แลไปข้างหน้ากับ
ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.94
ประเด็น
: ภาพจำ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ” ในสายตาประชาชน
สวัสดีค่ะ
วันนี้ก็ออกมาไลฟ์ข้างนอกนะคะ เพราะว่าทำพรีเมียร์ครั้งที่แล้วก็ไม่ได้ผล
เรามาคุยกันบรรยากาศสด ๆ กันดีกว่านะคะ สัปดาห์ที่แล้วดิฉันไม่ได้ทำ
ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กไลฟ์ หรือว่าการทำคลิปวีดีโอ
แต่ว่าดิฉันได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องที่หลายท่านยังไม่ได้อ่านก็อยากให้กลับไปดู
ซึ่งได้ปักหมุดอยู่ในเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
ดิฉันเขียนมันไม่ได้เป็นเพราะตัวดิฉันเอง
แต่ว่าดิฉันเขียนเพื่อที่จะให้เป็นบทเรียนของคนรุ่นใหม่ว่า
บางครั้งคนรุ่นเก่าหลายอย่างก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
ไม่อยากจะให้ตัวอย่างที่ไม่ดีนั้นจะเป็นอะไรที่คนอาจจะคิดว่าดี
สำหรับดิฉันเชื่ออย่างนั้นว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี นั่นก็คือ
การที่คนที่มีระดับพูดอะไรโดยที่ไม่ได้มีพื้นฐานของการหาข้อมูลเพียงพอ
อันนั้นก็ยังไม่เป็นไร แต่มันต้องดูเป้าหมายในการพูดว่าพูดเพื่ออะไร
พูดเพื่อขยายมิตร ในหมู่มิตร หรือว่าทำให้มิตรกลายเป็นศัตรู
สำหรับดิฉันคำขวัญก็คือว่า “ขยายมิตรเพื่อพิชิตศัตรูประชาชน”
เพราะว่าถ้าคนที่เคยทำงานแนวร่วมของประชาชนเราก็จะมีหลักการ
“แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง” ก็คือ เราไม่ไปสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในความแตกต่างเราใช้จูงใจ
แต่ว่าเราจะไปบังคับให้ทุกคนคิดและทำแบบเราประหนึ่งเราเป็นศาสนานั้นไม่ได้!
อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
เพราะว่ามันไม่ใช่ไม่ดีสำหรับตัวดิฉัน แต่มันไม่ดีสำหรับขบวนทั้งหมด
และอยากให้ดูเป็นกรณีตัวอย่าง เพราะว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาของการขยายเฟกนิวส์
หรือการดสิเครดิตมิตรด้วยกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีในภาพรวม ก็ให้ตามไปดู
สำหรับวันนี้ที่ดิฉันจะคุยก็คือเรื่อง
ภาพจำ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ” ในสายตาประชาชน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่เราเห็นกัน
ดิฉันเชื่อว่าหลายคนได้มีการวิจารณ์กันในหลายแบบ
ดิฉันเองก็ขอชมเชยฝ่ายค้านซึ่งพยายามทำหน้าที่อย่างดี และนี่เป็นตัวอย่างที่ดีนะ
นั่นก็คือการแบ่งงานกันทำ แต่ละคนพูดในสิ่งที่ถนัด ไม่ได้มีการดิสเครดิตกันเองว่าพรรคนั้นพูดไม่ได้ความเลย
พรรคนี้พูดไม่ได้ความเลย ดิฉันคิดว่าความเป็นผู้ใหญ่
ความมีจิตใจของการขยายแนวร่วมมีมากขึ้น แน่นอน!
บางคนอาจจะชอบของฝ่ายค้านบางท่าน บางคนอาจจะชอบบางพรรค
แต่ว่าเราต้องเข้าใจว่ามันทำไม่ได้ที่จะให้ทำแบบเดียวกัน
และมันกลับเป็นเรื่องที่ดี และนี่คือขบวนการของฝ่ายเสรีประชาธิปไตย เราไม่จำเป็นว่าจะต้องทำแบบเดียวกันหมด
และถ้าทำแบบเดียวกันหมดหรือพูดในเรื่องใกล้เคียงกันหมด พลังมันก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น
ในยามที่เราต้องต่อสู้กับปีกของฝ่ายเผด็จการจารีตนิยม
ซึ่งมีเครือข่ายกว้างขวางมากมาย แน่นอนมันต้องมีจุดอ่อนเยอะ
แล้วก็มีการแตกขั้วในหมู่ฝั่งพวกเขาเอง ดังนั้น ฝ่ายค้านที่ต่างคนต่างแยกกันทำงาน
ประสานการต่อสู้ในแนวรบด้านรัฐสภาด้วยกันครั้งนี้ดิฉันต้องขอชมเชย หลายพรรคทำได้ดี
แม้กระทั่งพรรคเล็ก ๆ เราบางคนอาจจะถูกใจในบางเรื่อง
บางคนอาจจะถูกใจในเรื่องเหมืองทองอัครา บางคนก็อาจจะถูกใจ ส.ส.เบญจา บางคนถูกใจ
ส.ส.อมรัตน์ บางคนถูกใจ ส.ส.โรม หรือบางคนก็ถูกใจ คุณสุทิน คลังแสง หรือว่า
ส.ส.เพื่อไทยอื่น ๆ เพราะว่าเราก็พบว่ามันต้องมีความจำกัด
เพราะว่าส.ส.เพื่อไทยทั้งหมดเป็นส.ส.เขต มีภารกิจในพื้นที่อยู่แล้ว
ภารกิจในพื้นที่มันก็จะทำให้มีความจำกัดในข้อมูลในด้านการค้นคว้า
และด้วยเรื่องอายุและประสบการณ์ในพื้นที่มากกว่าในข้อมูลข่าวสาร
เพราะฉะนั้นพยายามทำได้ขนาดนี้ก็ต้องถือว่าดีพอควร
แต่นั่นหมายความว่าพรรคเพื่อไทยก็ต้องมีทีมงานด้านข้อมูลที่แข็งแกร่งเพื่อมาช่วยส.ส.เขต
ส่วนพรรคก้าวไกล แน่นอนก็ทำงานได้ดีเกือบจะหมดทุกคน
สิ่งที่เราจะพูดกันในวันนี้ก็คือ
ภาพจำ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ” ในสายตาประชาชน ดิฉันก็จะขอพูดเรื่อง “ภาพจำ”
ที่สำคัญก่อน
ภาพจำที่สำคัญก็คือภาพ
พล.อ.ประวิตร ชี้ไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ ผมไม่เกี่ยว คนนี้ทำรัฐประหาร และภาพ
พล.อ.ประยุทธ์ ชูมือแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ผมนี่แหละพระเอกคนเดียวประมาณนั้น
อันนี้เป็นภาพที่ดิฉันคิดว่า ประชาชนไทยทั้งประเทศและแม้กระทั่งนักข่าวต่างประเทศ
ก็เอาภาพนี้และข่าวนี้ไปลง ภาพจำอันนี้มันเป็นภาพสุดยอด!
เป็นภาพสุดยอดที่แสดงให้เห็นถึงผลึกความคิดของคนทำรัฐประหารไทย
ของนายพลเอกที่ทำรัฐประหารไทย ของนายพลเอกที่ร่วมในยุทธการรุมยิงนกในกรงปี 53
และแม้กระทั่งปี 52
ของนายพลเอกที่เป็นผู้บัญชาการทหารบกในสมัยซึ่งมีนายกรัฐมนตรีผู้หญิงที่มาจากการเลือกตั้ง
แล้วทำรัฐประหาร แล้วทำการเขียนรัฐธรรมนูญปลอม ๆ จนกระทั่งทำการเลือกตั้ง
สร้างกติกาจนตัวเองได้เป็นนายกฯ มาบัดนี้ 8 ปี กำลังจะครบกำหนด
แต่ก็คงจะอยู่อย่างนี้
ภาพจำอันนี้
ภาพอันนี้เป็นภาพสุดยอด สุดยอดของสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้
แปลว่าอะไร? ถ้าคนสมัยโบราณเขาจะเปรียบคนเป็นบัว 4 เหล่า 4 ชั้น ก็โผล่พ้นออกมา
หมายถึงทางปัญญา ชั้นล่างสุดก็อยู่ใต้โคลนเป็นอาหารเต่าปูปลา
แต่ดิฉันไม่อยากจะคิดเป็นบัวด้วยซ้ำ น่าจะเป็นได้แค่โคลนตมหรืออะไรประมาณนั้น
เพราะว่าแม้กระทั่งท่านพยายามมบอกว่าท่านมีสมอง 84,000 เซลล์ พูดผิดไป ๆ มา ๆ เป็น
840,000 ล้านเซลล์ ก็ผิดอีก ดิฉันว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสมอง ตอนนี้นะ
โอเค..ท่านจะมีสมองเท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่มันเป็นเรื่องของรูปการณ์จิตสำนึก
ในสภาเราพูดถึงเรื่องจริยธรรม
คนนี้มีภรรยาแล้วก็ยังยกย่องอีกคนขึ้นมา ทำได้ยังไงผิดจริยธรรม
แล้วถ้ามาดูภาพอันนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์
ยกมือขึ้นแล้วยิ้มหวานประมาณว่าผมเองที่ทำรัฐประหาร ผมคือพระเอก
แต่ท่านใช้คำว่าปฏิวัตินะ ซึ่งเป็นการใช้ผิด ๆ ในหมู่สังคมไทยมายาวนาน
ดิฉันพยายามจะพูดเท่าไหร่ ถามคนเสื้อแดงซิ เขาเรียกถูกนะ เขาเรียกรัฐประหาร
ออกมาก็คือต่อต้านรัฐประหาร ไม่มีใครพูดว่าออกมาต่อต้านการปฏิวัติ
เพราะว่าชาวบ้านเขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นคือการรัฐประหาร ไม่ใช่การปฏิวัติ
แต่นายพลเอกทั้งหลายเรียกการปฏิวัติหมด เริ่มตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์
คิดว่าการทำรัฐประหารเป็นเรื่องโก้ จึงเลือกใช้คำโก้ ๆ คำว่า Revolution หรือ ปฏิวัติ นั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบ จากล้าหลังไปเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นระบอบใหม่
ก้าวไปข้างหน้า ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติที่ฝรั่งเศส
การปฏิวัติที่ไหน ๆ คำว่าปฏิวัติต้องทำโดยประชาชนที่ก้าวหน้า
แต่ที่ทหารมายึดอำนาจนี่แล้วใช้กำลังอาวุธในการจ่อหัว ปิดตา อ.ธิดาก็โดน มัดมือ
คลุมถุงดำพวกแกนนำฝ่ายรัฐบาลทั้งหลายถูกต้อนเอาไปเก็บ ส่วนที่อักษะก็ยิงเปรี้ยง ๆ
ๆ ๆ ประชาชนก็หนีไปส่วนใหญ่แล้ว รู้แล้ว นี่ยกตัวอย่าง คิดว่าเป็นการปฏิวัติเหรอ?
ไม่ใช่! นี่คือการรัฐประหาร และนี่คือการกบฏ
ในฝรั่งเศส
เวลามีคนถาม กษัตริย์ก็จะถามว่าเป็นการกบฏหรือเปล่า? ก็มีคนตอบว่า ไม่ใช่ แต่เป็นการปฏิวัติ
แต่นี่นะ ถ้าไม่ได้รับการรับรองโดยศาล ถ้าไม่ได้รับการรับรองโดยพระมหากษัตริย์
มันก็คือกบฎ! คือกบฏชัด ๆ แต่ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ดังที่ดิฉันได้ไปพูดที่ ICC การตายของคนปี 53 อาจจะไม่มาก แต่มันตายแล้วตายอีก
ตายแล้วตายอีก
มันเหมือนประเทศนี้ประชาชนนี้ถูกคนมีอาวุธฉุดคร่าข่มขืนกระทำชำเราซ้ำแล้วซ้ำอีก
นี่ไม่รู้มีคนคาดว่าหมดเที่ยวนี้ ถ้ามีการเลือกตั้ง เกิดมีแลนด์สไลด์ขึ้นมาจริง ๆ
อาจจะมีการรัฐประหารอีกรอบหนึ่งก็ได้ นี่คือการข่มขืนกระทำชำเรา คำถาม : แล้วมันโก้ตรงไหน?
ดังนั้น
ในทัศนะของดิฉัน คือมนุษย์ทั้งหลายใคร ๆ ก็ทำผิดได้
ความผิดอาจจะเล็กน้อยกระทั่งความผิดยิ่งใหญ่ แต่มนุษย์ด้วยกัน จริง ๆ
เราสามารถให้อภัยกันได้ถ้ามีความสำนึกผิด แต่ดิฉันดูแล้ว นี่ 8 ปี จะเข้า 10 ปี
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสำนึกผิด สำนึกผิดว่าตัวเองได้ทำผิด แต่สำนึกว่าตัวเองทำถูก
ก็เป็นการสำนึกผิดอีกแบบหนึ่ง คิดว่าเป็นพระเอก โก้ ชูมือขึ้นมา
บางคนก็บอกว่าไม่ตลกด้วยแต่เรียกเสียงฮา
เสียงฮา
หมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าคนเห็นด้วยที่มีพระเอกชูมือ
บอกผมนี่แหละคนทำรัฐประหาร ผมนี่แหละคือพระเอก
ดิฉันคิดว่ามันยิ่งกว่าบัวเหล่าสุดท้าย มันยิ่งกว่านั้น ดังนั้น
หมายความว่ามันเกินจะเยียวยา มันเกินกว่าจะให้อภัย เพราะว่าความคิดของตัวเองนั้น
ยังเป็นความคิดที่เหมือนเดิม 10 ปีที่แล้ว 15 ปีที่แล้ว จนมาถึงปัจจุบัน
เอาว่าตั้งแต่ปี 49-50 มาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังคิดเหมือนเดิม คือผมคือพระเอก
ผมคือผู้กู้ชาติ ก็ทะเลาะกันนี่ แตกแยกกันนี่ ผมจึงต้องกระโดดเข้ามา
ไอ้ความสำนึกแบบนี้มันยากเกินที่จะเยียวยา
แล้วก็มันไม่ได้มีคนเดียว
มันมีเครือข่ายมีลูกขุนพลอยพยัก มีคนที่ได้ประโยชน์ คือคนจำนวนหนึ่ง คนชั้นนำเสียประโยชน์จากการมีระบอบประชาธิปไตย
แต่ว่าได้ประโยชน์จากการทำรัฐประหาร การทำรัฐประหารมันจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพราะมีคนชั้นนำจารีตนิยมส่วนหนึ่งได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร
ก็ดูพวกที่เป็นวุฒิสมาชิกซิ บางคนเป็นตั้งแต่รัฐประหารรอบที่แล้ว แล้วก็มาเป็น
สนช. แล้วก็เป็นวุฒิสมาชิก แล้วก็เป็น สนช. แล้วก็มาเป็นวุฒิสมาชิกอีก
ได้เงินเดือนตั้งไม่รู้เป็นสิบ ๆ ล้าน นี่เอาเฉพาะตัวละครที่ลงมาเล่นด้วย
แต่คนที่อยู่เบื้องหลังฉาก
ได้ประโยชน์จากการทำรัฐประหารและเสียประโยชน์จากระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง
เราไม่ได้พูดถึงการปฏิวัตินะ นี่แค่ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่ติดป้ายเอาไว้
กระทั่งการปฏิรูปก็เกิดขึ้นไม่ได้ คือพูดตรง ๆ ว่าระบอบประชาธิปไตย 60% 50% ก็ยังไม่ได้ เอาจนมันเหลือ 1% 2% เท่านั้นแหละ
เหลือไม่ถึง 5% จึงจะพอใจ ก็คือ
อำนาจยังอยู่ในมือของชนชั้นนำจารีตนิยม แล้วไม่อาย
เพราะฉะนั้น
ภาพจำอันนี้มันจะต้องจำไปชั่วลูกชั่วหลาน
ให้มันเป็นประวัติศาสตร์ของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า
ยังสามารถชูมือในเวทีรัฐสภาที่ถ่ายทอดสดทั่วประเทศได้อย่างภาคภูมิใจ
ประมาณว่ากูนี่แหละคนทำรัฐประหาร ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร
ก็กล้าพอที่จะชี้บอกไป เพราะรู้กันอยู่ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจมตี
แต่เป็นเรื่องที่ให้เกียรติกันหรือเปล่า? ว่าอ๋อ...ผมไม่รู้เรื่องหรอก คนนี้! นี่ไม่ใช่ว่า
พล.อ.ประวิตร พูดอย่างโจมตีนะ ไม่ใช่!
แต่กำลังจะบอกว่าพระเอกตัวจริงก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เขา
นี่เป็นภาพจำที่จะเป็นประวัติศาสตร์
แสดงให้เห็นว่านายพลกองทัพไทย ในทัศนะดิฉัน
มีความเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระเอกผู้แสนดีในประวัติศาสตร์
ไม่ใช่คนที่ฉุดคร่าข่มขืนกระทำชำเราประเทศ เขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ
แล้วจะช่วยได้มั้ย? ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าถึงขนาดนี้นั้นแปลว่า เกินเยียวยา!!!
ส่วนภาพจำในด้านของฝั่งฝ่ายค้าน
ดิฉันคิดว่าภาพของส.ส.พรรคก้าวไกลที่คุณเบญจา
ที่ออกมาพูดให้เยาวชนที่ถูกจับกุมคุมขังแล้วไม่ได้รับการประกันตัว
ไม่ได้รับการปล่อยตัว ถูกกระทำอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ขัดกับ ICCPR ขัดกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชน แล้วขัดกับหลักนิติรัฐนิติธรรม มันได้ประกาศให้เห็นว่า
นอกจากกองทัพไทยที่ไม่ยี่หระแล้ว
ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำมาเป็นลำดับ
ก็ไม่ได้ยี่หระว่าเรากำลังอยู่ในเวทีโลก ถือว่าขอให้มีอำนาจซะอย่าง ใคร ๆ
ก็ต้องยอมรับทั้งสิ้น
อันนี้ก็เป็นภาพจำที่น้อง
ๆ ที่อยู่ในเรือนจำได้ปรากฏหน้าตาอยู่ในเวทีรัฐสภาด้วย
นี่เป็นภาพจำที่มันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง มันแสดงให้เห็นถึงจุดยืนคนละอย่าง
ภาพจำของอำนาจนิยมจารีตนิยมที่กระทำต่อเยาวชนที่กำลังมีอนาคต
กับภาพจำของนายพลกองทัพไทยที่บอกว่า ข้านี่แหละคนทำรัฐประหาร
มันเป็นภาพที่มันจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ทั้งคู่
ส่วนภาพรวม
ดิฉันคิดว่าเป็นการทำงานที่ดีของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลดิฉันไม่สนใจหรอก
ใครจะไปยกมือให้ใครน้อยลง 2 คะแนน 3 คะแนน มันอยู่ที่ว่าคุณทำเพื่อใคร
คุณอยากให้คนนี้ได้คะแนนน้อยลง คุณอยากให้คนนี้มากขึ้น มีการแจกกล้วยกันอย่างไร
แฉกัน มันก็แค่นี้แหละ
เพราะว่าอันนี้ก็เป็นภาพจำของนักการเมืองที่ได้ชื่อว่ามาจากการเลือกตั้ง
แม้นบางคนจะมาจากการเลือกตั้งที่อาจจะคิดคำนวณแบบบ้า ๆ บอ ๆ
แบบที่เรียกว่าผิดทั้งหลักกฎหมาย ผิดทั้งหลักการคณิตศาสตร์ของกกต.
แม้นว่าจะผิดอย่างนั้นก็ตาม แต่ยังไงก็ตามก็ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมือง
เพราะฉะนั้น
ภาพของนักการเมืองในรัฐสภาจำนวนหนึ่งซึ่งรับการแจกกล้วย ก็เป็นภาพอัปยศ
ส่วนภาพของพรรคฝ่ายค้านที่สามัคคีกันในการอภิปราย ดิฉันอาจจะไม่ได้ระบุทุกคน
ก็พูดเฉพาะจุดเด่นที่เป็นภาพในเชิงประวัติศาสตร์
ภาพโดยรวมก็คือเป็นภาพของความทรงจำที่พรรคฝ่ายค้านสามัคคีกันทำงาน
อันนี้คือแบบอย่างที่ดีดังที่ดิฉันได้พูดว่า “ขยายมิตรเพื่อพิชิตศัตรูของประชาชน”
ไม่ใช่ “ทำมิตรให้เป็นศัตรู” แล้วกลายเป็นพวกที่มาเข่นฆ่าประชาชนค่ะ
ก่อนจบการสนทนา
มีท่านผู้ชมจาก Youtube
ถามว่า : เมื่อไหร่ “ยูดีดี”
จะนัดสังสรรค์พี่น้องคนเสื้อแดงที่สี่แยกแครายอีก?
อ.ธิดา
ตอบว่า อาจจะต้องเปลี่ยนสถานที่ เพราะว่าที่นั่นเราหมดสัญญา
แล้วก็เผอิญที่ที่เราจะย้ายไปนั้น มีคนใช้เป็นในเรื่องทางการเมือง
ซึ่งมันจะมีปัญหากับเรื่องของสื่อ เราคงนัดหมายกัน แต่ไม่ใช่ที่นั่นแล้ว
ก็รอพบกันอีกทีหนึ่ง เพราะว่า “ยูดีดีนิวส์” เป็นสื่อของฝ่ายประชาธิปไตยของประชาชน
สิ่งที่เราทำทั้งหมดทำเพื่อขบวนการของประชาชน แม้ว่าเราจะเป็นคนรุ่นก่อนและรุ่นเก่า
อะไรที่มีบทเรียนด้านลบเราก็จะบอก แม้นจะเป็นความเจ็บปวด
และอะไรที่เราคิดว่ามันน่าจะดีแล้วเป็นผลดีเราก็จะบอก
เพื่อให้คนรุ่นต่อไปสามารถทำงานได้อย่างได้ผล
งานของเราที่จะทำนั้นก็คือทำร่วมกันกับขบวนการของประชาชนทุกฝ่าย
และพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรค เรายินดีต้อนรับ
เพราะฉะนั้น
ไม่ว่าท่านจะเชียร์พรรคฝ่ายประชาธิปไตยพรรคไหน ท่านก็เป็นมิตรกับเรา
และขอให้แนะนำเราว่าอยากให้ทำอะไรบ้าง
แต่พบปะกันนั้นครั้งสุดท้ายเราพบกันที่ร้านแมคโดนัลด์
ต่อไปเราก็พบกันในที่ที่กว้างขวางกว่านั้นค่ะ
#ธิดาถาวรเศรษฐ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ65
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์