วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

สมยศ-เบนจา-ณัฐชนน ปฏิเสธดูหมิ่นศาล นัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 9 ส.ค.นี้ เผยพรุ่งนี้จะเดินขบวนไปทำเนียบ จัดเปิดท้ายขายของ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยันเป็นสิทธิเสรีภาพประชาชน

 


สมยศ-เบนจา-ณัฐชนน ปฏิเสธดูหมิ่นศาล นัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 9 ส.ค.นี้ เผยพรุ่งนี้จะเดินขบวนไปทำเนียบ จัดเปิดท้ายขายของ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยันเป็นสิทธิเสรีภาพประชาชน


วันนี้ (1 ก.ค. 64) ที่ศาลอาญาถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย คดี หมายเลขดำ อ.1522/2564 พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณัฐชนน ไพโรจน์, น.ส.เบนจา อะปัญ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำและแนวร่วมม็อบราษฎร รวม 3 คน ความผิดฐาน ร่วมกันดูหมิ่นศาล หรือผู้พิพากษาในการพิจารณา, ร่วมกันมั่วสุม ตั้งแต่ 10 ขึ้นไปกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและเมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิก แต่ผู้กระทำไม่เลิกมั่วสุม ร่วมกันชุมนุมหรือจัดกิจกรรมที่แออัดเกินกว่า 20 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดและอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคติดต่อ และร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-3 ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา


โดยคำร้องระบุพฤติการณ์ว่า กรณีวันที่ 30 เม.ย.2564 มีผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม 200-300 คน รวมตัวหน้าศาลอาญา โดยใช้เครื่องกระจายเสียงโดยรถยนต์และตะโกนโจมตีการทำงานของศาลอาญาเพื่อกดดันให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัว นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ กับพวกแกนนำม็อบ 7 คน ในความผิดหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 โดยจำเลยที่ 1-3 เข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมดังกล่าวอันเป็นการชุมนุมทำกิจกรรมมั่วสุม สถานที่แออัด อันมีโอกาสติดต่อสัมผัสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกำหนด จำเลยที่ 1-3 กับพวกไม่ได้จำกัดทางเข้า-ออก ในการร่วมกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองและไม่จัดให้ผู้เข้าร่วมสวมหน้ากากอนามัย และไม่จัดให้มีการเว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่จัดให้จุดบริการเจลแอลกอฮอล์ เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์เข้าไปดูแล ในการป้องกันการแพร่ระบาดเป็นการฝ่าฝืนประกาศของ กทม. มาตรการควบคุมบูรณาการการจัดกิจกรรมเสี่ยงแพร่โรคไวรัสโควิด-19 จนต้องมีการขออนุญาตโดยยื่นแผนการจัดงานและมาตรการคุมโรคต่อสำนักงานอนามัย กทม. ภายหลังจำเลยร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1-3 ได้มั่วสุม ตั้งแต่ 10 คน กระทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันมั่วสุมจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โกนผม เผารูปผู้พิพากษา ประมวลกฎหมายอาญา และดอกไม้จันทน์ และกระดาษผู้มีรายชื่อเรียกร้องให้ศาลปล่อยชั่วคราว พร้อมติดป้ายขนาดใหญ่ ข้อความว่าปล่อยเพื่อนเรา และพ่นสีบนกำแพงศาลอาญา ด้วยถ้อยคำหยาบคาบ มีวัตถุประสงค์เพื่อตำหนิกดดัน ขู่เข็ญ ผู้พิพากษาหรือศาลเพื่อปล่อยตัวจำเลย ซึ่งเป็นแกนนำอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลเพื่อให้ผู้ชุมนุมเคลือบแคลงสงสัย เกลียดชัง และความน่าเชื่อถือ หรือศรัทธาในการใช้ดุลยพินิจของศาล ก่อกวนการทำงานด้านในรั้วของศาล อันเป็นที่ทำการซึ่งมีข้อกำหนดในการปฏิบัติตัว ส่งผลกระทบต่อการจราจร เดือดร้อนวุ่นวายประชาชน และยังดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี


โดยท้ายคำฟ้อง จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอื่นของศาลอาญา หากศาลพิพากษาจำคุก จำเลยที่ 1 และ 3 ในคดีนี้ ขอให้นับโทษต่อในคดีอื่นด้วย โดยก่อนคดีนี้ จำเลยที่ 3 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 11 ปี ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และได้พ้นโทษคดีแล้ว เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 61 แต่จำเลยที่ 3 กลับมากระทำความผิดในคดีนี้ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่พ้นโทษ จำเลยมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่ใช่ความผิดคดีประมาท ขอให้เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ของโทษในคดีนี้


สำหรับในวันนี้ นายสมยศ, นายณัฐชนน และน.ส.เบนจา จำเลยทั้ง 3 คนเดินทางมาศาลโดยพร้อมเพรียง

  

นายสมยศ​ เปิดเผยว่า​ ในวันนี้ศาลได้นัดหมายมาสอบคำให้การและฟังคำสั่งฟ้องในคดี​ ​ ซึ่งมั่นใจว่าการขึ้นปราศรัย​ของตนเองในวันที่ 30 เมษายนนั้นเป็นการพูดแสดงความคิดเห็น​และเป็นการร่วมกิจกรรมบริเวณด้านหน้าศาลนอกเวลาทำการและไม่ได้เข้ามาทำกิจกรรมภายในศาล​ ดังนั้นอยากให้ศาลเข้าใจว่า การที่ตนเองและพวกออกมาจัดกิจกรรม​เป็นการต่อสู้เพื่อประเทศชาติ​ ในการเรียกร้องประชาธิปไตย​และเสรีภาพ​ และเป็นการแก้ไขปัญหา​ต่าง ๆ ในประเทศ​ให้ดีขึ้น​ อีกทั้งเชื่อว่าที่ตนเองถูกฟ้องในคดีนี้เป็นการกลั่นแกล้ง​ผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองจากรัฐบาล​ ดังนั้นยืนยันว่าตนเองมีเจตนา​บริสุทธิ์​และไม่มีเจตนา​ที่จะดูหมิ่นศาล​ จึงมั่นใจว่าว่าสุดท้ายศาลจะมีคำสั่งยกฟ้อง​ 


ขณะที่นายณัฐชนน เปิดเผยถึงการชุมนุมในวันพรุ่งนี้ (2 ก.ค. 64) ว่าจะมีการนัดหมายของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาตร์และการนัดชุมนุมที่แยกอุรุพงษ์และเดินขบวนต่อไปยังทำรัฐบาลตั้งแต่ 16.00 - 22.00 ซึ่งกิจกรรมในวันพรุ่งนี้จะเป็นการนัดรวมกลุ่ม เพื่อให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการที่ได้รับผลกระทบ จากการทำงานของรัฐบาล มาเปิดร้านขายของเพื่อกระตุ้นเศษฐกิจ อย่างไรก็ตามการชุมนุมดังกล่าวไม่ได้มีการขออนุญาต เพราะมองว่าการชุมนุมเป็นสิทธิพื้นฐานที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ


ด้านนางสาวเบนจากล่าวว่า การชุมนุมในวันพรุ่งนี้จะเป็นการชุมนุมด้วยสันติวิธี ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่มาควบคุมดูแล และจะบานปลายไปจนถึงเหตุกระทบกระทั่งกันหรือไม่นั้น ยืนยันว่าที่ผ่านมาเหตุการณ์ความรุนแรงไม่เคยเริ่มจากกลุ่มผู้ชุมนุมก่อน และหากมีการปิดกั้นเส้นทาง ก็จะชุมนุมต่อเท่าที่สามารถทำได้


อย่างไรก็ตามศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธขอสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 9 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์