‘ธิดา’ ถาม ทำไมซื้อวัคซีนเพียงบริษัทเดียว คุณกำลังเดิมพันชีวิตประชาชนและอนาคตประเทศไทย
กับผลประโยชน์เรื่อง “วัคซีน” หรือเปล่า?
ยูดีดีนิวส์
: เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 63 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวถึงเฟซบุ๊คไลฟ์ครั้งที่แล้วที่ตนแสดงความเห็นต่อหน่วยงานความมั่นคงนั้น
อ.ธิดาให้เหตุผลเพราะมองว่าการที่มีการตั้งศูนย์ศบค. แทนที่จะเป็นการบริหารโดยกระทรวงสาธารณสุขอย่างเดียวและรัฐบาล
กลับมีหน่วยงานความมั่นคง รวมทั้งรัฐมนตรีกลาโหมด้วย เข้ามาอยู่ในหน่วยงานนี้
(มีทั้งชุดใหญ่และชุดเล็ก) และมีการใช้กฎหมายพิเศษ
ดังนั้น หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็นเป้าแรกที่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง ซึ่งที่จริงเป้าสำคัญจริง ๆ ก็คือ “นายกรัฐมนตรี” เพราะในฐานะ “ผู้นำ” ต้องรู้ว่าเวลาไหนจะให้หน่วยงานไหนมีบทบาทอย่างไร และเมื่อเอามาร่วมกันผู้ที่มีความสามารถในการเป็นผู้นำจะรู้ทันทีเลยว่าต้องการความร่วมมือ เช่น หน่วยงานความมั่นคง กองทัพ ตำรวจตระเวนชายแดน หรือกระทรวงมหาดไทย ซึ่งบัดนี้ทั้งกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานความมั่นคงก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปหมดภายใต้ กอ.รมน. ด้วย
อ.ธิดากล่าวว่า
ดิฉันก็พุ่งเป้าและมองเห็นว่าประเทศไทยล้มเหลวในงานความมั่นคง
ในขณะที่โลกเป็นโลกาภิวัตน์ ประเทศไทยไม่พร้อม ประเทศไทยพร้อมอย่างเดียวก็คือจัดการกับคนภายในประเทศ
อันนี้เป็นวิธีคิดแบบจารีตนิยม
อำนาจนิยมเก่าแก่ยิ่งกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยซ้ำ
วันนี้ดิฉันก็จะเข้ามาสู่ประเด็นสำคัญปัญหาเฉพาะหน้า
การแบ่งโซนดิฉันก็เข้าใจ
เขาไม่ต้องการจะให้มีการล็อคดาวน์ แต่แน่นอนการประสานงานระหว่างสาธารณสุข, มหาดไทย
และศบค. คงไม่ดีพอ ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สมุทรสาครจะไม่เกิดขึ้นเลย
นอกจากความมั่นคงตามชายแดนแล้ว ความมั่นคงก็ต้องเข้ามาสู่ ณ
จุดที่มีแรงงานพม่า/แรงงานต่างชาติที่เข้ามาอยู่หนาแน่น วิธีคิดต้องเป็นวิธีคิดที่ระมัดระวังว่ามันอาจจะเกิดขึ้น
ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ซึ่งวิธีคิด “ตัดไฟแต่ต้นลม”
อันเนื่องมาจากภายนอกเป็นวิธีคิดที่ประเทศไทยทำไม่เป็น กลายเป็นโหมไฟมากกว่า อ.ธิดากล่าว
มาตอนสุดท้ายของการทำเฟซบุ๊กไลฟ์ครั้งที่แล้วดิฉันพูดถึงเรื่องวัคซีน
เพราะว่าอันนี้มันต้องเป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีจากปัจจุบันไปจนยาว
(ต้องเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่และยาว) ดิฉันให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ฉะนั้นที่ดิฉันจะพูดก็คือ
“การจัดหาวัคซีนโควิดของประเทศไทยที่ยังไม่มีอนาคต”
อ.ธิดากล่าวว่า
ดิฉันไม่ไปเทียบกับสหรัฐอเมริกาหรือประเทศตะวันตก แต่ดิฉันจะเปรียบเทียบกับประเทศในอาเชียน
โดยเฉพาะสิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ เพราะเราอยู่ในกลุ่มนี้
สิงคโปร์อาจจะรวยกว่าเรา
แต่อย่างไรก็ตามบทเรียนของสิงคโปร์ในการแก้ปัญหาการติดเชื้อโควิดระลอกสองอันเนื่องมาจากแรงงานต่างประเทศที่เข้าไปทำงานในสิงคโปร์
ทั้งสาธารณสุขและหน่วยงานความมั่นคงของไทยไม่มองเขาเป็นแบบอย่าง
มัวแต่ภาคภูมิใจในความสำเร็จและคิดเอาว่าเราคงสุดยอดแบบที่นายกฯ ชอบคุยโม้โอ้อวด
สุดยอด ประเทศไทยเก่ง ใคร ๆ ก็ชมว่าประเทศไทยแก้ปัญหาโควิดได้อย่างยอดเยี่ยม
คือหลงระเริงจนกระทั่งสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ที่สุดในพม่า และโดยเฉพาะในสิงคโปร์
กลับไม่เอามาใช้เป็นบทเรียน ทีนี้ก็ต้องมาตามแก้ปัญหา
ในทัศนะดิฉันไม่อยากจะไปพูดถึงโรงพยาบาลสนามหรือเอาลวดหนามหีบเพลงไปเที่ยวกั้นแล้วแรงงานพม่าก็หนีออกมา
ความผิดพลาดก่อนหน้านั้นที่รุนแรงที่สุดก็คือตอนที่เราเริ่มมีการคลายล็อคดาวน์
ประชาชนเริ่มอยู่กันอย่างปกติ ต้องการแรงงานมาก ปรากฏว่าไม่เอาเขาเข้ามาตามระบบ
ทำไมคุณไม่เตรียมว่าแรงงานที่หายไป ด้วยความคิดโง่ ๆ
ว่าให้เขาออกไปก่อนแล้วเข้ามาจดทะเบียนใหม่ แล้วตอนเข้าใหม่
คือมันผิดตั้งแต่รอบแรกแล้วว่าเอาเขาออกไปทำไม คุณก็ต่อทะเบียนในประเทศซิ
พอเวลาเขาออกไปแล้วเมื่อเข้ามาคุณก็มีการกักตัว 14 วัน ปรากฏว่าไม่มีที่
ปล่อยจนกระทั่ง 5-6 หมื่นคนเข้ามาในประเทศ (เดินเท้าบ้าง ลงเรือบ้าง)
มาถึงตอนนี้ดิฉันบอกได้เลยว่าสาเหตุนอกจากความผิดพลาดของหน่วยงานความมั่นคง
และความหยิ่งผยองของรัฐบาล (คิดว่าตัวเองเก่ง สุดยอด) มองไม่เห็นเลยว่าปัญหาที่สำคัญถัดมาก็คือการใช้วัคซีนซึ่งเป็นวิถีทางเดียวที่จะแก้ปัญหา
ในขณะนี้เขาฉีดกันแล้วในต่างประเทศ
เพราะโรคที่เกิดจากไวรัสมันไม่มียาอะไรที่จะทำให้เขาหายหรือกำจัดไปได้ในโลกนี้
มีแต่วัคซีนอย่างเดียว
ที่ผ่านมาโรคติดเชื้อหลายอย่างที่หมดไปจากโลกก็คือได้วัคซีน
หรือโรคเก่าแก่ไม่ว่าจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า โรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ทั้งหลาย เด็ก ๆ
ฉีด MMR มีคางทูม มีหัด พวกฝีดาษอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ใช้วัคซีนทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นวัคซีนเป็นอาวุธที่สำคัญประการเดียวที่สามารถจัดการโรคนี้ได้อย่างถาวร
ถ้ามีการกลายพันธุ์ก็อาจจะมีการปรับไปอีก ดังนั้น
ยุทธศาสตร์การใช้วัคซีนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งและเป็นเรื่องด่วน!
ขณะนี้ดิฉันอยากจะเปรียบเทียบประเทศสิงคโปร์ มีคนเสียชีวิตน้อยกว่าเรา
29 คน แต่ผู้ติดเชื้อสะสมร่วม 58,304 ความคืบหน้าก็คือวันจันทร์ที่ 21 ธ.ค.
ที่ผ่านมาสิงคโปร์ได้รับวัคซีนชุดแรกและเป็นประเทศแรกในเอเชีย
ซึ่งเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดย Pfizer (เยอรมัน) และ BioNTech (สหรัฐอเมริกา) อันเดียวกันกับที่ฉีดในสหรัฐอเมริกา
นี่เป็นวัคซีนชุดแรกที่มีการฉีด มีประสิทธิภาพร้อยละ 95
คณะผู้เชี่ยวชาญของสิงคโปร์เขาต้องการให้ครอบคลุมทุกคนที่ต้องการฉีดในไตรมาส
3 ของปี 2564 คือฉีดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ้นปี 2564 ให้ฟรีสำหรับชาวสิงคโปร์ทุกคน
ฟังให้ดีนะ! ไอ้ที่เอางบไปล้างผลาญไปแจกบ้าแจกบอ
แต่นี่ของสิงคโปร์เขาเอามาใช้บริการฟรีแก่ชาวสิงคโปร์ทุกคนและผู้ที่อาศัยอยู่ระยะยาว
หมายความว่าคนที่เป็นแรงงานต่างด้าวก็ได้รับการฉีดฟรีเช่นกัน
งบประมาณในการจัดสรรชุดแรก 2.2 หมื่นล้านบาท นี่เป็นรูปธรรม
การซื้อวัคซีนของสิงคโปร์เขาซื้อวัคซีนจาก
3 บริษัท คือ Moderna,
Pfizer และ Sinovac
เวลาเราซื้อเราต้องซื้อจากหลายที่เพราะว่าขณะที่เซ็นสัญญาซื้อก็ไม่รู้ว่าบริษัทไหนได้มาก่อน
อันนี้เป็นวิธีคิดของเขา (สิงคโปร์)
มันไม่เหมือนประเทศไทยที่มีความเย่อหยิ่งซื้อบริษัทเดียว ไม่เข้าใจ!
ก็คิดว่าคนไทยก็คงไม่ตายกันหรอกอะไรประมาณนี้ คือหมอไทยเก่งมาก เพราะงั้นประเทศไทยก็กล้ามากที่ซื้อบริษัทเดียว
มาดูมาเลเซีย ด้านความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19
มาเลเซียได้ทำข้อตกลงกับ Pfizer
ในการจัดหาวัคซีนโควิด-10 เป็นจำนวน 12.8 ล้านโดส และ
ล่าสุดได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีน COVID-19 จาก AstraZeneca
จำนวน 6.4 ล้านโดส นอกจากนี้
รัฐบาลมาเลเซียกำลังเจรจาขั้นสุดท้ายกับ ซิโนวัค ผู้ผลิตวัคซีนจากจีน รวมถึงสถาบัน
Gamaleya ของรัสเซีย
เพราะฉะนั้น
มาเลเซียเขาไม่วางใจ เขาไม่เก่งมากหรือกล้ามากแบบประเทศไทย ก็คือซื้อ 4-5
ประเทศเลย ก็คือ 1) ไม่รู้ใครเสร็จก่อน 2) ไม่รู้ว่าประสิทธิภาพของใครดีกว่า 3)
ยังมีปัญหาการขนส่ง เรายอมรับว่าของ Pfizer
มันต้องเก็บอุณหภูมิถึงขนาด -70 ของ AstraZeneca เก็บที่อุณหภูมิ
-20 แต่ก็มีของบริษัทอื่นที่อยู่ในห้องเย็นด้วย คำถามก็คือทำไมไทยซื้อจากบริษัทเดียว
ถ้าดูมาเลเซีย
ปรากฎว่าเขาตั้งใจว่าเขาจะซื้อวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรมากกว่าร้อยละ 80 ภายในปี 2564
ส่วนของไทย
สั่งซื้อวัคซีน AstraZeneca ที่ 26 ล้านโดส อ้างว่าจะจัดหาจากผู้ผลิตอื่น ๆ ซึ่งยังไม่มีการเซ็นสัญญา
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ AstraZeneca
ขณะนี้ยังไม่มีผลิตผลที่จะใช้ได้ อีกอันหนึ่งก็คือมีประสิทธิภาพร้อยละ 70
ในขณะที่ของบริษัทอื่นร้อยละ 94.5 หรือร้อยละ 95
อย่างสหรัฐอเมริกานี่เขาซื้อ
800 ล้านโดส จาก AstraZeneca,
Pfizer, Sonofi (ของฝรั่งเศส), Moderna, Novavax, และ Johnson & Johnson
ฟิลิปปินส์ ก็ซื้อของ Moderna Moderna และ Arcturus
therapeutics
อินโดนีเซีย โดยวัคซีนนี้จะถูกจัดสรรแก่ชาวอินโดนีเซียโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เขาซื้อวัคซีนจาก Pfizer,
AstraZeneca และ COVAX ที่สำคัญคือวัคซีนชุดแรกเป็นของบริษัทซิโนวัค
ไบโอเทค จากประเทศจีน จะได้ร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมด แจกฟรีเหมือนกัน
ที่สำคัญเขาซื้อจากจีน เข้าใจว่าเขาจะได้เร็ว ๆ นี้ ดิฉันก็ไม่เข้าใจทำไมเราเป็นเพื่อนซี้กับจีน ทำไมไม่ซื้อวัคซีนของจีน อย่างน้อยที่สุดเอามาประกบกับ AstraZeneca ก็ยังดี
ที่ดิฉันจะตั้งข้อสังเกตส่งท้ายก็คือ
เราทำสัญญากับ AstraZeneca
เป็นสัญญาที่มีการเซ็นในเดือนต.ค.พร้อมกับรัฐมนตรีของเราด้วย กระทรวงสาธารณสุขไทยกับ
AstraZeneca บริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน พร้อมทั้งสยามไบโอไซเอนซ์
เอสซีจี ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19
AZD1222 ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดกำลังวิจัยอยู่
ตรงนี้ไม่มีปัญหา
แต่ดิฉันเลยสงสัยเอาว่าเพราะอย่างนี้หรือเปล่าเลยทำให้คุณซื้อจาก AstraZeneca เพียงบริษัทเดียว เพราะอาจจะมีข้อดี
ก็คือเขาสนับสนุนให้มีการผลิตในประเทศ
ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย
ซึ่งพวกเราก็รู้ว่าบริษัทปูนซีเมนต์ไทยนั้นมีพลานุภาพขนาดไหน
เมื่อเป็นอย่างนี้ดิฉันก็ยังอยากจะใช้คำพูดว่า
“เรายังไม่มีอนาคต” เพราะยังไม่รู้เลยว่า AstraZeneca ขณะนี้ยังมีปัญหาเลยว่าฉีด
2 เข็ม เข็มแรกและเข็มที่สอง ทำไมได้ผล 70% บางคนก็บอกว่าถ้าฉีดเข็มแรกครึ่งโดสได้ผลดีกว่า
บางคนก็บอกว่าขณะนี้กำลังตกลงว่าเอาเข็มที่สองโดยเอา Sputnik
จากรัสเซียมาฉีดผสมเข้าไป ดังนั้น ยังไม่มีอนาคต!
คำถามว่า
เราเก่งมายังไงคุณถึงกล้าซื้อวัคซีนประเทศเดียว คุณไม่เข้าใจความเสี่ยง
แล้วใครที่เป็นคนเสี่ยง ประเทศไทยซิคะ
คนในประเทศซึ่งจะต้องมาอยู่ในความเสี่ยงของการที่จะเจ็บป่วยทั้งระยะยาวและเรื้อรังโดยที่เรายังไม่มีอนาคตเรื่องของวัคซีน
มันก็ทำให้คิดไปว่ามันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ทำไมคุณซื้อเจ้าเดียว
ประเทศไหน ๆ ก็ไม่มีใครเขาซื้อเจ้าเดียว เพราะเขาไม่รู้มันจะใช้ได้ไหม
ถ้ามันมีปัญหาเขาก็จะได้เอาวัคซีนจากประเทศอื่นที่เอามาเผื่อสำรอง
แล้วเงินที่ใช้
คุณกู้เงินเพื่อที่จะเอามาใช้ในโควิดเป็นจำนวนมาก เงินหมดแล้วหรือยัง
เอาไปใช้อะไรหมด ขนาดว่าจะทำที่พักให้แรงงานพม่าก็ยังทำไม่ได้
เพราะอ้างว่าไม่มีงบที่จะต้องไปกักตามชายแดน 14 วัน
ดิฉันคิดว่าคุณทำผิดพลาดประการแรกในการวางแผนป้องกันเชื้อจากภายนอกประเทศ
คุณทำผิดพลาดมามากพอควรแล้ว ไม่ว่าจะมาทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ คุณวางแผนผิด
จากนั้นการที่คุณปล่อยให้มีชุมชนของคนที่มีความเสี่ยง
(โดยไม่ได้รับบทเรียนจากสิงคโปร์) นี่ก็เป็นความผิดพลาดยิ่งใหญ่ประการที่สอง
ก็คือคุณต้องเข้ามาตรวจ
ความผิดพลาดประการที่สามคือคุณไม่ทำการรุกในการตรวจสอบกลุ่มเสี่ยงโดยใช้
Rapid
Test อื่น ๆ ก็ได้ ใช้วิธีเจาะเลือดก็ได้ น้ำลายก็ได้
ทำได้ตั้งเยอะแยะ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ CPR แยงจมูกทุกคน
แล้วสมมุติถ้าใช้มันคุ้มกว่าไหม คือป้องกันเสียก่อนที่จะมีเหตุลุกลาม
เข้าใจวิธีคิดแบบนี้ไหมว่า “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”
และประการสุดท้ายคือ
“วัคซีน” ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก
สิ่งที่ดิฉันเรียกร้องก็คือคุณต้องเตรียมจัดซื้อวัคซีนให้เพียงพอในการแจกฟรีให้กับประชาชนไทยทุกคน
และต้องเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพ แล้วส่วนหนึ่งต้องทำทันที ไม่ใช่รอจนกว่าบริษัท AstraZeneca จะบรรลุ หรือไม่ใช่รอจนกว่า สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี ของเครือปูนฯ
ทำการได้สำเร็จ
แล้วขณะนี้อีกส่วนหนึ่งคุณไปทิ้งเขา ในประเทศไทยไม่ใช่มีแต่ สยามไบโอไซเอนซ์ นะ ในส่วนของ รพ.จุฬา กับคณะเภสัช จุฬาฯ อาจารย์คณะเภสัช จุฬาฯ เป็นคนวิจัยและสามารถใช้ใบยาสูบเป็นแหล่งในการที่จะทำให้เกิดวัคซีนใช้ได้เป็นจำนวนมาก ได้ผล เขากำลังเรี่ยไรเงินขอคนไทยคนละ 500 บาท 1 ล้านคน ถามว่ารัฐบาลอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ช่วย แล้วคุณเอาเงินไปทำอะไรหมด?
เพราะฉะนั้น
คุณผิดพลาดมาเยอะแล้ว มัวหลงระเริง ก็คือ สามารถควบคุมได้ และคนไทยให้ความร่วมมือ
เพราะว่าหมอและอสม.ไทยเอาใจใส่ มีคุณภาพ แต่รัฐบาล, หน่วยงานความมั่นคง และท็อป ๆ
ในกระทรวงนั้นอาจจะเย่อหยิ่งเกินไป จนกระทั่งไม่ดูบทเรียน การมาระบาดรอบสอง
ที่สำคัญที่สุดจะมีระบาดรอบสองหรือไม่ คุณก็ต้องซื้อวัคซีน นี่ระบาดรอบสองแบบนี้มันอาจจะมีอีก
มันไม่ได้มีแค่นี้นะ โรคพวกนี้พอถึงเวลามันก็กลับมาอีก มันก็เกิดขึ้นได้
ตัวที่จะจัดการได้เด็ดขาดก็คือวัคซีน
ถ้าคุณไม่มียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในการซื้อวัคซีน
แก้ปัญหาปัจจุบันและแก้ปัญหาระยะยาว
เอาเรื่องเหล่านี้ไปผูกพันกับผลประโยชน์ของใครก็ไม่รู้
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นความเศร้าประเทศไทย เพราะว่าวัคซีนยังไม่มีอนาคต
นั่นหมายความว่าเราก็จะมีระบาดได้อีกหลายรอบ แล้วประเทศไทยจะก้าวข้ามความยากลำบาก
เรายากลำบากเรื่องการเมืองซึ่งเป็นความยากลำบากสูงสุด
เรายากลำบากเรื่องของเศรษฐกิจและเรื่องของการติดเชื้อ
ความยากลำบากเรื่องติดเชื้อนี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้าและจะอยู่กับเรายาว เพราะฉะนั้น
ถ้าทั้งการเมืองและเรื่องเชื้อโรคพวกนี้ไม่ได้แก้ ดิฉันมองไม่เห็นเลยว่าปีหน้า
2564 มันจะเป็นปีที่ดีของประเทศไทย
ทำตั้งแต่วันนี้ อย่าหลงระเริงและกล้ามากจนเกินไปนะคะ เพราะว่าคุณกำลังเดิมพันชีวิตประชาชนไทย อนาคตประเทศไทย กับผลประโยชน์เรื่องวัคซีนหรือเปล่า ทิ้งท้ายไว้ค่ะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด