ธิดา
ถาวรเศรษฐ : “ทะลุแก๊ซ” เป็นผู้ชุมนุม หรือ แก๊งก่อกวน!
Facebook
Live 24 ส.ค. 64
วันนี้ที่ดิฉันอยากจะคุยก็ถือว่าเป็นเรื่องด่วน
เรื่องสำคัญ และก็นี่เป็นเรื่องของเราด้วย เพราะฉะนั้นดิฉันก็ตั้งใจจะคุยเรื่อง
กลุ่ม “ทะลุแก๊ซ” เป็นผู้ชุมนุม หรือ แก๊งก่อกวน!
ที่ดิฉันตั้งชื่ออย่างนี้เพราะว่า
แน่นอน! ในสายตาของฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร สายตาของกองเชียร์รัฐบาล พวกจารีตนิยมก็มองว่านี่เป็นพวกแก๊งก่อกวน
ไม่ให้ค่า แล้วยังสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง
หันมาในทางฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่เอารัฐประหาร ก็มีส่วนหนึ่งที่มองว่าการต่อสู้สันติวิธีนั้นประมาณว่ามันจะต้องเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้
ประมาณนั้น เพราะฉะนั้นก็ยังรับไม่ได้กับการที่ว่ามีพลุ มีการเขวี้ยงสิ่งของ
หรือแม้กระทั่งอาจจะดูเหมือนมีประทัดยักษ์หรือเปล่า? แต่ดิฉันก็ไม่ทราบ
เพราะเท่าที่ดิฉันเห็นส่วนใหญ่ก็เป็นพลุ เพราะเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
แต่ประหนึ่งว่าเป็นการต่อกรกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ
คฝ. พวกควบคุมฝูงชน กับกลุ่มซึ่งตั้งชื่อตัวเอง ตั้งทีหลัง
หลังจากที่เขาไปร่วมกับกลุ่มทะลุฟ้าแล้วเขาก็ตั้งเป็นกลุ่ม “ทะลุแก๊ซ”
ซึ่งก็เป็นชื่อนัย มันบ่งให้เห็นถึงการที่เขาต้องสู้กับแก๊สน้ำตา ก็เป็นชื่อที่มีความหมายกับการปฏิบัติจริง
เพราะฉะนั้น
ในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันก็ยังมีความคิดต่อกลุ่มนี้ไม่เหมือนกัน
บ้างก็ประเมินว่าพวกนี้ใช้ความรุนแรง จำเป็นต้องแยกชัดเจน และจำเป็นต้องโดดเดี่ยว
แล้วก็ไม่สนใจ คืออยากจะถูกจับก็จับไปเลย อะไรประมาณนั้น
ทีนี้ดิฉันก็อยากจะมาทบทวนให้เห็นว่าในช่วงสองเดือนมานี้ตามข่าวก็คือเอาข่าวของทางตำรวจนี่แหละ
เขาบอกว่ามีการดำเนินคดี 92 คดี ผู้เข้าข่ายความผิด 523 คน จับกุม 266 คน
มีคดีความมั่นคง 341 คดี ดำเนินคดีไปแล้ว 200 คดี อยู่ในระหว่างดำเนินคดี 141 คดี
ออกหมายไปแล้ว 118 หมาย แล้วก็มีกลุ่มแกนนำ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเอานิยามตัวไหน 16
หมาย อื่น ๆ 112 หมาย แล้วก็พอมา 22 ส.ค. ก็จับกุม 42 คน ยึดรถ 27 คัน
เมื่อเรากลับมาดูจากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ให้เข้าไปดูในเพจของยูดีดีนิวส์ได้นะคะว่าศูนย์ทนายฯ เขาก็ได้รวบรวมเอาไว้ แต่ที่ดิฉันสนใจมากก็คือว่า
ในกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่น 18 เลยไปถึง 20 ปี เป็นจำนวนหนึ่ง
แล้วที่น่าสนใจก็คือกลุ่มเยาวชน ไม่ถึง 18 ปี มีอยู่เป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น
วันที่ 1-22 ส.ค. จับกุมควบคุมเยาวชน นี่หมายถึงต่ำกว่า 18 ปีนะ อย่างน้อย 65 คน
ต่ำกว่า 15 ปี อย่างน้อย 8 คน ผู้ใหญ่ 168 คน รวมเป็น 233 คน
จากมีการไปสังเกตการณ์
พบว่าอายุประมาณ 10 ปีก็มี เพราะฉะนั้นก็จะเจอ 13, 14, 15
แล้วเราคงไม่ลืมว่าคนที่ถูกยิงจนโคม่ายังเป็นเยาวชน (ที่ถูกยิงที่ก้านคอ ก้านสมอง)
ในทัศนะดิฉันก็คิดว่าลำบากมาก อาจจะในขณะนี้ก็คือเป็นการดูแลเลี้ยงเอาไว้เพื่อไม่ให้รู้สึกว่ามีการตายเกิดขึ้น
แต่จริง ๆ มันเป็นความรุนแรงในระดับที่ทำให้ตายและบาดเจ็บ
นั่นก็คือมีทั้งกระสุนจริง กระสุนยาง แก๊สน้ำตา แล้วก็ใช้การเตะถีบ
อย่างล่าสุดที่มีการจับ
ที่ถีบรถ คือการจับครั้งหลังถ้าหลายคนเข้าไปดูภาพอย่างของสำนักข่าวบ้านราษฎรก็ได้
ก็คือคนที่ถูกจับมีเลือดอาบใบหน้า บางคนบาดเจ็บที่ช่องท้อง บางคนบาดเจ็บที่แขน
เพราะว่าถูก คฝ. รุมเป็นสิบ ๆ คน
ซึ่งอันนี้เราเห็นคลิปได้ที่ออกมาทั่วไปในทวิตเตอร์
หรือการยิงในระดับกระชั้นชิดที่เห็นจากสำนักข่าวราษฎร เป็นต้น
คือเราจะเห็นว่าการยิง
จะเป็นกระสุนยางหรือว่าแก๊สน้ำตา ยิงระดับแบบนี้เลย คือประทับยิง ประทับยิง
เปรี้ยง ๆ ๆ ๆ ภาพเหล่านี้ปรากฎชัดในการที่เข้ามาจัดการปราบปราม
ที่บอกว่าเป็นหลักสากล ใช้กระสุนยางอะไรต่าง ๆ แต่เขาไม่ได้ให้คุณยิงอย่างนี้นะคะ
ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตาหรือกระสุนยาง คุณจะประทับบ่าแล้วยิงตรง และใกล้
จนกระทั่งคนอย่างคุณลูกนัท ซึ่งยังมีคนมาเถียงว่าตาเขาไม่บอดจริง แล้วไม่ยอมจ่าย 1
ล้านนะ เขาเสียตาไปข้างหนึ่งจริง แต่ดังที่เขาบอกว่ามันมองไม่เห็นด้วยตาข้างหนึ่ง
แต่ว่าเขาน่าจะเป็นประเภทที่ใช้คำกันง่าย ๆ ว่า “ตาสว่าง”
ตาบอดของการมองเห็น
แต่ตาสว่างในทางความเข้าใจ
ซึ่งมันก็เป็นภาษาง่าย
ๆ ระหว่างตาบอดกับตาสว่าง เขาตาบอด แต่ว่าเขาตาสว่าง
นี่ยกตัวอย่างว่าเป็นการยิงระยะกระชั้นชิด มีทั้งภาพ มีทั้งผล
แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้า
สน.ดินแดง จะพยายามปฏิเสธยังไง แล้วก็พยายามจะไปเกลี้ยกล่อมครอบครัวเขาอย่างไร
ความจริงมันก็ต้องปรากฏ แต่มันอาจจะช้าหน่อย
เพราะรัฐมักจะใช้วิธีที่ว่าเอาคนมาประชาสัมพันธ์ แล้วก็พยายามบิดเบือนแก้ตัว
แม้กระทั่งเรื่องโควิดที่ไปตั้งคณะทำงานใหม่ จะเป็นคุณเสรี วงษ์มณฑา ดังนี้เป็นต้น
ซึ่งดิฉันจะเอาไว้พูดทีหลัง
แม้กระทั่งการแถลงของตำรวจเองก็ยอมรับว่าเขาไปเจอเยาวชนเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งมันก็ต้องสะอึกเหมือนกันว่ามันเด็ก 13, 14 นะ ที่มาประท้วง เพราะฉะนั้น รัฐใช้ความรุนแรงแบบเต็มเหนี่ยวเลย
แล้วในส่วนของปัญญาชน
การขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นของกลุ่ม REDEM กลุ่มปลดแอก กลุ่มทะลุฟ้า
หรืออะไรต่าง ๆ ก็ต้องการประกาศกับสังคมว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ความรุนแรง
พวกเขาสันติวิธี ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่กลับ
โดยปกติในขบวนการที่มีระบบและมีวินัยระดับหนึ่งเขาก็จะกลับ
แต่กลุ่มเหล่านี้ไม่กลับ ยังมีลูกต่อ ก็คือยังเล่นต่อ อาจจะใช้คำว่าเล่นไม่ถูก ก็หมายความว่ายังมีการตอบโต้กับคฝ.
เพราะฉะนั้น
มันจึงมาถึงมีคำถามว่า คุณจะตัดสินว่าเขาเป็นแก๊งก่อกวน หรือเป็นผู้ชุมนุม
จากการที่นักข่าวหลายสำนักไปสัมภาษณ์เขาเหล่านั้น
ปรากฎว่าเขาเหล่านั้นบอกชัดเจนว่าเขามาไล่ประยุทธ์ และทนกับพิษเศรษฐกิจไม่ไหว
ถ้าเขาบอกมาไล่ประยุทธ์ แล้วก็คำถามว่าทำไมเขาไปใช้ตรงนั้น
เพราะตรงนั้นเป็นที่ที่จะไปบ้านพล.อ.ประยุทธ์ แล้วก็ถูกสกัดกั้น
เขายังไม่จบตั้งแต่ตอนที่ร่วมกับทะลุฟ้า และทะลุฟ้าไม่มาแล้ว แต่เขาก็ยังมาเพราะ
นี่ดิฉันเดานะว่าเขาก็คงมองว่ามันเป็นภารกิจที่ยังไม่บรรลุ
ไม่บรรลุก็คือเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาจะไปบ้านพล.อ.ประยุทธ์
แล้วก็ไปแสดงว่าเขาต้องการขับไล่ ดิฉันได้ติดตามดูการสัมภาษณ์ของนักข่าวหลายสำนัก
เขาพูดการเมืองนะคะ เขาบอกเขาจะมาไล่ประยุทธ์ และบ้านเขา ครอบครัวเขา
มีปัญหาทางเศรษฐกิจ
ในทัศนะของดิฉัน
ดิฉันถือว่าเขาเป็นผู้ชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่แก๊งก่อกวน!
ดิฉันจึงอยากให้แง่คิดอันนี้
ให้แง่คิดนะคะ บางคนอาจจะไม่คิดเหมือนดิฉันก็ได้
แต่สำหรับดิฉันถือว่าเขาเป็นผู้ชุมนุมทางการเมือง แล้วเขาคือใคร? มาจากไหน?
ถ้าเราดูหนึ่ง
เขาเป็นคนรุ่นเยาวชน มีตั้งแต่ 10 ขวบ 12, 13, 14, 15 แล้วก็ไปประมาณ 20
เป็นคนรุ่นเยาวชน แล้วมาจากส่วนล่างของมวลชนพื้นฐาน มาจากชุมชนเมือง
มาจากคนจนเมือง ในทัศนะของดิฉัน
ฐานะเศรษฐกิจ
พูดง่าย ๆ ว่าฐานะทางชนชั้นต้องจัดว่าเป็นกลุ่มคนที่จากกลุ่มยากจน
คือปกติตัวเลขที่ผ่านมาหลายปีแล้วคนยากจนของเราที่รายได้ต่อหัวถัวเฉลี่ยในครอบครัวเดือนหนึ่งไม่ถึง
5 พันบาท จะมีประมาณ 40% มาบัดนี้ดิฉันว่า 50% แล้ว
ดังนั้น
ที่มาทางชนชั้นก็จะมาจากส่วนของคนยากจนและคนชั้นกลางล่าง
ลักษณะสังคมเขาก็คือเป็นสังคมของผู้ใช้แรงงาน ของคนจนเมือง อนาคตของพวกเขา
เขาต้องการเป็นผู้ใช้แรงงานที่มีอนาคต ถ้าพูดง่าย ๆ ในภาษาแบบเก่าก็คือเป็นแรงงานคอปก
หรือว่าเสื้อน้ำเงิน ถ้าเป็นปัญญาชนก็เป็นแรงงานคอปกขาว
ดังนั้น
สังคมของเขาเป็นสังคมของผู้ปฏิบัติ สังคมของการใช้แรงงาน สังคมของคนที่ยากจน
สังคมของชุมชนที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ถามว่าเขาต้องการชีวิตที่ดีขึ้นมั้ย
เขาต้องการชีวิตที่ดีขึ้น ปัญญาชนในมหาวิทยาลัยมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง
เขามาจากชนชั้นกลางล่าง ชนชั้นกลางบน และก็ชนชั้นบน
แต่ว่าคนเหล่านี้ส่วนมากจะมาจากมวลชนพื้นฐานซึ่งเป็นชุมชนเมืองดังที่ดิฉันได้บอกแล้ว
ก็คือเป็นส่วนหนึ่งของคนจนเมืองที่สำคัญและเป็นผู้ใช้แรงงานคอปกสีน้ำเงิน ไม่ใช่คอปกขาว
ดังนั้นเขาจะใช้แรงงาน ใช้การปฏิบัติ มากกว่าการพูด มากกว่าการเขียน
ดังนั้น
การปฏิบัติของเขา วิธีคิด วิธีปฏิบัติ ก็มีความแตกต่างจากปัญญาชน
และโดยที่การต่อสู้ของประชาชนนั้นไม่ได้มีการจัดตั้งแบบพรรคปฏิวัติ
ก็เป็นชุมชนอิสระ เขาก็ตั้งชื่อของเขาเฉพาะหน้าเลย เรียกว่ามันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
มันไม่มีใครไปดำเนินการจัดตั้ง
ดิฉันจึงอยากจะให้ทำความเข้าใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้
ในทัศนะของดิฉันเป็นผู้ชุมนุมทางการเมือง เราไม่ควรจะโดดเดี่ยวเขา
แล้วเราควรจะสนับสนุนเขาในทางการเมือง และในทางการที่คัดค้านการปราบปรามอย่างรุนแรง
การดำเนินคดีที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง คือปราบปรามก็หนักหน่วง
ดำเนินคดีก็หนักหน่วง ตั้งข้อหาเต็มที่
ทั้งหมดนี้เขาจะเป็นส่วนร่วมสำคัญของอนาคตของประเทศ
เป็นส่วนร่วมสำคัญของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศที่ดีขึ้น
มันไม่ใช่เฉพาะปัญญาชน นักคิด นักเขียนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศ จริง ๆ
คนที่อยากเปลี่ยนแปลงประเทศจริง ๆ ก็คือคนจนเมือง
ในอดีตเราถือชนชั้นกรรมาชีพสำคัญเพราะมีระบบจัดตั้งอยู่แล้วในโรงงาน
แล้วก็ถือว่าเป็นคนจนต่ำสุด แต่ปัจจุบันชนชั้นกรรมาชีพอยู่ในระบบ
มีกฎหมายประกันสังคม มีการดูแล มีสวัสดิการที่ดี
แต่คนจนเมืองมันไม่มีสวัสดิการเช่นนั้น ไม่มีหลักประกันใด ๆ เลย ดังนั้น
ในทัศนะของดิฉัน ลักษณะก้าวหน้าของคนจนเมือง ของคนชั้นล่างอิสระ
ความยากลำบากทางเศรษฐกิจและสังคมเขามีมากกว่า
เพราะฉะนั้นยุคสมัยและสิ่งแวดล้อมมันแตกต่างกัน
ในขณะที่ชนชั้นกรรมาชีพนั้นคุณมีแรงงานขั้นต่ำ
ค่าแรงขั้นต่ำ คุณมีประกันสังคม คนเหล่านี้ไม่มี
เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้คืออนาคต คืออนาคตของประเทศ
สิ่งที่เราควรจะทำก็คือไม่ควรโดดเดี่ยว
จะต้องต่อต้านรัฐที่กระทำความรุนแรงต่อกลุ่มเยาวชนเหล่านี้
แล้วก็ทนายความทั้งหลาย
อย่างศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนดิฉันก็ขอชื่นชมที่ได้ไปช่วยติดตามดูแลเขาเหล่านั้น
ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้มันดีกว่าตอนยุคคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงนั้นเอาคนจนในชนบท
แล้วก็มีคนจนเมืองมาร่วม แต่เนื่องจากพอถึงเวลาจริง ๆ
มันไม่มีลักษณะต่อสู้ได้แบบอย่างนี้ เพราะมันเป็นม็อบใหญ่ มันถูกล้อมปราบอย่างเดียว
บทบาทของคนจนเมืองจึงมีน้อย
มา
ณ บัดนี้ บทบาทคนจนเมือง ซึ่งเป็นเยาวชนด้วย และบทบาทของปัญญาชน คนชั้นกลางก็มีมาก
ดิฉันก็คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือสนับสนุนและคัดค้านการที่รัฐทำความรุนแรง
ไม่อับอายบ้างเหรอที่เอา คฝ. มีเบี้ยเลี้ยง มีอาวุธครบมือ มารบกับเด็ก 10 ขวบ 12
ขวบ อายบ้างมั้ย?
แล้วเราจะปล่อยให้เยาวชนเหล่านี้ถูกกระทำโดยรัฐที่เหี้ยมโหด
แล้วทั้งหมดมันเป็นเงินภาษีของเราทั้งสิ้น ตัวนายกฯ ก็บอกว่าเขาไม่ออก
ไม่มีท่าทีว่าจะออก โอเค! คุณไม่ออก แต่ว่าเมื่อคุณไม่ออก คุณพยายามจะอยู่ ประชาชนก็ต้องมีสิทธิ์ประท้วง
การประท้วงของประชาชนไม่ใช่ว่าเป็น “กระท้อน” ยิ่งทุบแล้วยิ่งหวาน
ไม่มีใครอยากกินกระท้อนแบบนี้หรอกนะ
เพราะฉะนั้น
ในเรื่องนี้ดิฉันมองว่าเราต้องยินดีที่จะสนับสนุน ช่วยเหลือ
และต่อต้านรัฐบาลอย่างเต็มที่ และที่สำคัญขอให้เข้าใจว่าเขาไม่ใช่แก๊งกวนเมือง
เขาคืออนาคตของการเปลี่ยนแปลง เขาต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดี
เขาก็ต้องการอนาคตที่ดีเหมือนกับปัญญาชน
ดังนั้นความร่วมมือกันเพื่อที่จะทำให้การต่อสู้ของประชาชนประสบความสำเร็จจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ไปคิดเอาว่านี่เป็นแก๊งก่อกวน อยู่ห่าง ๆ กันจะดีกว่า โอเค! ห่างกันก็ได้ มันแล้วแต่ แต่ว่าการมีส่วนผสมกลมกลืนและร่วมกันเป็นขบวนใหญ่ ทั้งหมดนี้ยังเป็นขบวนเดียวกันค่ะ ลาไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ.