เจ้าหน้าที่แอมเนสตี้เข้าพบตำรวจตามหมายเรียกหลังโดนแจ้งข้อหา
กรณีร่วมเสวนา "คืน-ยุติธรรม"หน้าทำเนียบฯ ย้ำเรียกร้องให้รัฐไทยทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง ไม่ใช่ทำให้ประชาชนหวาดกลัว โดยการคุมคามเพียงเพราะออกมาสะท้อนปัญหาบ้านเมือง
วันที่ (4 ส.ค. 64) ที่สน.นางเลิ้ง น.ส.ภัทรานิษฐ์ เยาดำ เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชนพร้อมพวกอีก 4 คน เดินทางเข้าพบพนักงงานสอบสวนหลังถูกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาจากกิจกรรม "คืน-ยุติธรรม" เพื่อรำลึกถึงผู้ถูกบังคับให้สูญหาย เนื่องในวาระครบ 1 ปี 1 เดือน การหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีมวลชนและตัวแทนจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมมอบดอกไม้ให้กำลังใจ
นางปิยนุช โคตรสาร ตัวแทน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ประเด็นที่พูดในวันนั้น เป็นเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ ทุกคนไม่ควรถูกดำเนินคดีเพียงแค่ประชาชนลุกขึ้นมาพูดในเรื่องของสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ารัฐพยายามที่จะใช้กฎหมายปิดปากประชาชน วันนี้จึงอยากมาให้กำลังใจ และแสดงออกให้รัฐเห็นว่ากฎหมายไม่สามารถปิดปากพวกเราได้
อีกทั้งสิ่งที่ผู้ถูกตั้งข้อหาพูดบนเวทีในวันนั้นก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ควรมีและเป็นสิ่งที่ถูกต้องร่วมถึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยมีพันธะกรณีในเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือปฏิญญาสากล ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้อยตามกับสิ่งที่รัฐบาลไทยเคยให้พันธะกรณีไว้
ทั้งนี้ต้องถามกับทางรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำอยู่ว่ามันเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับพันธะกรณีที่เคยให้ไว้หรือไม่ ทางองค์กรยังเน้นย้ำเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง ไม่ใช่ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว โดยการทำร้ายหรือคุมคามเพียงเพราะเขาออกมาสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองตอนนี้
เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาให้รับทราบ และจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แอมเนสตี้ #กฎหมายปิดปาก
ประมวลภาพ