ธิดา ถาวรเศรษฐ : ข้อดีสำหรับสังคมไทยจากการขับเคลื่อนของเยาวชน
ยูดีดีนิวส์ : 1
ธ.ค. 63 ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ วานนี้ (30 พ.ย. 63)
ได้มีการสนทนาผ่านการทำเฟซบุ๊กไลฟ์ในประเด็นที่น่าสนใจสำหรับสังคมไทยขณะนี้
ซึ่งอ.ธิดาได้มาสนทนาในประเด็น
“ข้อดีสำหรับสังคมไทยจากการขับเคลื่อนของเยาวชน”
อ.ธิดากล่าวว่า อาจจะมีคำถามว่า มีแต่ข้อดีหรือยังไง?
ดิฉันก็ยังไม่เห็นข้อเสียเลย แต่ถ้าใครคิดว่ามีข้อเสียก็มีคอมเม้นท์มาได้
แน่นอนว่าเหรียญมีสองด้าน แต่ในทัศนะของดิฉัน เอาผลประโยชน์ของสังคมไทย ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวนะคะ
แน่นอนผลประโยชน์ส่วนตัวคือมีข้อเสียก็คืออาจจะเป็นไปได้ว่ากลุ่มเยาวชนและผู้ขับเคลื่อนอาจจะถูกจำกัดบทบาท
ถูกจับกุมคุมขัง อาจจะต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แต่ดิฉันมองสำหรับ “สังคมไทยโดยรวม”
ดิฉันมีความเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ดี
สำหรับดิฉันคิดว่ามีข้อดีมากมาย
ประการแรกเลยเป็นข้อดีที่ว่า
สังคมไทยได้มีโอกาสรับรู้ปัญหาและข้อเสนอของกลุ่มคนต่าง ๆ มากมาย
เพราะการขับเคลื่อนของเยาวชนไทยเที่ยวนี้ได้มีการเปิดพื้นที่อย่างกว้างขวางสำหรับคนทุกแบบ
ตั้งแต่ปัญหาของการศึกษาในโรงเรียน การใช้อำนาจนิยมในโรงเรียน การสอนที่ล้าหลัง
เราจะใส่เครื่องแบบดีไหม? มีปัญหาตรงไหน? การตัดผม
หรือแม้กระทั่งการที่ครูทำอนาจารเด็ก หรือครูใช้อำนาจกับนักเรียน พูดง่าย ๆ
ว่ากระทั่งเด็กมัธยมต้นก็นำมาเสนอ
ข้อเสนอของเขาเหล่านี้จะแก้ได้หรือไม่ จะมีการแก้แค่ไหน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง สำหรับดิฉันการแก้ปัญหาที่นำเสนอทุกอย่างมันขึ้นกับการเมือง
ถ้าคุณแก้ปัญหาการเมืองได้มันก็จะแก้ปัญหาอื่น ๆ ได้ด้วย นั่นก็คือการเมืองต้องเป็นการเมืองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ มีความเท่าเทียมกัน
ดังนั้นไม่ว่ารัฐจะลงโทษผู้ขับเคลื่อนอย่างไร
แต่กลุ่มเยาวชนเหล่านี้และผู้ร่วมกันเป็นพันธมิตรได้มีการเปิดประเทศนี้ให้มีเสรีภาพอย่างกว้างขวาง
นั่นก็คือเขายอมรับความเสี่ยง แต่เปิดพื้นที่ให้คนต่าง ๆ เด็ก ผู้ด้อยโอกาส
ได้มาใช้พื้นที่นี้ในการนำเสนอปัญหา
ดิฉันไม่เคยคิดว่าเด็กเยาวชนจะมาพูดในที่สาธารณะที่ถูกครูทำอนาจาร
เขากล้าที่จะนำปัญหามาเสนอ แล้วมันก็ทำให้เห็นด้วยว่าสังคมไทยของฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังกลับมาเล่นงานเด็กต่อ
แทนที่ตัวเองจะเรียนรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นผู้เสียสละ
ดิฉันไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่ค้าประเวณีออกมาขอให้มีการยกเลิกที่ทำให้การค้าประเวณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
รวมทั้งปัญหาของคนที่มีความหลากหลายทางเพศต้องการนำเสนอพระราชบัญญัติต่าง ๆ
ที่ออกมาแล้วควรจะต้องมีการแก้ไข
แน่นอน! ปัญหาชาวนา ปัญหากรรมกร
เป็นสิ่งที่มีการนำเสนออยู่แล้ว และรัฐก็พยายามที่จะเอาอกเอาใจ
ไม่ว่าจะเป็นการทำประกันรายได้ หรือการแจกเงินฟรี โครงการคนละครึ่งอะไรสารพัด
แต่สิ่งทีเกิดขึ้นแบบนั้นเป็นลักษณะการสงเคราะห์ ไม่ใช่ลักษณะการสร้างอำนาจของประชาชน
แต่สิ่งที่เยาวชนขับเคลื่อนเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนเล็กคนน้อยที่อยู่ในมุมมืดต่าง
ๆ สามารถนำเสนอปัญหาของตัวเองออกมาได้ ดิฉันถือว่านี่เป็นคุณูปการ
พวกผู้ใหญ่ใจแคบ ผู้ใหญ่จารีต
จะวิจารณ์อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเป็นคนที่มีสติสักหน่อย
ก็จะได้ใช้โอกาสนี้เข้าใจแล้วก็ลองสดับตรับฟังปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
อะไรที่ตัวเองทำเป็นไม่เห็นก็จะได้รู้ เพราะเขานำเสนอในที่สาธารณะ
เพราะฉะนั้น เขาจะไปถึงไหน? ไม่รู้! แต่อย่างน้อยที่สุดมันได้เปิดพื้นที่กว้างขวางให้คนออกมาพูดจากมุมมืดในฐานะผู้ถูกกระทำได้
มันสร้างความกล้าหาญให้กับคนในทุกส่วน และนำเสนอปัญหาอย่างที่ไม่เกรงว่าจะต้องถูกต่อต้านจากสังคม
การทำให้ประชาชนกล้าพูด กล้าแสดงออก ดิฉันถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก
และเป็นคุณูปการของสังคมไทย ทำให้สังคมไทยคนทุกฝ่ายได้มาเรียนรู้
มันขึ้นอยู่กับระดับของจิตใจที่เปิดกว้างรับฟังหรือเปล่า? และได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า?
ประการที่หนึ่ง การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายออกมานำเสนอปัญหา
ประการที่สอง การปลุกให้มีความกล้ามาแสดงออก
ประการที่สาม คือเอาเรื่องในมุมมืดตั้งแต่ในโรงเรียนมาจนกระทั่งเรื่องราวที่สังคมไทยไม่ค่อยรับรู้
อันได้แก่เรื่องที่ขณะนี้มีการถกเถียงกันอื้อฉาวและเป็นที่ทราบกัน แม้กระทั่งวันก่อนที่เขาไปธนาคารไทยพาณิย์ SCB (เพราะว่าไปสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไม่ได้)
นั่นก็คือเรื่องราวของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เดิมมีทั้ง “ฝ่ายพระมหากษัตริย์”
มีทั้ง “ส่วนพระมหากษัตริย์” แล้วก็ “ส่วนพระองค์” เรื่องเหล่านี้ก็ถูกนำมาถกเถียง
เวทีดีเบตในทีวีนั้น
ทีวีก็ทำให้กลายเป็นที่ดีเบตได้ ถ้าไม่มีการขับเคลื่อนของเยาวชน
ถามว่าจะมีนักวิชาการหรือมีใครไปนั่นพูดเรื่องสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในทีวี
และก็กลายเป็นรายการที่ได้รับความนิยมชมชื่น มีคนเข้าไปดูมากมาย นอกจากนั้นก็มีการวิพากษ์วิจารณ์
อย่างในกรณีนี้ดิฉันถือว่าเป็นเรื่องขุมแห่งความรู้ใหม่ที่ถูกเปิดขึ้นโดยการขับเคลื่อนของเยาวชน
สำหรับเรื่องนี้มีเรื่องราวมากมาย
ตัวดิฉันเองติดตามเรื่องของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มานานแล้ว
ในฐานะที่ดิฉันพยายามจะมีความเข้าใจเรื่องของสังคมไทย การวิเคราะห์สังคมไทย ฉะนั้นในการวิเคราะห์สังคมไทยก็ต้องเข้าใจพัฒนาการทุนนิยมในประเทศไทย
พัฒนาการของการเมืองในประเทศไทย และการเกิดขึ้น ดำรงอยู่
หรือเสื่อมทรุดของระบอบการเมืองการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ดังนั้นเรื่องของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็กลายมาเป็นเรื่องที่เอามาพูดทุกวันนี้
ดิฉันจำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปี 2549
อาจารย์พอพันธุ์ อุยยานนท์ เป็นอาจารย์ที่รามคำแหง
ทำงานวิจัยเรื่องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ดิฉันงงมาก!
แต่ก็ไปฟังที่จุฬาฯ ทุกครั้งที่อาจารย์พรีเซนต์
เพราะว่าได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ด้วย
หลังรัฐประหารดิฉันก็พยายามจะให้อาจารย์พอพันธุ์มาพูดคุยเป็นเวทีสัมมนา
อาจารย์ก็ปฏิเสธทุกครั้ง
เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุยกันในวงเล็ก
เวทีอภิปรายก็ไม่มี เวทีในทีวียิ่งไม่ต้องพูดถึง สื่อก็ไม่ได้มีใครพูดถึง
ก็มีหนังสือของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันบ้าง ศิลปวัฒนธรรม (บางตอน) บ้าง
จากอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (มีการโต้แย้งกัน) มันเป็นวงแคบมาก
ตรงนี้คือคุณูปการของการขับเคลื่อนของเยาวชน ทำให้เรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ในมุมมืด
จะเป็นของผู้หญิงผู้ค้าประเวณีไปจนกระทั่งถึงเรื่องราวของพระมหากษัตริย์
มุมมืดทั้งหมดถูกนำมาตีแผ่ แล้วท่านว่ามันไม่ดีตรงไหน? มันดีสุด ๆ เลย
เพราะว่าในทัศนะของดิฉัน ไม่มีอะไรดีเท่าความจริงและความรู้
มิฉะนั้นบรรยากาศของสังคมไทยจะถูกครอบงำด้วยความเท็จ การบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายที่ต้องการอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และเมื่อฝ่ายใดใช้ความรุนแรงครองอำนาจได้ ก็จะเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ลักษณะที่บิดเบือน
ใช้เฮดสปีดวาทกรรมชั่วร้ายกดทับฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ของตน ซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง
เหล่านี้จึงทำให้การเรียนในโรงเรียน
การเรียนในมหาวิทยาลัย ตำราต่าง ๆ สื่อสิ่งพิมพ์
ไม่สามารถที่จะเอาความจริงของประเทศไทยออกมาเปิดเผยได้
และทั้งหมดนี้ก็คือกระบวนการในการสร้างเยาวชน
เมื่อเขาพบว่าเขามีความรู้ใหม่จากการที่มีนักวิชาการรุ่นใหม่ที่น่าภาคภูมิใจ
ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล, อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อาจารย์ณัฐพล ใจจริง,
อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กระทั่งคนรุ่นหลังอย่างเช่น อาจารย์พวงทอง
ภวัครพันธุ์ ต้องขอบคุณว่านักวิชาการทำหน้าที่นักวิชาการของประชาชน คนเหล่านี้ได้เปิดให้เยาวชนได้เห็นว่าที่เขาเรียนมาในโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยนั้นมันไม่ใช่!
ในทัศนะของดิฉัน ถ้าเป็นต่างประเทศก็เหมือนเป็นยุค Enlightenment คือยุคที่สว่างไสว สิ่งที่อยู่ในมุมมืดนั้นถูกไฟส่องเข้าไปแล้วมันไปปรากฏอยู่บนเวที
บนทีวี ในม็อบซึ่งมีการถ่ายทอดอยู่ตลอด
ในมุมของดิฉัน
ดิฉันไม่ลงในรายละเอียดนะคะว่าหลายคนอาจจะไม่พอใจวิธีการพูด การปราศรัย หรือเนื้อหาบางตอน
แต่นั่นคนพูดเขาก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาพูด เขาต้องเสี่ยงกับคุก ตะราง
เขากำลังเอาความชอบธรรมและความจริงที่เขาต้องการนำเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยมาสู้กับความชอบด้วยกฎหมาของฝ่ายที่มีอำนาจ
มันเป็นความรับผิดชอบของเขา
แต่ดิฉันมองในฐานะผลประโยชน์ของสังคม
ดิฉันว่านี่เป็นยุคของความสว่างไสว
และเป็นข้อดีระหว่างความชอบธรรมกับการชอบด้วยกฎหมายของผู้มีอำนาจ ดิฉันคิดว่าผู้ที่เอามาทำให้มีการเปิดเผยเหล่านี้
มันเหมือนเยาวชนเหล่านั้นเขาพลีชีพแล้ว แล้วลองคิดดูว่าเยาวชนเหล่านี้มีจำนวนเท่าไหร่
แปลว่าปักใจ ปักหลักสู้ แม้นรู้ว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ตาม
นี่ก็คือแบบอย่างลักษณะนักต่อสู้ที่เรียกว่ากล้าต่อสู้กล้าเสียสละ
แต่ทั้งหมดนี้มันต้องอยู่บนฐานของความรู้
และสิ่งที่สำคัญก่อนที่ประเทศนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้
ต้องทำให้สังคมไทยส่วนใหญ่ไม่มี “มุมมืด” สว่างไสว เอาเรื่องออกมาให้รู้
และสังคมก็จะตัดสินเองว่าจะไปทางไหน แต่ที่ผ่านมามันถูกกดทับ ถูกปกปิด
มีแต่ด้านโฆษณา มีแต่ด้านดีงามของฝ่ายอำนาจนิยม จารีตนิยม
เพื่อความชอบธรรมในการปกครอง แต่เมื่อมันมากเกินไปก็เลยสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ขึ้นมา
เมื่อกี้ที่พูดประการแรกนั้นความจริงแยกเป็นย่อยได้หลายประการ
แต่เราพูดรวมกันนั่นก็คือ การทำให้เกิดความสว่างไสวและเปิดพื้นที่ให้กว้างขวาง
สร้างองค์ความรู้ใหม่ให้แก่ประชาชนไทย
แต่ในประเด็นที่สองอีกอันหนึ่ง
ดิฉันคิดว่าสำคัญมากก็คือ เยาวชนเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการต่อสู้โดยพลีชีวิตด้วย “สันติวิธี”
และลักษณะสร้างสรรค์เป็นอย่างไร เราจะเห็นว่าเขามีความเป็นเอกภาพ
ขนาดนักเรียนอาชีวะที่เป็นการ์ดก็เป็นเอกภาพ คือการต่อสู้ต้อง “สันติวิธี”
ไม่มีอาวุธ มีแต่เครื่องป้องกัน เช่น หมวก แว่นตา แล้วก็เป็ด (ซึ่งกลายเป็นนายพลเป็ดไปแล้ว)
เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนของเยาวชนในครั้งนี้มีคุณูปการ
มีข้อดีอย่างมาก เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า “สันติวิธี” นี่แหละก็จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้
แล้ว “สันติวิธี” ด้วยเยาวชนดูเผิน ๆ ว่าการต่อสู้ด้วย “สันติวิธี” หน่อมแน้ม
แต่ดิฉันคิดว่าการต่อสู้ “สันติวิธี” เป็นการต่อสู้ที่กล้าหาญที่สุดและเข้มแข็งที่สุด
คือมือเปล่า มีลักษณะสร้างสรรค์ คนโง่ก็ต้องเข้าใจว่าแบกเป็ดมา จะเอาไปรบเหรอ?
ถ้าจะไปรบแล้วแบกเป็ดมาทำไม? แบกการ์ตูนมาทำไมให้มันเมื่อย? ก็เอาอย่างอื่นไปซิ
แต่นี่ไม่ใช่!
เขาเอาการ์ตูนมาสารพัด
ก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจเที่ยวเอารถ
เอาตู้คอนเทนเนอร์ เอาลวดหนามหีบเพลง เขาทำให้เห็นตั้งหลายครั้งแล้วว่าเขา “สันติวิธี”
แต่ด้วยความที่ผู้ใหญ่อำนาจนิยม ไม่รู้จักคำว่า “สันติวิธี” ตัวเองรู้จักแต่การปราบปราม
เข่นฆ่า จับกุม เลยไม่รู้จักว่า “สันติวิธี” นั้นเป็นอย่างไร นี่เด็กสอน! สอนแล้วยังไม่เข้าใจ!
ผ่านมาตั้งหลายครั้งยังไม่เรียนรู้ เพราะใจตัวเองไม่มีสันติอยู่ในหัวใจ...หรือเปล่า?
คิดแต่จะจับ ใช้กฎหมายทุกมาตรา ใช้อาวุธไม่ได้เพราะไม่มีความชอบธรรม
เขาไม่มีอะไรมา แต่ถามว่าอยากใช้อาวุธไหม คงอยากใช้ตัวสั่นเลย ทำอย่างไร?
ก็เอาตู้คอนเทนเนอร์ เอาสารพัด จนเป็นที่หัวเราะเยาะเย้ยว่าเป็น “แลนด์ออฟคอนเทนเนอร์”
ยังไม่พอที่กรมทหารราบที่
1 ก็ยังอุตส่าห์ไปทำแบบเดิม แบบที่ไปป้องกันสำนักงานทรัพย์สินฯ
ตอนไปสำนักงานทรัพย์สินฯ คุณไปปกป้องอะไร ปกป้องตึกที่ไม่มีคน
มาถึงตอนนี้คุณจะไปปกป้องอะไร บ้านนายพล แล้วคุณคิดว่าพวกนี้เขาจะบุกเข้าไปอย่างนั้นหรือ?
จะบุกเข้าไปบ้านพล.อ.ประยุทธ์ บ้านพล.อ.ประวิตร เขาจะไปหรือ เขาไม่ทำหรอก
คุณไม่รู้จักว่า “สันติวิธี” คืออะไร?
เด็กเยาวชนเขาสอนให้รู้ว่า
เขาต้องการและมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ใครจะว่าเขาทะลุเพดานหรืออะไรก็ตามแต่
แต่ว่าเขาใช้ “สันติวิธี” และนี่เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจ
คนที่ควรจะเข้าใจมีทั้งฟากฝ่ายประชาชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟากฝ่ายที่ต้องการปราบปรามประชาชน
เพราะในหมู่ประชาชนก่อนหน้านี้ก็มีบางคนอาจจะเชื่อว่าเลือดต้องล้างด้วยเลือดประมาณนั้น
มันก็มีแต่เลือดนองตลอด แต่ดังที่ดิฉันบอกว่าการต่อสู้ “สันติวิธี” จริง ๆ
แล้วเป็นความกล้าหาญและรุนแรงที่สุดที่มนุษย์จะทำได้ ไม่ใช่การใช้อาวุธ
และนี่เป็นคุณูปการที่จะทำให้สังคมไทยเข้าใจว่าเราขับเคลื่อนไปได้
เราก้าวหน้าไปได้ เราเปลี่ยนแปลงไปได้โดยไม่ต้องใช้วิธีเลือดล้างด้วยเลือด
ไม่จำเป็นต้องจับกุมคุมขัง สู้กันด้วยข้อมูลองค์ความรู้
นี่เป็นคุณูปการที่ดิฉันชื่นชมมาก ดิฉันยังมองไม่เห็นข้อเสียของการขับเคลื่อน
บางคนบอกรถติด แล้วเป็นไง มันต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลหรือนักศึกษาที่ทำให้รถติด
พูดให้ถึงที่สุดก็คือใครโง่ใครฉลาดกว่านั่นแหละ
และเมื่อเป็นเช่นนี้มันจะยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าสังคมไทยต้องการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ
และควรจะเป็นสังคมที่ใช้ความรู้ ใช้เหตุผล ใช้สติปัญญา
ไม่ใช่ใช้อารมณ์และผลประโยชน์ ไม่ใช่ใช้ความกราดเกรี้ยวและความอาฆาตพยาบาท
ยิ่งนักศึกษาประชาชนทำเท่าไหร่ และยิ่งฝั่งจารีตอำนาจนิยมแสดงความโกรธแค้นมากมายยิ่งแย่!
สำหรับการดีเบตในเวทีทีวีของคุณจอมขวัญดิฉันฝากก่อนที่จะจบว่า
มันไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะว่ามันไม่ใช่อยู่เฉพาะบนเวทีทีวี มันออกมาอยู่ในหน้าสื่อเต็มไปหมด
ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี อีกอย่างก็คือเยาวชนที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำขับเคลื่อนเขาไม่ใช่นักวิชาการ
เขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปจับผิดนักวิชาการ
แต่นักวิชาการที่ออกมาพูดนั้นต้องรับผิดชอบนะว่าสิ่งที่พูดนั้นตัวเองพูดความจริงและถูกต้อง
ถ้าเมื่อมีคนสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่คุณพูด ถ้าผิดคุณก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
แต่ความรับผิดชอบในการจับผิดนักวิชาการไม่ใช่หน้าที่ของเยาวชนผู้ขับเคลื่อน
เขาต้องไปในทิศทางที่ถูก เมื่อเขาตกผลึกแล้วเขาต้องเดินหน้า เขาไม่มาทะเลาะกับพวกนักวิชาการที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม
ดิฉันก็คิดว่ากลุ่มนักวิชาการทั้งหลายก็สามารถที่จะพูดคุยให้ความรู้และต่อสู้กันในเวทีของวงวิชาการได้ ดิฉันก็คิดว่านี่เป็นยุคเวลาที่รู้สึกว่าประเทศไทยสว่างไสว ดิฉันคิดว่าไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้า สำเร็จหรือเปล่า แต่ถ้ามีการเปิด “มุมมืด” ฉายไฟในที่มืดของประเทศไทยทุกจุด นี่ก็คุ้มค่าแล้วค่ะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด