ถอดการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อลงมติรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ส.ส.อมรัตน์
โชคปมิตต์กุล จากพรรคก้าวไกล [ช่วงที่ 1]
วันที่ 21 กรกฎาคม 2565
เรียนท่านประธานสภาที่เคารพ
ดิฉันอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จากจังหวัดนครปฐม
วันนี้ดิฉันขออภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บุคคลผู้มีอำนาจแต่ขาดทั้งความสามารถและความรับผิดชอบใน
3 ประเด็น ดังนี้คือ
1.
จงใจปล่อยปละละเลยให้เกิดเครือข่ายทุจริตในกองทัพอย่างกว้างขวาง
2.
สร้างความเสื่อมเสียกับพระเกียรติยศในโครงการเทิดพระเกียรติ และ
3.
มีจิตสำนึกเผด็จการ สันดานทรราช หลังรัฐประหารแล้วยังจงใจบ่อนทำลายการปกครองและอุดมการณ์ระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง
ท่านประธานคะ
เมื่อกลางเดือนมีนาคม 65 ที่ผ่านมานี้ มีข่าวเล็ก ๆ
ข่าวหนึ่งแต่เป็นข่าวที่น่าสนใจในเฟซบุ๊กเพจชื่อ catdumb
เขาพาดหัวข่าวเอาไว้ว่า “อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 9 ค่ายภูมิพล มาแทนที่อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ
เผยวงเงินสร้าง 60 ล้านบาท” เมื่อดิฉันเข้าไปอ่านเนื้อในข่าวก็ได้รายละเอียดของเรื่องนี้เพิ่มขึ้น
คือได้ทราบว่าเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา
กองทัพบกได้จัดพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ในหลวงรัชกาลที่ 9
จากพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ไปแทนที่อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ ในศูนย์การทหารปืนใหญ่
ค่ายภูมิพล จังหวัดลพบุรี โดยโครงการนี้ใช้เงินงบประมาณไป 59,973,500 บาท
และจากเอกสารเผยแพร่ข่าวของกองทัพบกเอง
(ชูเอกสารประกอบ) อันนี้ค่ะเอกสารเผยแพร่ข่าวจากกองทัพบก ดิฉันจะใช้เป็นใบเสร็จในการอภิปรายต่อไป
จากเอกสารเผยแพร่ข่าวของกองทัพบก ก็ได้ให้รายละเอียดว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10
ได้พระราชทานพระบรมราชานุสาวรีย์ดังกล่าวนี้ให้กับกองทัพบก
ดิฉันเห็นว่าเรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจค่ะท่านประธาน
ก็เลยตามไปอ่านในข่าวของประชาไทยและไทยโพสต์ ซึ่งเฟซบุ๊กเพจ catdumb ได้อ้างอิงไว้
ดิฉันก็ทราบรายละเอียดเพิ่มเติมว่า
กองทัพบกได้ดำเนินโครงการนี้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 63 แล้ว
โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเปลี่ยนชื่อค่าย จากเดิมที่ชื่อ “ค่ายพหลโยธิน” มาเป็นชื่อ
“ค่ายภูมิพล” เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2562 ค่ะ ท่านประธานคะเมื่อประชาชนทราบข่าวนี้หลายคนก็ตั้งคำถามว่า
ทำไมกองทัพบกถึงใช้งบประมาณในโครงการนี้สูงถึง 60 ล้านบาท เพราะเป็นการสร้างเฉพาะแท่นและปรับปรุงภูมิทัศน์
ตัวพระบรมราชานุสาวรีย์ ในหลวงพระราชทานมา
4
วันถัดมาค่ะท่านประธาน ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงดิจิตอลได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจว่า
ข่าวที่ catdumb ลงไปนั้นเป็นข่าวบิดเบือน โดยกองทัพบกได้ชี้แจงว่าทุนทรัพย์ที่นำมาสร้างแท่นอนุสาวรีย์และปรับปรุงภูมิทัศน์ที่ค่ายทหารในลพบุรีนั้นได้มาจากเงินสมทบทุนจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณของแผ่นดินค่ะ
การสร้างเพื่อที่จะทำให้สถานที่นี้โอ่อ่าสง่างามสมพระเกียรติและเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่
9 พอศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมออกมาบอกว่าเป็นเงินบริจาค ดิฉันก็จึงไปค้นต่อใน 3 จุดค่ะ
จุดแรก
ดิฉันไปค้นหาว่าเคยมีแคมเปญการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ของกองทัพ
ที่มีแคมเปญให้ประชาชนร่วมกันระดมเงินกันบริจาคผ่านช่องทางสาธารณะช่องทางใดหรือไม่
ดิฉันไปค้นแล้วค่ะท่านประธาน
ปรากฎว่าดิฉันค้นไม่พบว่ามีการเชิญชวนให้สมทบทุนบริจาคเข้าโครงการนี้เลย
ดิฉันไปดูในจุดที่สอง
ดิฉันไปดูที่งบการเงินของกองทัพบก ดิฉันไปดูงบการเงินสิ้นสุด 30 กันยายน ปี 2564
ของกองทัพบก ปรากฏว่าในช่องรายได้ได้แสดงรายการเงินบริจาคเอาไว้ค่ะ มียอดทั้งสิ้น
3 ล้านกว่าบาท ดิฉันไม่แน่ใจ
ดิฉันย้อนกลับไปดูงบการเงินของกองทัพบกปีก่อนหน้าอีกปีหนึ่ง คืองบฯ ของปี 63
ว่ามีการบริจาคอะไรไว้ เผื่อกองทัพบกจะบริจาคไว้ล่วงหน้าแล้วจะตกหล่นไป พอไปดูในงบการเงินช่องบริจาคของปี
63 พบว่ามีเงินบริจาคเพียง 2.3 ล้านเท่านั้น เมื่อรวม 2 ปีนะเงินบริจาคของปี 63
และปี 64 รวมกัน 2 ปี เป็นเงินเพียง 5 ล้านบาทเศษค่ะท่านประธาน
ยังห่างไกลกับยอดเงิน 60 ล้านบาทมากมายนัก หมกเม็ดอะไรกันไว้คะ
หากเป็นเงินบริจาคจริง ๆ ทำไมถึงไม่ทำให้ตรวจสอบได้ ไม่โปร่งใส
ไม่เอามาแสดงไว้ในงบการเงิน ไม่งั้นดิฉันจะทราบได้ยังไง
ประชาชนจะทราบได้ยังไงคะว่ามันวัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง หรือเปล่า?
หรือเอาไปเก็บใส่ปี๊บไว้ที่ไหน หรือเอาเงินจำนวนนี้ไปฝากไว้ในบัญชีนายพลแม่ทัพนายกอง
บัญชีส่วนตัวของคน ๆ ไหน
และจุดที่สามที่ดิฉันไปดูค่ะ
ดิฉันไปตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติมก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปใหญ่ เพราะในเอกสาร บก.01
ซึ่งเป็นเอกสารที่ได้แสดงวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรและแสดงราคากลางของโครงการนี้ค่ะ
(ดังสไลด์ประกอบนะคะ) ในเอกสาร บก.01 นี้ระบุไว้ว่า งบประมาณเกือบ 60 ล้านบาทนั้น
ได้มาจากเงินเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ 64
ทีนี้มาดูว่าเงินเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ
64 นี่ไม่ค่อยมีใครได้ยินนะคะ เงินเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ 64 นั้น
ถ้ามันเป็นเงินที่มาจากงบประมาณของรัฐ ก็เท่ากับว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
กระทรวงดิจิตอล
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของรัฐบาลเอาข่าวปลอมจากกองทัพบกมาเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด
คิดว่าเงิน 60 ล้านบาทนี้เป็นเงินจากการบริจาค ใช่หรือไม่?
เป็นเฟกนิวส์ซ้อนเฟกนิวส์ ใช่หรือไม่? แล้วถ้าเงินเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ 64 ก้อนนี้ไม่ได้มาจากเงินของรัฐ
แต่มาจากเงินบริจาคจริง ๆ ดิฉันถามว่าการที่สามารถนำเอาเงินจากการบริจาคได้
ดิฉันสงสัยว่าเงินบริจาคมากมายขนาดนั้น “กองทัพบก” เก็บไว้ในปี๊บที่ไหนคะ?
ทำไมไม่อยู่ในบัญชี
และทำไมดิฉันไม่เคยเห็นกองทัพประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมกันบริจาคเข้าบัญชีเลย
นี่มันโครงการพิเศษอะไรกันคะท่านประธาน
และท่านประธานอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าดิฉันคิดจะจับผิด
หาเรื่องจับผิดกองทัพภายใต้การบังคับบัญชาของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ที่ดิฉันต้องตามไปตรวจสอบเพราะนอกจากจะเป็นหน้าที่แล้ว
ก็เพราะว่าโครงการของกองทัพยุคหลังรัฐประหาร ในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มันมีกลิ่นไม่ดีโชยมาตลอดค่ะท่านประธาน และพอโครงการพวกนี้ที่มีกลิ่นไม่ดีโชยมา
เมื่อประชาชนจะเข้าตรวจสอบก็เป็นไปได้ยากเย็นมากที่สุด
ท่านประธานคะ
โครงการอุทยานราชภักดิ์จำได้มั้ยคะที่ผ่านมา โครงการอุทยานราชภักดิ์ ที่ จ.ประจวบฯ
กองทัพก็ได้บอกค่ะว่าสร้างจากเงินบริจาค
และโครงการนั้นมีการประชาสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผยให้ประชาชนสมทบทุนเข้าที่กองทุนสวัสดิการทหารบกค่ะ
แต่ปัญหาก็คือมันเป็นเงินบริจาคและประชาชนเห็นความผิดปกติของโครงการอุทยานราชภักดิ์
ก็อยากจะทำการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบมันเกิดไม่ได้ค่ะ
เพราะว่าพล.อ.ประยุทธ์กลัวเหลือเกิน กลัวการตรวจสอบ
กลัวจนขนาดต้องไปตัดโบกี้รถไฟที่สถานีบ้านโป่งค่ะ ให้ไปไม่ถึง
ปี
58 ประชาชนจัดกิจกรรม “นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหาคนโกง”
ท่านผู้นำถึงกับสั่งให้ทหารไปดักขบวนรถไฟที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
ไปตัดโบกี้รถไฟที่มีนักศึกษาและประชาชนนั่งอยู่ ไม่พอ!
ยังควบคุมตัวพวกเขาทั้งหมด 38 คน
เอาตัวไปควบคุมไว้ในค่ายทหารที่พุทธมณฑลอีกด้วยค่ะ
อย่างนี้เขาเรียกว่าประยุทธ์สันหลังหวะ หรือยังไงคะ
เอาล่ะ
กลับมาที่โครงการ 60 ล้านบาทที่จ.ลพบุรีต่อค่ะท่านประธาน
ประเด็นสำคัญที่ดิฉันจะพูดวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเงินนี้ได้จากเงินบริจาคหรือเป็นเงินงบประมาณของรัฐเท่านั้น
ประเด็นสำคัญกว่านั้นมันอยู่ที่ว่าเมื่อดิฉันตรวจสอบลึกลงไป ๆ ๆ ก็พบว่ามันมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านั้นอีกมากค่ะ
ดิฉันได้ให้ทีมงานลงพื้นที่จริงที่จ.ลพบุรี ทำให้ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
ดิฉันจะเล่าให้ฟังค่ะ
ก่อนหน้านั้น
ได้ทราบว่าก่อนหน้านั้นได้มีการอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 9
ไปแทนที่อนุสาวรีย์พระยาพหลโยธิน ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2562
ได้มีการเปลี่ยนชื่อค่ายทหารที่สำคัญในจังหวัดลพบุรีถึง 2 ค่าย
คือเปลี่ยนชื่อศูนย์การทหารปืนใหญ่ จากเดิมมีชื่อว่าค่ายพหลโยธิน
เปลี่ยนเป็นค่ายภูมิพล และกองพลทหารปืนใหญ่ จากเดิมชื่อว่าค่ายพิบูลสงคราม
เปลี่ยนเป็นค่ายสิริกิติ์
นอกจากกองทัพจะรื้ออนุสาวรีย์พระยาพหลฯ
ออกไปแล้ว ก็ยังได้ทำการรื้ออีกอนุสาวรีย์ด้วยค่ะ คืออนุสาวรีย์จอมพล ป.
พิบูลสงคราม ซึ่งตั้งอยู่ที่วงเวียนหน้าค่ายของจังหวัดลพบุรีใกล้ ๆ กัน
ห่างกันไม่กี่สิบเมตร การรื้อถอนอนุสาวรีย์ 2
อนุสาวรีย์นี้มีพี่น้องทหารในลพบุรีได้ฝากดิฉันสะท้อนความรู้สึกความในใจของพวกเขาไปยัง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยว่า การอัญเชิญพระบรมราชาอนุสาวรีย์มาไว้ที่จังหวัดลพบุรีถือว่าเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องมงคล
แต่พวกเขาไม่เข้าใจค่ะว่าแล้วทำไมกองทัพบกในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จะต้องไปรื้ออนุสาวรีย์พระยาพหลฯ และอนุสาวรีย์จอมพล ป.
ที่พวกเขาเคารพสักการะกันมานมนานหลายสิบปีออกไปด้วย
ครอบครัวเหล่าทหารปืนฝากดิฉันมาบอกว่า จะทุบทิ้งก็ไม่บอกสักคำ
ยังไม่ทันได้ไปแก้บนกันเลย
สำหรับพี่น้องทหารแล้ว
ท่านพระยาพหลฯ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นที่เคารพนับถือ ทั้งสองท่านเป็นผู้นำกองทัพที่สง่างาม
ทำให้กองทัพมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี
และยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย
เปลี่ยนพวกเราทั้งหลายทั้งปวงจากไพร่ทาสมาเป็นพลเมืองในการปกครองแบบประชาธิปไตยในโลกยุคใหม่
เนื่องจากมูลนิธิจอมพล ป. และมูลนิธิพระยาพหลฯ
ได้มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนและให้กับบรรดาลูกหลานเหล่านายทหารทั้งทหารอากาศและทหารบก
มีการจัดวางพวงมาลารำลึกที่อนุสาวรีย์ทุกปี ๆ ครอบครัวทหารปืนฝากดิฉันไปบอก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าอยากจะสร้างอะไรสร้างใหม่ไม่มีใครว่า
อย่ามารื้อทำลายสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจของพวกเขาได้หรือไม่?
ท่านประธานคะ
โครงการรื้อ ๆ สร้าง ๆ อนุสาวรีย์ของกองทัพภายในการนำของ พล.อ.ประยุทธ์
ทึ่ค่ายทหารลพบุรีนั้นประกอบไปด้วย 2 โครงการค่ะ
โครงการแรกคือโครงการรื้อถอนและติดตั้งซุ้มเทิดพระเกียรติ ส่วนโครงการที่ 2
เป็นโครงการสร้างแท่นประดิษฐานและงานปรับปรุงภูมิทัศน์
โครงการแรก
โครงการรื้อถอน กองทัพบกได้เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างค่ะ ดังสไลด์เอกสารจัดซื้อจัดจ้าง
มีวิธีการคัดเลือก ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกได้ประมูลงานคือห้างหุ้นส่วนจำกัด ภูวเนตร
เสนอราคามา 1,173,000 บาท จากราคากลาง 1,200,000 บาทค่ะ
โครงการนี้มูลค่าไม่สูงมากนักนะคะแค่ล้านกว่าบาท แต่ที่น่าสนใจคือ
กองทัพบกได้ประกาศผู้ชนะการเสนอราคาไปเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564
ย้ำนะคะท่านประธาน ประกาศผู้ชนะประมูลราคาไปเมื่อวันที่ 23 เมษา ปี 64
แต่ปรากฏว่าในรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ วันที่ 27 มกราคม ปี
63 มีภาพค่ะ ตามภาพนะคะ ในภาพคือภาพของผู้รับเหมาได้เข้าไปในพื้นที่
ทำงานรื้อถอนอนุสาวรีย์แล้ว มีคนงานช่วยกันขนเศษอิฐเศษปูนที่ถูกทุบทิ้งขึ้นรถกระบะ
และในภาพยังได้แสดงว่ามีการติดตั้งซุ้มเฉลิมพระเกียรติเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สอดคล้องกับที่ดิฉันให้ทีมงานไปค้นภาพถ่ายทางอากาศจากดาวเทียม
google earth
ซึ่งสามารถจะเลือกดูวันที่ได้ว่าเราอยากจะดูวันที่ไหน
ท่านประธานดูตามภาพสไลด์ที่ขึ้นค่ะ ในวันที่ 11 มกราคม
อนุสาวรีย์ของทั้งคู่ยังอยู่ แต่พอวันที่ 30 มกราคม อนุสาวรีย์ของทั้งคู่...หายไปแล้ว!
จากหลักฐาน 2 ชิ้น
ทั้งภาพข่าวสดภาคภาษาอังกฤษและหลักฐานภาพถ่ายทางดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า
กองทัพบกได้มีผู้รับเหมาเข้าไปทำงานก่อสร้างล่วงหน้าก่อนที่จะมีประกาศผู้ชนะประมูลราคานานถึง
15 เดือน ถามว่าแบบนี้ก็ได้เหรอคะ?
กองทัพบกไปถาม
“หมอดู” หรือ “หมอปลา” ที่ไหนมาถึงได้รู้ล่วงหน้าว่าใครจะชนะประมูล
ถึงได้เปิดประตูรั้วกองทัพอนุญาตให้เขามาทำงานก่อนล่วงหน้าได้ตั้งปีกว่า
และนี่ถ้าไม่ใช่โครงการในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำไม่ได้นะคะท่านประธาน
มันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย มีโทษหนักทางอาญา
เดี๋ยวดิฉันจะยกตัวอย่างให้ฟังค่ะว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหน่วยงานราชการอื่นเขาจัดการกันยังไง?
เขามีการลงโทษกันยังไง? จับโป๊ะกันได้ขนาดนี้จะแก้ตัวว่ายังไงคะ?
ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แถมพล.อ.ประยุทธ์ยังเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก
พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา
ปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์ทุจริตล็อคผู้รับเหมากันล่วงหน้าก่อนประมูลแบบนี้ได้อย่างไร?
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะคะ แล้วไม่ใช่เป็นโครงการเดียวด้วย
เพราะว่าดิฉันไปตรวจสอบไม่ว่าจะหยิบจับไปตรงไหนก็เจอตรงนั้นเลยค่ะท่านประธาน ช่างกล้าทำผิดกฎหมายอย่างชนิดที่เรียกว่า
“เย้ยฟ้าท้าดินกันเลยทีเดียว”
โครงการที่สอง
เป็นงานสร้างแท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์และงานปรับปรุงภูมิทัศน์
เรื่องไม่ต่างกันมากค่ะ
โครงการที่สองนี้กรมยุทธโยธาทหารบกเป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการคัดเลือก
บริษัท ไอยเรศ จำกัด ผู้ชนะการคัดเลือกโดยการเสนอราคามา 59,875,000 บาท
มีการประกาศชื่อผู้เสนอราคาวันที่ 14 กรกฎาคม ตาม Timeline ที่ขึ้นนะคะ
มีการทำสัญญากันในเดือนถัดมาคือในวันที่ 27 สิงหาคม 64 แต่ท่านประธานคะ
เมื่อดูภาพถ่ายจากดาวเทียมค่ะ เราจะพบว่าในเดือนธันวาคม 63 ทำสัญญา 27 สิงหา 64
แต่ภาพนี้คือเดือนธันวา 63 มีการปรับพื้นที่แล้ว แล้วพอถึงช่วงเดือนเมษา ปี 64
เราก็สามารถที่จะมองเห็นโครงสร้างฐานรากของแท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์อย่างชัดเจนแล้วด้วย
เป็นโครงสร้างฐานรากที่ใหญ่โตมากทีเดียว ดูตามภาพนะคะ
ทำยังไงดีคะ
โป๊ะแตกอีกแล้ว เซ็นสัญญากันเดือนสิงหา แต่เดือนเมษามีผู้รับเหมาเข้าไปทำงานแล้ว
มีภาพถ่ายจากดาวเทียมเป็นหลักฐาน
แสดงให้เห็นว่ามีการสร้างกันตั้งแต่ยังไม่มีการประกาศราคากลาง
ตั้งแต่ยังไม่มีการยื่นซองประกวดราคา
และตั้งแต่ยังไม่มีการทำสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมา พูดง่าย ๆ
ก็คือกองทัพล็อคสเป็คผู้รับเหมาแล้วให้เข้าไปทำงานล่วงหน้าก่อนมีการลงนามในสัญญาถึง
4 เดือนเป็นอย่างน้อยค่ะ กองทัพกำลังแสดงมายากลอะไรให้ใครดูอยู่คะ
อย่าทำเป็นมึนนะคะ ดิฉันรอคำตอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แล้วดิฉันจะบอกไว้ล่วงหน้าเลยนะคะว่าเมื่อท่านมาตอบเรื่องนี้
ไม่ต้องลำบากส่งโพยให้พล.อ.ประยุทธ์อ่านเพื่อแก้ตัวหรือเพื่อปฏิเสธให้เมื่อยค่ะ
เพราะว่าดิฉันมีใบเสร็จอยู่ในมือดิฉันนี่ นี่คือเอกสารเผยแพร่ข่าวของกองทัพบกเอง
ว่าได้มีการดำเนินการโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 63 แล้ว
จากเอกสารเผยแพร่ข่าวของกองทัพนี้ให้การสารภาพเสียเอง
คือคำสารภาพเสียเองเสร็จสรรพเรียบร้อยว่ากองทัพบกดำเนินการโครงการนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี
63 ในข่าวกองทัพบกที่ไม่ได้บอกให้ครบก็คือ
พวกคุณเพิ่งจะประกวดราคาและเซ็นสัญญากับผู้รับเหมากันในปี 64 นี้เอง หรือ พล.อ.ประยุทธ์
จะบอกว่าเอกสารข่าวของกองทัพบกเป็นเฟกนิวส์คะ
ในยุคที่เรามีแผนที่ทางอากาศ
สามารถถ่ายภาพทางอากาศได้ ท่านหลอกได้แต่ลิงที่ลพบุรีค่ะ ตลอดมา พล.อ.ประยุทธ์
เที่ยวชี้หน้ากล่าวหานักการเมือง กล่าวหาใคร ๆ ว่าทุจริตคอรัปชั่น
อ้างเป็นเหตุให้เข็นรถถังออกมาทำรัฐประหาร
แต่กับกองทัพของตัวเองในกระทรวงกลาโหมที่ดูแลรับผิดชอบอยู่
กลับแกล้งปิดตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้กองทัพเน่าเหม็นไปด้วยวัฒนธรรมทุจริต
เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง กองทัพย่ามใจอย่างไรถึงได้รำเริบเสิบสาน
ขนาดที่กล้าหากินกันไม่เว้นแม้กระทั่งในโครงการที่อ้างว่าทำไปเพื่อความสง่างามสมพระเกียรติและเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่
9 รักชาติกันจนน้ำลายไหลขนาดนี้เลยเหรอคะ
ไม่ใช่มีแต่กองทัพบก
ดิฉันขอเปลี่ยนบรรยากาศไปที่กองทัพเรือบ้าง แล้วก็พบว่าไม่ต่างกัน อย่างที่บอกค่ะ
กองทัพในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จับตรงไหนตรวจไปตรงไหนก็เจอตรงนั้นจริง ๆ
แต่เวลาอันจำกัด ดิฉันจะยกตัวอย่างมาสักเรื่องหนึ่งในกองทัพเรือค่ะ
เรื่องนี้เคยเป็นข่าวนะคะ
เคยเป็นที่สนใจของประชาชน เคยเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ ท่านประธานพอจะจำได้มั้ยคะ
โครงการก่อสร้างบ้านพักรับรองของผู้บัญชาการทหารเรือพร้อมรื้อถอนบ้านพักหลังเดิม
วงเงิน 65 ล้านบาท โครงการนี้ดิฉันไปตรวจสอบดูแล้ว
พบหลักฐานเหมือนกันกับโครงการอนุสาวรีย์ที่ลพบุรีค่ะ กองทัพเรือจ้างผู้รับเหมาเข้าทำงานก่อนที่จะมีการเปิดซอง
ก่อนจะลงนามในสัญญาก่อสร้างถึง 3 เดือนเศษ ท่านประธานดูตามสไลด์ใน Timeline
ที่ขึ้น
16
มีนา 62 กองทัพเรือประกาศราคากลาง มีบริษัทเสนอราคายื่นแข่งกัน 3 บริษัท พอ 27
พฤษภาคม ปี 62 ได้ผู้ชนะประมูลค่ะ คือชื่อบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด
(มหาชน) 29 พฤษภา ปี 62 เซ็นสัญญาก่อสร้าง แต่หลักฐานภาพถ่ายจากดาวเทียมอีกเช่นกันค่ะ
ไปดูภาพถ่ายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี 62
จะพบว่ามีการรื้อถอนบ้านพักหลังเดิมไปแล้ว และจากภาพถ่ายในวันที่ 8 เมษายน 62
ก็จะเห็นเช่นกันว่ามีการปรับพื้นที่เพื่อที่จะสร้างบ้านพักหลังใหม่แล้ว
สรุปว่ากองทัพเรือให้ผู้รับเหมาเข้าไปทำงานก่อนจะเซ็นสัญญาล่วงหน้าถึง
3 เดือนเศษเป็นอย่างน้อยค่ะท่านประธาน ดูที่ภาพสุดท้ายนะคะ
เป็นภาพถ่ายทางดาวเทียมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่สร้างเกือบจะเสร็จแล้วนะ
โครงการระดับ 65 ล้าน เซ็นสัญญากัน 2 เดือน พอ 30 กรกฎาคม สร้างเกือบจะเสร็จแล้ว
ดิฉันถามว่าท่าน “เสก” หรือว่า “สร้าง” คะ แล้วอย่างนี้จะเปิดซองประกวดราคาไปทำไม?
ดิฉันจะอภิปรายให้เห็นต่อไปว่าการประกวดราคาในกองทัพนั้นไม่เหมือนกับที่อื่น
มันเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น ท่านประธานคะ
แท้ที่จริงแล้วเวลาที่มีโครงการก่อสร้างในกองทัพ เขาแอบล็อคผู้รับเหมากันไว้ก่อนล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
และเขาแบ่งกันล่วงหน้าค่ะว่างานนี้จะเป็นของใคร งานนั้นจะเป็นของใคร
นอกจากนั้นก็จะมีการจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับพวกนายพลไปตามลำดับชั้นด้วยระบบอำนาจนิยม
ไม่ค่อยมีปัญหาค่ะ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายกันจนเคยชิน กินกันมูมมามขนาดนี้ จะให้ดิฉันเรียกว่า
“กองทัพ” หรือ “กองโจร” ดีคะ ตกลงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ท่านเป็นรัฐมนตรีกลาโหม หรือท่านเป็นหัวหน้ากองโจรกันแน่
ถึงตอนนี้
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภากล่าวว่า “กองทัพ” ไปเปรียบเทียบเป็น “กองโจร”
ไอ้นี่ไม่ต้องถอนนะครับ แต่ผมคิดว่าอย่าไปเปรียบเทียบอย่างนั้นครับ ต้องมอง
“กองทัพ” ไปในทางบวก
คุณอมรัตน์
กล่าวว่า ดิฉันไม่ได้หมายถึง “กองทัพ” ตลอดไป ดิฉันหมายถึง “กองทัพ”
ในยุคหลังรัฐประหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ค่ะ “กองทัพ”
โดยทั่วไปที่มีทหารมืออาชีพ มีเกียรติศักดิ์ศรี ดิฉันยกย่องค่ะ ดิฉันกำลังพูดในช่วงที่เป็นข้อกล่าวหานะคะ
ดิฉันมีสิทธิ์จะพูดค่ะ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ