นงบกองทัพ งบของสถาบัน ให้มารวมศูนย์เพื่อแก้ปัญหาโควิด มันเป็นข้อเรียกร้องเฉพาะหน้าจริง ๆ มันไม่ใช่เป็นยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปกระทั่งโครงสร้างด้วยซ้ำ แต่เป็นข้อเรียกร้องเฉพาะหน้า
“ยุทธวิธีเชิงรุกของฝ่ายรัฐเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวมวลชน” คือประเด็นที่อยากนำเสนอต่อสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายประชาชน
คือในระดับยุทธศาสตร์นั้นเขาไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้เป็นระบอบประชาธิปไตย ยังต้องการให้เป็นระบอบแบบดั้งเดิม นั่นก็คือเป็นระบอบที่ล้าหลัง ที่เป็นจารีตนิยม ความมั่นคงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็เหมือนในยุครัชกาลที่ 6 ปานนั้น
ก็คือความมั่นคงของรัฐจารีตอำนาจนิยมของชนชั้นนำจารีตนิยม (หมายความว่ากลุ่มคนชั้นนำ) เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อความมั่นคงของชนชั้นนำกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรื่องอื่นก็กลายเป็นเรื่องรอง
ฉะนั้น ยุทธศาสตร์เท่าที่ดิฉันมอง ด้วยความเชื่อมั่นของฝั่งนี้ว่ากระบวนการความไม่พอใจของประชาชนนั้นมาจากคนที่ต้องการช่วงชิงอำนาจรัฐ พุ่งเป้าไปที่เจ้าของทุนสามานย์คนแรกก็คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร แล้วก็พรรคไทยรักไทย ก็ถูกจัดการซ้ำแล้วซ้ำอีก นายกรัฐมนตรีและพรรคที่สืบเนื่องมาทั้งหมด ก็ถูกจัดการทั้งหมด กระทั่งสุดท้ายพรรคไทยรักษาชาติก็ตาม อันนี้ก็คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ชุดที่ 1
ต่อมาเป้าหมายยุทธศาสตร์ชุดที่ 2 ของกลุ่มจารีตก็คือ พรรคอนาคตใหม่ นั่นก็คือคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และคณะ นี่ก็เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ และด้วยความเชื่อว่าการขับเคลื่อนของคนเสื้อแดง การขับเคลื่อนของเยาวชน ล้วนอยู่ภายใต้การนำของนายทุนที่เป็นนายทุนสามานย์ หรือเป็นนายทุนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ หรือชิงอำนาจจากกลุ่มจารีตนิยม เพราะว่าพรรคจารีตนิยมทำยังไงก็ไม่ชนะการเลือกตั้ง นั่นก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ก็ตาม
เมื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ทั้ง 2 เป้า ถูกจัดการเป็นลำดับ จนกระทั่งมีความพึงพอใจแล้วว่า รธน.ฉบับนี้ และวุฒิสมาชิกที่มีอยู่นี้ รวมทั้งกฎหมายต่าง ๆ และการกดหัวของหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหลายเหล่านี้ พูดง่าย ๆ ว่าได้จัดการล็อคเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่จะเป็นอันตรายกับจารีตนิยมอำนาจนิยมเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือนั้นก็ถือว่ากเฬวราก
แต่มา ณ บัดนี้ ความหวาดกลัวของฝั่งรัฐบาล เพราะว่ามันมีการเคลื่อนไหวของเยาวชนที่เป็นระลอกคลื่น แม้นจะมีวิกฤตโควิด ก็ไม่ได้หยุด และการเคลื่อนไหวของเยาวชนนี้น่ากลัวมาก เพราะว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นของเยาวชน คนเยนเนอเรชั่น Y, Z ในประเทศนี้ รวมทั้ง X เกือบหมดด้วย ไม่มีใครเอาจารีตนิยม ไม่มีใครเอาเผด็จการ ไม่เอาเลยค่ะ
ดังนั้น มันกลายเป็นความน่ากลัว ซึ่งเป้าหมายก็ถูกขยับมายังแกนนำมวลชน โดยเฉพาะแกนนำของเยาวชนเหล่านี้ เราจะเห็นภาพที่เด็ก ๆ และเยาวชนแกนนำเหล่านี้ถูกจับเข้าคุกถูกฟ้องมากมาย
ในทัศนะของดิฉันก็คือว่าได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มาระดับหนึ่ง คือการล็อคพรรคการเมือง หัวหน้าพรรคการเมือง ยังล็อคอยู่นะ ยังจัดการกับกลุ่มไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ก้าวไกล อนาคตใหม่ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เนี่ย ไม่ใช่ไม่ล็อคนะ แต่ว่าคิดว่าจับใส่หีบ คงออกมาจากหีบไม่ได้ แต่พวกที่ออกมาอยู่ตอนนี้ก็เป็นกระบวนการจะพยายามจับใส่หีบ/ใส่กล่องอีกเหมือนกัน
ยุทธวิธีเชิงรุกครั้งนี้คือ ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนมวลชน โดยเริ่มต้นเนี่ยรัฐจารีตนิยมจะเป็นลักษณะตั้งรับ ในยุคของคนเสื้อแดง เมื่อมีการขับเคลื่อนมา มีการชุมนุม ก็ใช้วิธีล้อมปราบ ขอคืนพื้นที่ กระชับพื้นที่ แล้วก็ใช้ความโหดเหี้ยม นั่นก็คือใช้กระสุนจริงจัดการ แล้วก็โชว์ป้ายในพื้นที่เลย “ใช้กระสุนจริง” แล้วก็ใช้คนซุ่มยิง ยิงกันเปิดหน้ายิงเลย ยิงกันจะ ๆ เนี่ยแหละ แก๊สน้ำตาเหรอ ยิงอย่างนี้มันกระจอกมาก โปรยมาจากเฮลิคอปเตอร์เลย
อันนั้นก็คือหลังจากมีผ่านการรับแล้ว เป็นการขอคืนพื้นที่และกระชับพื้นที่อย่างรุนแรง เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ขณะนี้แกนนำเป็นเยาวชน การใช้ความรุนแรงอย่างเปิดหน้าที่ทำต่อมวลชนคนเสื้อแดงอย่างนั้น ทำได้ยาก! ทำไม่ได้!
ขนาดกรรมการสิทธิฯ ก็ยังมีการลงไปดู แม้นว่าจะไม่ได้ผลอะไรก็ตาม เพราะการกระทำมันอยู่ในสายตาของโลก สายตาของทูต สายตาขององค์กรระหว่างประเทศเต็มไปหมด
ดังนั้น การปรับยุทธวิธีเท่าที่ดิฉันเห็นจากครั้งที่แล้วคือ ประการแรกเลย ล็อคเลยค่ะ เมื่อมีการขับเคลื่อน คืออย่าลืมว่าอย่างไรก็ตาม แม้นโควิดจะซ้ำเติมวิกฤต และก็ทำให้คนมีวิกฤตศรัทธาต่อผู้นำมากขึ้นก็ตาม แต่มันก็มีอุปสรรค เพราะการอ้างว่าจะเป็นการติดเชื้อ แต่จริง ๆ การติดเชื้อในที่โล่งแจ้ง ดิฉันลองถามคุณหมอสลักธรรมแล้ว มันต่ำ โอกาสจะติดเชื้อเมื่อเทียบกับในห้องปิดตั้งแต่มี 18 เท่า ถึง 30 เท่า ก็เรียกว่ายากมาก คุณมีแมสก์ คุณมีแอลกอฮอล์เจล คุณมีเฟซชิลด์ หรืออะไรก็ตามดูแลดี โอกาสติดเชื้อน้อยมาก โดยเฉพาะทั้งคู่เกือบ 100%
ดังนั้น ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างเซฟ ก็ทำให้เยาวชนและประชาชนที่รู้กล้าออกมา แต่มันก็มีอุปสรรคในเชิงกฎหมาย แล้วก็การใช้อำนาจที่พยายามจะมาอ้างเหตุผล และอีกด้านหนึ่งคือประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่รู้ก็กลัว แล้วในท่ามกลางวิกฤตโควิด มวลชนพื้นฐานจำนวนหนึ่งยากลำบากทางเศรษฐกิจ ก็ออกมาไม่ได้ แล้วก็ติดเชื้อกันเรียกว่าระงม เป็นซอยไปเลย แกนนำเสื้อแดงของเราที่บอกมา เกือบทุกซอยเลยในชุมชน เพราะว่าคนเสื้อแดงจะเป็นคนส่วนใหญ่ก็เป็นคนมวลชนพื้นฐานกับชนชั้นกลางล่าง ดังนั้นก็จะอยู่ในที่ชุมชน ก็มาขับเคลื่อนไม่สะดวก
แต่อย่างไรก็ตาม เยาวชนซึ่งเป็นปัญญาชนและชนชั้นกลางมีความเข้าใจในเรื่องของโรคว่ามันไม่ได้ติดกันง่าย ๆ แล้วก็พยายามจะหารูปแบบต่าง ๆ ก็ยังมีการขับเคลื่อนออกมา
ดังนั้น “โควิด” ก็เป็นตัวเร่งวิกฤต แล้วก็เป็นอุปสรรคในการต่อสู้อยู่จำนวนหนึ่งเหมือนกัน
ทีนี้ดิฉันพูดของรัฐบาลก่อนแล้วกัน เป็นเรื่องสำคัญ
ฝั่งรัฐใช้วิธีเชิงรุกในการจัดการกับประชาชน ล็อคแกนนำ เราจะเห็นเลย ล็อคการ์ด ล็อคแกนนำ กลุ่มวีโว่ก็โดนละ การ์ดไปเช่าโรงแรมอยู่ที่ไหนก็โดน แกนนำไม่ว่าจะเป็นคุณอานนท์ จะเป็นคุณเพนกวินและคนอื่น ๆ ก็คือล็อคด้วยคดีเก่าบ้าง แล้วก็หาเรื่องใหม่บ้าง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เขาไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไปจับเขา ทั้ง ๆ ที่เขาไปมอบตัว อย่างนี้เป็นต้น
ใช้ยุทธวิธีล็อคแกนนำไม่ให้ขยับ ล็อคการ์ดไม่ให้ออกมา ล็อคกระทั่งรถเครื่องเสียง จับหมดเพื่อให้เป็นตัวอย่าง คนจะได้ไม่กล้า รถเครื่องเสียง รถห้องน้ำ คนที่จะสนับสนุนจะเช็คบัญชี อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ หมายถึงว่าพวกที่เคยเป็นแม่ยกพ่อยกอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น การล็อคตรงนี้มันก็เกิดปัญหาการแสดงตัวการนำ มีปัญหาต่อการนำพาในการขับเคลื่อน นี่ล็อคคน ล็อคยานพาหนะ ล็อคการ์ด ล็อคกระทั่งรถส้วม อย่างนี้เป็นต้น
ล็อคที่สองก็คือล็อคพื้นที่ ล็อคพื้นที่ตั้งแต่ เราจะเห็นว่าครั้งนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อประกาศไปรวมพลที่นั่น ล็อคพื้นที่รวมพล คือไม่ให้มีโอกาสแม้กระทั่งจะรวมพล คนยังไม่ทันไปเลย ตำรวจไปเต็มเลย มากกว่านักข่าวซึ่งมากอยู่แล้ว มากกว่ามวลชน มีก็มีป้าเป้าใช่มั้ย หรือก็มีตัวแทนแท็กซี่คนสองคน ก็ชาวบ้านมายืนด่า แล้วก็ตำรวจเต็มไปหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น
คือล็อคพื้นที่ไม่ให้มีการรวมพลได้ ล็อคพื้นที่เป้าหมายเมื่อมีการบอกว่าไปหน้าวัง ล็อคหน้าทำเนียบ เตรียมไว้หมด ล็อคพื้นที่ตั้งต้นรวมพล ล็อคพื้นที่เป้าหมาย แล้วล็อคพื้นที่ระหว่างเส้นทาง
แล้วไอ้การล็อคพื้นที่มันเหี้ยมขนาดไปเอาไอ้ตู้ถังน้ำมันที่เป็นเวลารถไฟเขาใช้บรรทุกน้ำมัน ตู้บรรทุกน้ำมัน จนสหภาพรถไฟ พนักงานรัฐวิสาหกิจรถไฟ ซึ่งเป็นสีเหลืองนะ ก็ออกมาโวยวาย
ดังที่ดิฉันได้บอกไว้แล้วว่า สำหรับฝั่งจารีตนิยม ถ้าจะจัดการกับคนที่จะทำให้อำนาจเสื่อม หรือว่าลดอำนาจ หรือเป็นอันตราย ทำได้ทุกอย่าง ไม่มีข้อแม้ ไม่มีคำว่าคนดีไม่ทำ ไม่มีคำว่าคนดี ไม่มีคำว่าต้องมีคุณธรรม แต่เวลาไปอ้างความชอบธรรมในการปกครองบอก “เป็นคนดี” แต่เวลาจัดการกับฝั่งที่จะทำให้ตัวเองมีความสั่นสะเทือนในเรื่องของอำนาจ ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรฐาน “คนดี” ทั่วไปแล้ว ทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะจัดการอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเราจะเห็นที่เรียกว่าเป็นยุทธวิธีใหม่ในการล็อคหมด ไม่รอให้มีม็อบ จะพยายามจัดการตั้งแต่เริ่มต้นแล้วก็ทำให้ไร้การนำ
อีกอันหนึ่งก็คือให้มีกลุ่มมวลชนฝั่งตรงข้ามแสดงท่าทีออกมาว่าจะมาปะทะ ซึ่งจริง ๆ อาจจะมีหรือไม่มีตั้งแต่ต้นก็ได้ หรือมีอยู่เล็กน้อย แต่ว่าให้มันเป็นข่าวเพื่อเป็นเงื่อนไข นอกจากนั้นพยายามใช้ทุกอย่าง เมื่อเวลาเกิดมีการรวมตัวของคน ณ จุดใดจุดหนึ่ง เราจะเห็นครั้งนี้ที่มีการยิง เรียกว่าไม่ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ เพราะคนอยู่กระจายกัน แต่อยู่ในที่สูง สามารถเล็งเป้ามาที่หมู่คน เล็งเป้ากระสุนยาง อันนั้นคือเล็งเป้าของแก๊สน้ำตา เล็งเป้ากระสุนยางก็มาที่ผู้มาชุมนุม เหมือนที่นักข่าวถามว่าแล้วทำไมต้องมายิง เพราะว่าปกติกระสุนยางในทางสากล การใช้เป็นการยิงขู่ หรือยิงสู่ ณ ที่ต่ำ คำตอบที่ได้ก็คือถ้าไม่ยิงผู้มาชุมนุมแล้วจะให้ยิงใคร เพราะงั้นนักข่าวก็โดนไปด้วย นี่ยกตัวอย่าง
เพราะฉะนั้น ยุทธวิธีการรุกไม่ให้มีการก่อม็อบ สลายตั้งแต่ต้น ไม่ยอมให้ขยับเลย เพราะงั้นครั้งนี้ม็อบจะไปทางไหนก็ไปไม่ได้ สุดท้ายเรียกว่าเป็นแผนที่เปลี่ยน เด็ก ๆ เขาเรียก “แกง” นั่นแหละ เปลี่ยนจากแกงมัสมั่นเป็นแกงเขียวหวาน แล้วก็เป็นพะโล้หรืออะไรก็ตามแต่ แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้ ก็มีการปะทะเล็กน้อยหอมปากหอมคอ ซึ่งการปะทะโดยที่ว่ายิงหนังสติ๊ก หรือว่ามีสาดสี จุดพลุ
ดิฉันถามว่า อย่างนี้คุณเรียกว่าต่อสู้เหรอ?
เขามีอะไรในมือ คุณต้องการให้เขาไปนั่งประนมมือ ยกมือไหว้ ขอได้โปรดเถิด กราบเถอะค่ะ ขอให้ลาออก ให้ทุกคนนั่งพับเพียบกันหมดหรือเปล่าถึงจะเรียกว่าสันติวิธี แล้วก็ให้พูดอย่างไพเราะ เขาไม่ได้มีกองกำลังอาวุธ ถ้าเขามีกองกำลังอาวุธ มีการเตรียม มีการซ่องสุมกำลังและประกาศต่อสู้ด้วยอาวุธจริง ๆ อันนั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่นี่เป็นเยาวชน อยู่ในเมือง ประสาวัยรุ่น ดิฉันจะบอกให้ว่าพวกอาชีวะตีกันเขาแรงกว่านี้อีก แรงกว่าที่ม็อบเขวี้ยงไปให้ตำรวจอีก มันจะให้เขาสาดน้ำหอมให้ หรือเล่นสงกรานต์กับคุณเหรอ? มันเป็นไปไม่ได้!
ยังไงก็ตาม สิ่งที่เราเห็นก็คือการรุก การตระเตรียมเต็มที่ ใช้เครื่องมือทุกชนิด เตรียมพร้อมไม่ให้แม้กระทั่งก่อม็อบ มีม็อบก็ไม่ให้มีการนำ แล้วก็ต่อให้มีม็อบ มีการนำระดับหนึ่ง ก็เคลื่อนตัวไม่ได้ แล้วก็สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่า เช่นมีการเผารถนั้นมันเกิดจากใคร?
แต่ดิฉันบอกให้ว่า ที่แล้วมาในกรณีปี 53 คนเสื้อแดงไม่ได้เผานะคะ พิสูจน์แล้วจากศาล ตลาดหลักทรัพย์เป็นคำพิพากษาศาลเลย ไม่ใช่เกิดจากการก่อการร้าย ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถมาเอาผิดคนเสื้อแดงได้ เพราะฉะนั้นบริษัทประกันต้องจ่าย หรือแม้กระทั่งเซ็นทรัลเวิล์ด ในส่วนอื่นก็เหมือนกัน มันไม่มีหลักฐาน แล้วก็พูดด้วยความสัตย์จริง แม้กระทั่งศาลากลางในต่างจังหวัด ก็ไม่รู้มีใครเผา บอกได้ตรง ๆ เลยว่า คนเสื้อแดงเป็นไทยมุงมากกว่า
เพราะฉะนั้น ดิฉันอยากจะฝากเอาไว้ให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจว่า บางทีเราจะมาขัดแย้งกันเอง ทำไมไม่นำให้ดีกว่านี้ ทำไมเปลี่ยนที่ตรงนั้น ทำไมเป็นการนำโดยไม่มีผู้นำ ก็มันถูกล็อคนี่คะ ถูกล็อกโดยทั้งกฎหมาย โดยทั้งเอาตำรวจจริงมาเฝ้าไม่ให้ไป ถูกล็อกทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการนำโดยบุคคลน่ะไม่ใช่
จึงเป็นการนำโดยการสื่อสารสมัยใหม่เท่านั้น กับการนำด้วยหัวใจ ดิฉันยังมองว่าประชาชนมีวินัยพอควร เขาบอกให้ย้ายที่ก็ย้าย เขาบอกให้ยุติก็ยุติ แต่มันจะสมบูรณ์ 100% มันเป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่กองทัพ นี่ไม่ใช่กองทหาร ไม่มีหัวหน้า ไม่มีคำสั่ง นี่มันเป็นการเรียกร้องของประชาชน ต้องการให้เปลี่ยนรัฐบาล ต้องการวัคซีนดี ๆ แล้วต้องการให้ระดมทรัพยากรทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่ไม่จำเป็น ไม่ต้องไปรบกับใคร หรือว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่มันยังไม่จำเป็นต้องใช้ เอามาใช้เรื่องโควิดเสียก่อน
ถามว่าข้อเรียกร้อง 3 ข้อนี้มันเกินไปมั้ย?
แต่คุณกลัว!!! พอเด็กบอกว่าจะไปที่ข้างวัง กลัว! พอบอกจะรวมพลที่นี่ จะไปบ้านนายกฯ บ้านนายกฯ ก็อยู่ข้างใน ถามว่าเยาวชนพวกนี้มีปัญญาไปทำร้ายนายกฯ มั้ย บ้านอยู่ในค่ายนั่น ไม่มีปัญญาเลย แล้วถามว่าเขาจะไปทำลายอาคารอะไรต่าง ๆ มั้ย เขาก็ไม่ทำ มันไม่มีอะไรเลย เพียงแต่เขาต้องการแสดงออกถึงข้อเรียกร้องเฉพาะหน้า 3 ข้อนี้
คุณไม่อนุญาตให้เขามีการขับเคลื่อน คุณกลัว! แต่จริง ๆ นะ สิ่งที่คุณควรจะกลัวจริงมากกว่าก็คือว่า ความเป็นจริงมันได้เปิดเผยต่อประชาชนไทย ต่อประชาชนโลกว่า การที่พวกคุณชิงอำนาจมาจากประชาชนโดยการทำรัฐประหาร โดยการปิดปากคนในการให้ได้รัฐธรรมนูญมา แล้วก็โดยการที่แจกกล้วย แล้วก็โกงคณิตศาสตร์ดื้อ ๆ ทำให้ตัวเลขของส.ส.เรียกว่ามีความได้เปรียบฝ่ายรัฐบาลขึ้นมา และที่สำคัญที่สุดคือคุณมี 250 ส.ว.
คุณมีทั้งหมดนี้นะ เขาก็ยังกล้ำกลืนฝืนทน แต่คุณไม่มีฝีมือในการบริหารเลย สำหรับในการแก้ปัญหาโควิด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็วิกฤตการเมือง คุณไม่ปล่อยให้เขาพูดแล้วรับฟัง คุณดูสถานการณ์โควิด นี่ต้องอาศัยหมอชนบทออกมา เราพูดมาตั้งนานแล้ว คุณต้องทำเชิงรุก คุณไม่ทำเชิงรุกในเรื่องโควิด ปล่อยมาจนกระทั่งโควิดรุก ขณะนี้นะ ถ้าตัวเลขมันจะคงที่นะ เพราะคนมันเป็นเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น Herd immunity (ภูมิคุ้มกันหมู่) มันได้จากว่ามีคนป่วยมากจนกระทั่งคนเป็นเกือบหมด แล้วก็ส่วนหนึ่งเพิ่งได้วัคซีนบริจาคมา
แทนที่คุณจะกลัวโควิด คุณจะใช้เชิงรุกในการสู้กับโควิดเพื่อชีวิตของประชาชน แต่คุณกลับใช้เชิงรุกกับประชาชนผู้มาเรียกร้องขอวัคซีนดี ๆ ขอการเปลี่ยนแปลงบริหารประเทศ และก็ขอให้ทุ่มทรัพยากรทั้งปวงมาแก้ปัญหา ดังนั้นคุณทำในสิ่งที่ตาลปัตร
เพราะฉะนั้นดิฉันอยากจะให้พี่น้องประชาชนและเยาวชน โดยเฉพาะเยาวชนทั้งหลายได้เข้าใจว่า เขายกระดับ ก็คือ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีสำหรับการขับเคลื่อนของเยาวชนโดยไม่ได้นำพาว่าสิ่งที่ทำนั้นมันถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมั้ย ไม่ได้นำพาเลย
ก็ขอให้เราหันมาสนใจยุทธวิธีเชิงรุก เปิดโปงความคิดและการทำ ไม่ว่าจะไปขอถังน้ำมันจากรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนว่า “ตำรวจปกป้องเฉพาะคนดี” คนดีของใครคะ พลเมืองที่ดี อย่างนี้เป็นต้น คือให้เปิดเผยเรื่องราวสิ่งที่รัฐไทยกระทำต่อประชาชนให้มากที่สุด
แล้วพี่น้องประชาชนก็ต้องปรับยุทธวิธีให้เหมาะสม แล้วก็สะสมชัยชนะ ยังไงเสียประเทศไทยเป็นของเยาวชน 90% เยาวชน ดิฉันว่าเกือบ 100% จะไม่มีใครเป็นสลิ่ม ไม่มีใครเอาเผด็จการเป็นอันขาด ขอให้รัฐไทยปัจจุบันจำไว้ด้วย คุณจะเอาชนะเจ้าของอนาคตประเทศที่แท้จริง เป็นไปไม่ได้ค่ะ.
#ไล่ประยุทธ์
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์