วิเคราะห์ม็อบ
7 สิงหา และชะตาของประยุทธ์
ฟัง
ธิดา ถาวรเศรษฐ เทียบบทเรียนในอดีตและก้าวต่อไปของพลังนักศึกษา
มติชนสุดสัปดาห์
คุยกับ ธิดา ถาวรเศรษฐ
เผยแพร่เมื่อ
9 สิงหาคม 2564
...
ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องมาใช้ความรุนแรงขนาดนี้
เพราะว่าทุกอย่างอยู่ในมือ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ กองทัพ องค์กรอิสระ
มันอยู่ในมือหมด ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องใช้ความรุนแรง!
ประเด็น : ถอดบทเรียน 7สิงหา และ “ความน่าเป็นห่วง”
มองในแง่มุมของผู้รักษาอำนาจ
อาจารย์ก็มองว่าเขาทำไม่ถูก คือมันเป็นผลเสียกับเขา เพราะว่าความรุนแรงมันต้องมีการถูกตีกลับด้วยความรุนแรง
ดังที่อาจารย์ได้เคยพูดแล้วว่า ขณะนี้เขาไม่ประเมินให้ถูกว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ที่มาก็ไม่ถูก บริหารก็ผิดพลาด ประชาชนทนได้ยังไง จนกระทั่งอยู่ได้นานขนาดนี้
เรียกว่าเขาโชคดีมากนะ โชคดีมาก ๆ
เพราะว่าฝ่ายประชาชนนั้นคิดแล้วคิดอีก
ไม่อยากให้มีความสูญเสียแบบที่เคยสูญเสียครั้งหลังของคนเสื้อแดง
เพราะงั้นเราจะเห็นว่าแม้กระทั่งเยาวชนปัจจุบัน เขาก็เอาบทเรียนอันนั้น
เพราะเขารู้ว่าฝั่งฝ่ายอำนาจนิยมอนุรักษ์นิยมโหดร้าย
ทีนี้เขาอยู่ในอำนาจ
เขามีอำนาจมากแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องมาใช้ความรุนแรงขนาดนี้
เพราะว่าทุกอย่างอยู่ในมือ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ กองทัพ องค์กรอิสระ
มันอยู่ในมือหมด ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องใช้ความรุนแรง!
อาจารย์มองอย่างนี้ว่า
สำหรับเขาคิดผิดที่ทำแบบนี้ เพราะว่ามันให้กับประชาชนซึ่งอดทนมานานแล้ว
แล้วผู้ที่เห็นใจเยาวชนและประชาชนก็จะมากขึ้น ดังนั้น
บทเรียนของประชาชนที่ถูกเล่นงานด้วยการปราบปรามนี้ก็จะทำให้เขาระมัดระวัง จริง ๆ
อาจารย์ก็เป็นกังวลมาทุกครั้งเพราะเป็นห่วงเยาวชน
แต่ว่ามาสังเกตดูว่าเขาก็มีวิธีคิดที่เรียกว่ารอบคอบและระมัดระวัง
เพราะงั้นสังเกตดูว่าเขาจะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
เคยมีการแลกเปลี่ยน
แล้วเราก็เคยได้รับฟังแม้กระทั่งเขาพูดสาธารณะทั่วไปแล้วเราเห็นทุกครั้ง
เขาจะยุติการชุมนุมโดยเร็วทุกครั้ง
แล้วก็ยังจะหลงเหลืออยู่บ้างที่มีคนที่ยังรับไม่ได้ก็จะเรียกว่ายังมีลูกหลงอยู่บ้าง
แต่โดยทั่วไปการชุมนุมจะยุติก่อนที่จะมีปัญหา
แล้วอีกอย่างหนึ่ง
ลักษณะที่เขาทำครั้งนี้มันไม่ใช่เป็นการตั้งม็อบแบบถาวรยาวนานแล้วอยู่เป็นเป้านิ่งให้เขามาปราบ
ดังนั้นสิ่งที่ทำมันมีลักษณะกึ่งจรยุทธ์
ก็คือเขาสามารถที่จะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้
ไม่ใช่นั่งแบบเสื้อแดงอยู่กับที่แล้วก็มีการมาล้อมปราบ
ผ่านมาหลายรอบ
อาจารย์ก็คลายความกังวลไปได้ระดับหนึ่งที่กลุ่มแกนนำเยาวชนมีความรอบคอบ ระมัดระวัง
และไม่ต้องการสูญเสีย ไม่ใช่แบบวู่วาม กลายเป็นผู้ใหญ่ คนแก่ ที่ทำไม่ถูก
แต่กลายเป็นว่าเด็กหรือเยาวชนเขามีวิธีคิดที่รอบคอบมากกว่า เราเป็นห่วง แต่เราก็มีความเชื่อมั่นเขามากขึ้น
ๆ เรื่อย ๆ
ประเด็น : มองการใช้กำลัง-อาวุธ และยุทธวิธีของเจ้าหน้าที่
เป็นการแสดงความมุ่งมั่น
ก็คือว่าตัวฝั่งรัฐบาลอยากจะใช้ความรุนแรงที่สุดเท่าที่จะรุนแรงได้
แล้วเราจะเห็นว่าที่มีการออกมาตรา 29 ออกมา ที่พยายามจะปิดปากสื่อ แล้วในนี้เขียนว่าพูดเพื่อให้คนกลัว
โดยไม่ได้บอกว่าแม้จะเป็นเรื่องจริง นี่ยกตัวอย่าง
แปลว่าเตรียมเอาไว้แล้วว่าจะเล่นงานสื่อ
ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์หรือสื่อหลักที่ออกมาขยายผลของการต่อสู้ พูดง่าย ๆ
ว่าเขาต้องการจะปราบเงียบ ๆ เก็บเงียบ ไม่ให้มีใครออกมาบอก แต่ว่าก็ยังโชคดีที่ว่ามีการคุ้มครองว่าเขาทำอย่างนี้ไม่ได้
แต่หมายความว่าอะไร
หมายความว่าเขาเตรียมในการที่จะไม่ยอมลงจากอำนาจ จะรักษาอำนาจไว้เต็มที่
แล้วตั้งใจจะปราบปรามอย่างเต็มที่ แน่นอน อาจจะไม่เอาทหารออกมา
แต่อย่าลืมว่ากลุ่มเยาวชนและประชาชนไม่มีอาวุธ เมื่อไม่มีอาวุธ คุณแค่มีกระสุนยาง
มีแก๊สน้ำตา แล้วก็แก๊สพริกไทย มีกระบอง แค่นี้มันก็หนักหนาแล้ว
เพราะเยาวชนอย่างมากก็มีสี สาดสีให้
แสดงว่าเขามุ่งมั่นที่จะปราบปราม
แล้วถามว่าเขาอยากให้เยาวชนใช้ความรุนแรงมั้ย อาจารย์ว่าเขาอยากนะ
แต่เผอิญเขาไม่เล่นด้วย เพราะว่าถ้าแม้นฝ่ายประชาชนหรือเยาวชนมีอาวุธ
แม้จะเป็นอาวุธเล็กน้อยอะไรก็ตาม มันก็จะเป็นชนวนสาเหตุให้เกิดปราบปราม
ใช้ความรุนแรงอ้างเอา แบบที่ไปอ้างคนเสื้อแดงว่ามีคนมีอาวุธ 500 คน ไม่มี! ถ้าเป็นนักข่าวที่อยู่ในยุคนั้นจะรู้ว่านอนอยู่ในเต็นท์เดียวกัน
ถ้ามีกองกำลังอาวุธก็คงเห็น นี่ยกตัวอย่าง
ดังนั้น
เยาวชนเหล่านี้เขาจึงยืนหยัดในเรื่องของการไม่มีอาวุธ อย่างมากเขาก็มีสาดสี
หรือว่ามีบางคนอาจจะเป็นอะไรที่คุมไม่ได้ มีพลุ อะไรทำนองนั้น
เพราะฉะนั้นอาจารย์เชื่อว่าเขาจะมั่นคงในเรื่องสันติวิธี
เพราะว่าถ้ามีพลาดแม้แต่น้อย โดนจัดการ
เพราะในฝั่งของรัฐบาลพร้อมเสมอที่จะใช้ความเหี้ยมโหดและความรุนแรง
เพราะว่าเขาต้องการให้มีความรุนแรงตอบ เพราะเขาเชื่อว่ากำลังของเขานั้นมากกว่า
แล้วจะจัดการได้
ประเด็น : การเปลี่ยนจุดหมาย อ้าง “แกงหม้อใหญ่”
แกนนำรุ่นใหม่ฉลาด
เก็บรับบทเรียนจากในอดีต เช่นคุณจะไปชุมนุมยืดเยื้อเป็นฐานที่มั่นในเมืองให้เขาล้อมปราบก็ไม่ได้
คุณจะมีส่วนที่ทำให้ไปเกิดใส่ความว่าใช้ความรุนแรงก็ไม่ได้
นอกจากนั้นยังมียุทธวิธี “ยืดหยุ่น”
แน่นอนว่าฟังดูน่ากลัวตอนแรกที่เขาบอกว่าเขาจะไปในสถานที่พระบรมมหาราชวัง
ทุกคนก็กลัวหมด แต่ว่าในความเป็นจริงก็ปรากฎว่าจะตั้งใจแกงแต่ต้นหรือเปล่า
อาจารย์ไม่รู้นะ หรือว่ามาปรับยุทธวิธี
นั่นก็คือแปลว่าเขามีแผนหลายแผน
แล้วพร้อมที่จะยืดหยุ่นถ้าเจอปัญหา
เพราะเราจะเห็นความหน้าแตกของรัฐบาลที่เที่ยวเอาคอนเทนเนอร์ ตอนนี้ก็เอารถน้ำมัน
ไปเที่ยวอยู่เต็มไปหมดเลยทุกที่ แล้วเขาก็ไม่ได้ไปสักทีตามนั้น
นี่ก็เรียกว่ายังดีที่แกนนำเยาวชนเขามีความยืดหยุ่น
แล้วก็มีกลยุทธ์ในการที่จะโยนหินถามทางแล้วก็ไปอีกทางหนึ่งทำนองนี้นะ
เพราะฉะนั้นก็พูดตรง ๆ ว่ามันคงไม่ง่ายสำหรับรัฐบาลนี้ที่จะประมือกับประชาชนต่อไป
ทั้ง ๆ ที่ขณะนี้คุณมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุณมีเรื่องโควิด
แต่ว่าการต่อสู้ของประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ยังเกิดขึ้นได้
อาจารย์มองว่านับจากนี้ไป
ทั้งวิกฤตโควิด วิกฤตเศรษฐกิจ แล้วก็วิกฤตการเมือง
มันจะเกิดวิกฤตในการที่เสื่อมศรัทธา วิกฤตศรัทธาของรัฐบาลชุดนี้
แล้วมันจะมีคนมาเข้าร่วมส่วนอยู่มาก เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าที่คุณเอาคนดีเข้ามา
เอาคนไม่โกงกินเข้ามา แต่ตอนนี้ยังไม่ยอมเปิดบัญชีทรัพย์สินนะ นี่ยกตัวอย่างนะ
คุณยืมนาฬิกาเพื่อนก็ได้ โอเค อันนั้นก็ยกไป
แต่ฝีมือในการที่นำพาประเทศชาติกับประชาชนให้รอดพ้นหายนะ
มันเป็นที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นฝั่งสลิ่ม ฝั่งจารีต หรือฝั่งก้าวหน้าเห็นแล้วว่ามันไปไม่รอด
รวมทั้งในเวทีโลกด้วย
ดังนั้น
วิกฤตศรัทธาตัวนี้มันก็จะมากขึ้น ดังนั้น อาจารย์มองว่าวิกฤตศรัทธามันจะขยายตัวมาก
ไปในเวทีทั้งต่างจังหวัด ไปในทั้งฝ่ายพลเรือน
แม้กระทั่งฝ่ายกองทัพหรือฝ่ายพรรคการเมือง หรือฝั่งฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายตุลาการ
คือคนที่พอมีความคิดเขาจะมองได้เลยว่า เอ๊ะ! บริหารยังไงผ่านมาตั้ง 7 ปีแล้ว
ต่อเนื่องมายาวนาน แล้วประเทศเสียหายขนาดนี้
ขณะนี้คุณฟื้นตัวเศรษฐกิจนี่คุณที่โหล่เลย อยู่ในอันดับร้อยกว่า
แล้วในโควิดนี่คุณมีความโชคดีในตอนต้น แต่ความเย่อหยิงอวดดีแล้วก็ความผิดพลาดจำนวนมาก
แล้วยังจะนิรโทษคนซื้อวัคซีน นี่ยกตัวอย่างเป็นต้น
มันชัดเจนในสายตาคนทุกฝ่าย
แม้กระทั่งคนที่เป็นฝั่งอนุรักษ์นิยม ถ้าพอมีสติอยู่บ้าง
ก็จะยอมรับการดำรงอยู่ของรัฐบาลชุดนี้ต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ฉะนั้น
วิกฤตศรัทธานี้มันมีแต่จะมากขึ้น คุณปราบแล้วคุณจัดการกับแกนนำเยาวชน แต่จริง ๆ
วิกฤตศรัทธามันไปทั่วทั้งประเทศแล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะจับแกนนำไปขัง
คุณจะล็อคกลุ่มแกนนำเยาวชนเหล่านี้ แล้วคุณคิดว่าคุณแก้ปัญหาได้เหรอ มันไม่ใช่
ในความคิดของอาจารย์ กระทั่งจับเขาขัง มันยิ่งทำให้คนโกรธ
เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง
มันไม่ใช่เรื่องใส่ความ
มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกับที่ศาลออกมาบอกว่าจะห้ามสื่อไม่ให้พูด
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง คือห้ามได้ว่าขยายเรื่องเท็จ แต่ว่าถ้าพูดเรื่องจริง
คุณจะไปจัดการเขาไม่ได้ บัดนี้มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
เพราะฉะนั้น
อาจารย์มองว่ามันจะเกิดการร่วมกันของทุกฝ่ายที่ไม่อยากเห็นหายนะประเทศมากกว่านี้
นี่มันน่าจะเป็นอนาคตของรัฐบาลนี้นะ
เพราะงั้นถ้าถามว่าอาจารย์กังวลในส่วนของเยาวชนมั้ย กลุ่มแกนนำนะ
อาจารย์ไม่ได้กังวลมาก เพราะอาจารย์คิดว่าเขามีความคิดที่ยืดหยุ่น แล้วก็เก็บรับบทเรียนความผิดพลาดในอดีตมาพอควร
แม้นอาจจะไม่ได้ทำได้ดีดังใจตามที่พวกเขาคิดก็ตาม แต่ว่ามันก็
สำหรับในทัศนะอาจารย์นะซึ่งเป็นคนรุ่นเก่านะก็มองว่า โอเค ก็มีมากแล้ว
แล้วก็เขาป้องกันความเสียหาย และสำหรับพวกเขาเหมือนเขายอมพลีชีพ
อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องสรรเสริญ
อาจารย์มองว่าไม่น่ากังวลนะ อนาคตนี่ดี ถ้าเป็นห่วงก็คือส่วนตัวสำหรับกลุ่มแกนนำ!