ถอดการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อลงมติรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ส.ส.อมรัตน์
โชคปมิตต์กุล จากพรรคก้าวไกล [ช่วงที่ 2]
วันที่ 21 กรกฎาคม 2565
ไปดูหน่วยงานไม่ใช่กองทัพกันบ้าง
เมื่อเกิดเหตุการณ์ทุจริตแบบเดียวกันเขาทำกันยังไง
ดิฉันจะยกตัวอย่างที่สำนักงานยุติธรรมค่ะ กรณีความผิดที่หน่วยงานสำนักงานยุติธรรมที่มีความผิดกรณีเอื้อให้เอกชนเข้ามาดำเนินการปรับปรุงศาลมีนบุรีและปรับปรุงอาคารศาลพระโขนงก่อนที่จะมีการจัดการประกวดราคาเทียบเคียงให้ฟังค่ะ
ผู้บริหารของศาลระดับสูงที่มีพฤติกรรมทุจริตผิดกฎหมายแบบเดียวกันนี้
ถูกฟันโทษทางวินัยร้ายแรงและถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ
รวมทั้งกำลังถูกดำเนินคดีอาญาในป.ป.ช. แต่เรื่องแบบนี้ค่ะท่านประธาน
มันไม่เคยเกิดขึ้นในกองทัพหรอก
อย่างดีเวลามีเรื่องทุจริตขึ้นมาก็จะมีแค่ปลาซิวปลาสร้อยออกมายอมรับผิดแทนนาย
ยากมากที่เราจะเห็นนายพลไทยเข้าคุก
แล้วนอกจากจะมีพฤติกรรมล็อคสเปกผู้รับเหมากันโต้ง
ๆ อย่างที่บอกไป โครงการก่อสร้างในกองทัพก็มักจะมีผู้รับเหมาแบบ “ผูกปิ่นโต”
กันอยู่ไม่กี่เจ้า จุดเทียนเวียนวนกันอยู่ 3-4-5 คนเท่านั้นค่ะท่านประธาน
และยังมีลักษณะที่ส่อไปในทางฮั้วประมูลอย่างเห็นได้ชัด ผลัดกันตบ ผลัดกันชง
ผลัดกันได้งาน ผลัดกันปลอมตัวเป็นคู่แข่ง ประมูลปลอม ๆ จะยกตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย
ๆ อธิบายได้ชัด ๆ ให้ฟังค่ะ
เครือบริษัทที่ได้งานก่อสร้างแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่
9 ที่ลพบุรี ชื่อบริษัท ไอยเรศ จำกัด บริษัท ไอยเรศ
เป็นบริษัทเครือเดียวกันกับบริษัท เบ็ญจมาศ จำกัด มีที่อยู่ บ้านเลขที่ ถนน อาคาร
มีที่อยู่เดียวกัน และมีกรรมการชุดเดียวกันทั้งหมด
และเมื่อดิฉันไปเช็คข้อมูลเพิ่มเติมจากการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพ ดิฉันพบว่าตลอด
10 ปีที่ผ่านมา เฉพาะ 2 บริษัทนี้ (บริษัท เบ็ญจมาศ และบริษัท ไอยเรศ)
รับเหมางานก่อสร้างจากหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมไปแล้วเกือบ 3 หมื่นล้านบาท
ไม่ใช่บริษัทมหาชนด้วยนะคะ
ถ้าท่านประธานนำเลขนิติบุคคลของบริษัท
ไอยเรศ และบริษัท เบ็ญจมาศ ไปค้นในเว็ปไซด์ ACT Ai
ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) จะพบว่า งานที่ทั้ง 2
บริษัทนี้ได้รับเกือบทั้งหมดจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม ราวกับตั้งบริษัทมาเพื่อจะรับงานจากกองทัพโดยเฉพาะค่ะ
รับงานทุกอย่างไม่ว่าจะโครงการเล็กหรือใหญ่
ตั้งแต่โครงการมูลค่าไม่กี่แสนไปจนถึงโครงการใหญ่ ๆ มูลค่าหลายร้อย
จนถึงมูลค่าหลายพันล้านบาท เรียกว่าผูกปิ่นโตรับเหมาเป็นเจ้าประจำกันค่ะ
แล้วพอไปส่องดูเวลาที่เขายื่นซองแข่งกันนะคะท่านประธาน
สิ่งทีเห็นบ่อยมากก็คือการเสนอราคาแทบจะไม่ต่างจากราคากลางเลย
เหมือนกับไม่มีการแข่งขันราคากันจริง ๆ มายื่นซองกันเป็นปาหี่แบบพอเป็นพิธี
เพื่อให้ผู้รับเหมาที่ถูกล็อคสเปกเอาไว้แล้วได้งานไป
อย่างงานการสร้างแท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ลพบุรีมูลค่า 60
ล้านบาทที่พูดไปแล้ว บริษัท ไอยเรศ ได้งานไป โดยยื่นซองต่ำกว่าราคากลางแค่ 0.12% หรือ 7
หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนคู่เทียบอีก 2 บริษัท
ที่ไปเป็นคู่เทียบกันเสนอราคาต่ำกว่าราคากลาง 33,500 กับ 29,500
การเสนอราคาแข่งกันแบบนี้คนวงนอกอาจจะไม่เข้าใจค่ะ แต่คนวงในเขารู้กันว่าแบบนี้เขาเรียกกันว่า
“ฮั้วประมูล” ค่ะท่านประธาน มันปลอมมาก
ท่านประธานคะ
ดิฉันจึงลองเข้าไปสุ่มดูเพิ่มเติม
ขุดไปในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีระดับมูลค่าหลายร้อย
หลายพันล้านบาท ที่ 2 บริษัทนี้ชนะการเสนอราคาจากกองทัพต่อไป เพราะดิฉันคิดเองว่าโครงการที่เป็นมูลค่าสูง
ๆ จนหลายร้อยหลายพันล้านบาทน่าจะมีบริษัทมหาชนใหญ่ ๆ บริษัทประเทศไทยมีเยอะแยะ
น่าจะมีการเข้ามาประมูลแข่งกันเป็นจำนวนมาก แต่ดิฉันคิดผิดค่ะ
ถ้าดูจากสไลด์ที่ดิฉันแคปมาประกอบวันนี้นะคะคือหลักฐาน ส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือคู่แข่งประมูลก็มีแต่บริษัทที่ชื่อคล้าย
ๆ ประเทศหนึ่งค่ะ บริษัท อิตาลี่ ๆ อะไรนี่ค่ะ
หรือถ้าเป็นบริษัทอื่นก็จะวนอยู่แค่ไม่กี่เจ้า
แถมการเสนอราคาก็เป็นการแข่งกันแบบพอเป็นพิธีเหมือนไม่ค่อยอยากจะได้งาน
หรือว่าแค่จะรอไปรับงานเหมาช่วงต่อจากผู้รับเหมาที่ล็อคกันไว้แล้วคะ ดิฉันก็สงสัย
ตัวอย่างเช่น
โครงการก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกค่ะ อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่บริษัท
เบ็ญจมาศชนะประมูลเมื่อปี 2559 ราคากลางอยู่ที่ 2,771 ล้าน บริษัท เบ็ญจมาศ
เสนอราคาที่ 2,766 บ้าน ต่ำกว่าราคากลางเพียง 7 ล้านบาท หรือต่ำกว่า 0.25% ค่ะ
บริษัทที่มายื่นซองแข่งก็เหมือนไม่อยากได้งาน เสนอต่ำกว่าราคากลางเพียง 0.07% เท่านั้น
ท่านประธานคะ
โครงการที่น่าสนใจที่จะพูดต่อไปชื่อว่า โครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า
ซึ่งประกอบไปด้วย 2 อย่างในนั้นนะคะ
ประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าและอาคารหอประชุมกองทัพบก
อันที่จริงโครงการนี้มีการดำริคิดว่าจะสร้างมาตั้งแต่ปี 55 ในสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำให้เป็นเรื่องเป็นราว
ก็ถูกผู้ใต้บังคับบัญชาทำการรัฐประหารแย่งอำนาจซะก่อน
ต่อมาคงเห็นว่าโครงการของนายเก่าเข้าท่าดี ก็เอามาปัดฝุ่นทำใหม่ ไม่ว่ากันค่ะ
อะไรที่เห็นว่าดีเอามาทำต่อ เอามาสานต่อดิฉันไม่ได้ว่าอะไร
แต่ก็สมชื่อนะคะท่านประธาน สมชื่อค่ะ ไปเปิดในพจนานุกรมดูแล้ว “ตู่” หมายถึง
กล่าวอ้าง หรือ ทึกทักเอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
คณะรัฐประหารคสช.ของ
พล.อ.ประยุทธ์ ได้อนุมัติโครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ตั้งแต่ 2 กรกฎาคม ปี 57
โดยให้กองทัพบกเป็นผู้ดำเนินการภายในกรอบวงเงินครั้งแรก 2,455 ล้านบาท บนที่ดิน 19
ไร่ในเขตดุสิต กำหนดเวลาก่อสร้างไว้ 3 ปี คือ ปี 57 - ปี 60 หลังจากนั้นค่ะ 2
เดือน เดือนกันยายน ปี 57 คสช.ขณะน้นมีมติให้ขยายวงเงินจาก 2,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก
1 พันล้าน กลายเป็น 3,455 ล้านบาท เป็นการขยายวงเงินครั้งแรก
พอ
6 เดือนต่อมา มีนาคม 58 ขยายเป็นครั้งที่ 2 อีก 300 ล้านบาท กลายเป็น 3,755
ล้านบาท พอ 6 เดือนถัดมา กันยายน ปี 58 ก็ขยายอีกแล้วค่ะเป็นครั้งที่ 3 จากวงเงิน
3,755 ล้านบาท กลายเป็นโครงการระดับ 4,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 1 พันล้านบาท
และขยายระยะเวลาอีก 3 ปี ให้ไปแล้วเสร็จในปี 63 โดยอ้างว่ามีความล่าช้าในการออกแบบ
และอ้างว่ามีการแก้ไขแบบปรับปรุงส่วนหลังคาให้สูงขึ้น
หลังจากนั้นในวันที่
24 ธันวาคม ปี 58 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ไปวางศิลาฤกษ์ที่อาคารหอประชุมกองทัพบกแห่งใหม่
ในวันนั้นท่านผู้นำได้อธิบายว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่คิดไว้นานแล้วเพื่อเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
แล้วก็ยังได้ย้ำอีก ย้ำว่ากองทัพใช้งบประมาณอย่างระมัดระวังและพร้อมรับการตรวจสอบ
ดิฉันกำลังตรวจสอบตามที่ท่านเรียกร้องค่ะ และก็พบว่าท่านใช้งบประมาณกันอย่างระมัดระวังจริง
ๆ ค่ะท่านประธาน เพราะแค่เริ่มต้นโครงการนี้ภายในปีเดียวจากปี 57 เป็นปี 58
ก็ขยายงบประมาณก่อสร้างไปแล้ว 3 รอบ ด้วยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากครั้งแรก
จาก 2,455 ล้านบาท กลายเป็น 4,732 ล้านบาท ภายในปีเดียวค่ะ กับแค่สร้างพิพิธภัณฑ์และหอประชุมกองทัพบกเท่านั้น
จะอวดร่ำอวดรวยกันไปถึงไหนคะ ขณะที่ประชาชนกำลังกินข้าวคลุกน้ำปลา
ในขณะที่ต้องตรวจเวรยามที่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยากันทุกคืน ตรวจเข้ม เพิ่มกำลัง
เฝ้าสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะว่ามีแต่คนไปกระโดดสะพานฆ่าตัวตาย
พล.อ.ประยุทธ์ อยากเห็นมั้ยคะ ดิฉันจะพาท่านไป แต่ต้องไปตอนกลางคืน
ท่านกล้าออกจากค่ายมั้ยคะ?
ตามมาดูโครงการนี้ต่อค่ะ
ในเดือนกันยา 59 มีการประกาศราคากลางและอนุมัติการก่อสร้างโครงการนี้ แต่หนึ่งปีถัดไปค่ะท่านประธาน
ขณะที่ส่วนของการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์มีความคืบหน้าไปแล้ว 14.71% และส่วนของอาคารหอประชุมกองทัพบกคืบหน้าไปแล้ว 7.50% ใช้งบก่อสร้างไปแล้วทั้งสิ้น 466 ล้านบาท
ทว่าอยู่ดี ๆ ท่านผู้นำเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน สั่งยุติการก่อสร้างอาคารในวันที่ 1 ตุลาคม ในปี 60 ไปซะอย่างนั้น
ยุติโครงการในขณะที่ใช้เงินไปแล้วเกือบ 500
ล้านบาทค่ะท่านประธาน โดยอ้างว่าจะย้ายไปสร้างในสถานที่ใหม่ จาก “ดุสิต”
จะย้ายไปสร้างที่ “วังทองหลาง” โดยอ้างว่าเป็นที่ดินพระราชทาน ดิฉันก็อยากจะถาม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบมาด้วย ว่าในเมื่อทรงมีพระกรุณาธิคุณมอบที่ดินให้
นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นมงคล แต่ดิฉันถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าท่านไม่ได้มีความคิดความอ่านที่จะนำที่ดินพระราชทานนี้ไปใช้ในสาธารณประโยชน์อื่น
ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนเหรอคะ? ทำไมจะต้องยอมเสียเงินงบประมาณที่ใช้ไปแล้วตั้งเกือบ
500 ล้านบาท เผาเงินเล่นกันฟรี ๆ ก่อนก่อสร้างทำไมไม่คิดให้ดี
ไม่คิดให้รอบคอบเหรอคะ แถมพอย้ายสถานที่ก่อสร้างรัฐบาลยังต้องใช้งบประมาณอีกกว่า 5 ล้านบาท ในการปรับคืนพื้นที่ที่รื้อถอนเพื่อส่งมอบคืนพื้นที่ให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อไปใช้ประโยชน์
เท่านั้นไม่พอ!
พล.อ.ประยุทธ์ ยังฉวยโอกาสจากการย้ายสถานที่จาก “ดุสิต” ผลาญเงินเผาเงินเล่นไปแล้ว
ย้ายไป “วังทองหลาง” ทีนี้ฉวยโอกาสเลยค่ะ ขยายวงเงินก่อสร้างเป็นรอบที่ 4 รอบนี้เอาหนักค่ะ รอบนี้ขยายวงเงินเพิ่มอีก 1,583
ล้านบาท ทำให้โครงการนี้ที่เดิมตั้งวงเงินไว้ 2,455 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 57 ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นโครงการระดับ 6,329 ล้านบาทเฉยเลย แถมยังสร้างไม่เสร็จอีกด้วย ขยายโครงการกันไปเรื่อย ๆ
อย่างนี้ใครยิ้มคะ? ผู้รับเหมาค่ะยิ้ม เพราะว่าจากงบฯ 2
พันกว่าล้าน อยู่ ๆ เพิ่มมาส้มหล่นมาอีก 4 พันล้าน
โดยไม่ต้องประมูลใหม่ แบบนี้เหรอคะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
บอกว่าให้ใช้งบประมาณกันอย่างระมัดระวัง ดิฉันอยากจะทราบเหลือเกินว่าตั้งแต่ยึดอำนาจเข้ามา
ท่านนายกฯ และพวกพ้องได้ส่วนแบ่งจากการผลาญเงินงบประมาณของเราไปเท่าไหร่แล้ว
จากที่อภิปรายไปทั้งหมด
ดิฉันไม่สามารถที่จะไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อีกต่อไป
ท่านประธานคะ
หัวหน้าคณะรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้
ยังได้ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายการทุจริต โกงบ้านกินเมืองโดยกองทัพอย่างกว้างขวาง
กลายเป็นวัฒนธรรมอันเลวร้ายที่ฝังรากลึกอยู่ในสถาบันทหาร
ทำให้กองทัพลอยตัวอยู่เหนือกฎหมาย ลอยตัวจากการตรวจสอบ
ตรวจสอบยากไปจนถึงตรวจสอบไม่ได้เลย กรณีที่ตรวจสอบไม่ได้เลยเช่น
กรณีที่ไปให้ส่งให้ลูกน้องให้ทหารไปตัดโบกี้รถไฟที่บ้านโป่งค่ะ อันนั้นคือตรวจสอบไม่ได้เลย
พฤติกรรมแอบแฝงเยี่ยงนี้สะท้อนสำนึกเผด็จการของท่านผู้นำ
อันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยค่ะ
ท่านประธานคะ
ในยุคของผู้นำคนนี้เกิดการรื้อถอนทำลายสัญลักษณ์ของการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและอย่างเป็นระบบ
ดิฉันจะยกตัวอย่าง เกิดการเปลี่ยนแปลงหน้าบรรณที่ว่าการหน้า อ.เวียงป่าเป้า หลังเก่า จังหวัดเชียงราย จากเดิมที่เป็นรูป “พานรัฐธรรมนูญ”
ให้เปลี่ยนเป็นรูป “ตราครุฑ” ในช่วงปี 58-59 รูปพานรัฐธรรมนูญนะคะ
ทางสถาปัตย์หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
จะใช้รูปพานรัฐธรรมนูญไปประดิษฐานไว้ในที่ต่าง ๆ มากมายค่ะ
เมษาปี
60 “หมุดคณะราษฎร” ที่อยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าได้หายไปและถูกแทนที่ด้วย
“หมุดหน้าใส”
ธันวา
61 อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือเรียกว่าอนุสาวรีย์ปราบกบฏ อันเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช
ถูกอุ้มหายไปจากวงเวียนหลักสี่ หน้าค่ายทหาร ทั้ง ๆ
ที่อนุสาวรีย์นี้ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้แล้ว
มกรา
63 อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ และอนุสาวรีย์จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่และกองพลทหารปืนใหญ่ ค่ายลพบุรี ที่ลพบุรี ถูกรื้อถอนออกไป
นอกจากที่ลพบุรีแล้ว อนุสาวรีย์จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ที่หน้าสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ถนนวิภาวดี ในกรุงเทพฯ
ก็อันตรธานหายไปด้วยในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
ท่านประธานคะ
ล่าสุดนี้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาวันดีคืนดีก็มีมือมืดหัวเกรียนเอาป้ายอะคริลิคมาแปะ
เปลี่ยนชื่อ “สะพานพิบูลสงคราม” ให้กลายเป็นชื่อ “สะพานท่าราบ” ใกล้ ๆ
สภาแห่งนี้เองค่ะ ซึ่งดิฉันคาดว่ามาจากชื่อของ “ดิ่น ท่าราบ” หรือ
พระยาศรีสิทธิสงคราม หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์กบฏบวรเดช เหตุการณ์มือมืดหัวเกรียนแอบมาเปลี่ยนชื่อสะพานสำคัญได้
ทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้แวดล้อมไปด้วยค่ายทหารทั้งหมด
เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดไม่ได้หรอกค่ะท่านประธาน
ในยุคที่บ้านเมืองมีผู้นำที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย
ก็ในเมื่อมีจิตสำนึกเผด็จการเสียแล้ว จึงไม่แปลกใจค่ะที่เราจะได้เห็น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเป็นประธานเปิดห้องบวรเดชและห้องสิทธิสงคราม ณ
กองบัญชาการทหารบก ดิฉันไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีพฤติกรรมยกย่องเชิดชูบุคคลที่เป็นกบฏ ยกย่องเชิดชูคนที่ออกมาต่อต้านการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยและทำอย่างเปิดเผย
ท่านนายกรัฐมนตรี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ชอบสั่งสอนประชาชนไปศึกษาประวัติศาสตร์ ถามจริง ๆ ค่ะ
แล้วตัวท่านเองได้เคยศึกษาประวัติศาสตร์บ้างหรือไม่คะ? ถามจริง ๆ ท่านไม่ทราบประวัติศาสตร์การเมืองไทยเหรอ?
ว่าเหตุการณ์กบฏบวรเดชในครั้งนั้น ผู้นำกองทัพร่วมมือกับประชาชนมาปราบปรามกบฏบวรเดช
จนสำเร็จเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญและเพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ นายทหารนอกรีตกลับนำเอาชื่อกบฏมาเชิดชู
นอกจากจะฉีกรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเอาชื่อของกบฏมาเชิดชู และมีพฤติกรรมมุ่งทำลายสัญลักษณ์ของการสร้างประชาธิปไตยตลอดมา
ล่าสุดเมื่อวานนี้
ตอนบ่ายที่สภาแห่งนี้ค่ะท่านประธาน พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงพฤติกรรมชูแขนขึ้นสุด
แอ่นอกยิ้มร่า รับว่าตัวเองก่อการกบฏคนเดียว
การหัวเราะเรื่องการรัฐประหารในสภาแห่งนี้เมื่อวานเย็นคือการไร้ยางอาย
ไม่มีวุฒิภาวะ ทำอะไรไม่ถูกกาลเทศะ ถ้าปล่อยให้ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา คนนี้ครองอำนาจต่อไป วันหนึ่ง แม้นแต่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถนนราชดำเนินของพวกเราก็จะไม่มีเหลือ
และดิฉันฝากด้วยนะคะ ชื่อถนนหมายเลข 1 จากกรุงเทพฯ ไปสุดที่เชียงราย
ชื่อถนนพหลโยธิน โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ จ.กาญจนบุรี โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา
ช่วยกันดูด้วยนะคะอย่าให้หายไปอีก
ดิฉันไม่อาจไว้วางใจให้ทรราชสองแผ่นดินอย่าง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมและนายกรัฐมนตรีต่อไปได้
การปกครองด้วยความกลัวอาจจะทำได้และทำสำเร็จ แต่มันเป็นความสำเร็จแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เพราะความกลัวของมนุษย์มีจุดสิ้นสุด และดิฉันมั่นใจว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ท่านจะต้องชดใช้ความเสียหายที่ทำไว้กับชาติบ้านเมืองในที่สุด
ท่านประธานคะ
สคริปของดิฉันที่เตรียมมาจบเท่านี้ แต่ดิฉันมีสิ่งสุดท้ายค่ะ ที่ดิฉันอยากจะมอบให้
พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านท่านประธาน สิ่งนั้นคือกระจก กระจกบานนี้ค่ะ ดิฉันจะมอบให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะท่านปิดช่องคอมเม้นท์ในเพจนายกฯ ในเพจชื่อ ประยุทธ์
จันทร์โอชา ประชาชนไม่มีสิทธิที่จะสะท้อนความรู้สึกไปยังท่านได้
ดิฉันอยากจะบอกว่า
กระจกบานนี้เวลาที่ท่านชี้หน้าใครบอกว่าก่อความวุ่นวายความไม่สงบ ท่านมองที่กระจกบานนี้ค่ะ
เวลาที่ท่านเที่ยวชี้หน้าใคร บอกว่าเขาไม่มีมารยาท ไม่รักชาติ มองที่กระจกบานนี้
และเวลาที่ท่านว่าใครว่าไม่อ่านประวัติศาสตร์ ท่านก็มองที่กระจกบานนี้ ทั้งหมด
คนในกระจกค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ลุกขึ้นตอบ : กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพนะครับ
ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายนะครับ เมื่อเช้านี้ผมขออนุญาตติดภารกิจนิดหนึ่ง
ไปกราบสมเด็จพระสังฆราชนะครับ เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชา ถวายธูปเทียนพรรษา ผมก็ขอแบ่งขอมอบให้กับทุกคนด้วยนะครับ
เนื่องในช่วงเวลาอันเป็นมงคลนี้ให้กับทุกคนทุกท่าน ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะรับได้รับไม่ได้ก็แล้วแต่
เพราะว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกรรม ทำกรรมดีก็จะเป็นด้วยกรรมดี
ทำกรรมไม่ดีก็คงปรากฎต่อไป ผมเองก็พยายามทำอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด
แต่ไม่ดีในสายตาของท่านก็ไม่เป็นไร
วันนี้ท่านบอกว่าชื่อผมมีความหมายโน่นนี่
ก็ไปคิดเอาละกันว่า “ตู่” กับ “เตี้ย” ความหมายมันเหมือนกันมั้ย? มันคงไม่เหมือนอ่ะนะ
แต่ไปดูซิว่าประโยชน์อะไร ใครทำอะไรมากกว่านะ ผมเองก็แทบจะเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกตลอดเวลา
ท่านบอกว่าท่านศึกษาประวัติศาสตร์ โอเคครับก็ดีครับ ท่านก็ศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนที่ดีไว้บ้างละกัน
สิ่งที่ท่านทำในหลาย ๆ อย่างวันนี้ทุกคนก็ปรากฏแล้วว่าเป็นเรื่องของการ เกี่ยวข้องของการก้าวล่วงสถาบันของชาติ
ซึ่งผมรับไม่ได้อยู่แล้ว ก็ผมจำเป็นต้องพูดนะครับ ในเรื่องกระจก ผมไม่ค่อยใช้กระจกอ่ะนะ
จากนั้น
“อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ประท้วง : ท่านประธานคะ ดิฉันประท้วง
ดิฉันขอใช้สิทธิ์พาดพิงค่ะ เมื่อสักครู่นี้นะคะ ท่านนายกฯ
ได้กล่าวถึงดิฉันว่าดิฉันก้าวล่วงสถาบัน ตรงไหน? ข้อหานี้มันผิดนะคะ
มันมีโทษร้ายแรง อยู่ดี ๆ จะปากพล่อยว่าคนอื่นอย่างนี้ได้ยังไง? อย่ามั่วนะคะ อย่ามั่ว
เที่ยวพูดตีขลุมแบบนี้นะคะ (จากนั้นคุณอมรัตน์ถูกปิดไมค์ แล้วเชิญนายกฯ ต่อ)
พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา :
ก็เวลาท่านพูดอะไรมาทั้งหมดผมก็ฟังได้ ท่านก็ฟังของท่านบ้าง
คือผมไม่ได้ว่าอะไรที่มันเกินความเป็นจริงเท่าไหร่เพราะว่าไปดูในคดีต่าง ๆ ก็มีอยู่หลายคดีอยู่เหมือนกัน
ก็ไปเตรียมต่อสู้คดีเอาละกันนะ
“อมรัตน์
โชคปมิตต์กุล” ประท้วง :
ท่านประธานคะ ท่านพาดพิงดิฉันอีกแล้วค่ะ ถอนนะคะ
ถอนคำพูดทั้งสองอย่าง มาตรา 112 เป็นมาตราร้ายแรงนะ
ท่านเที่ยวมาป้ายให้ใคร ๆ อย่างนี้ได้ยังไง?
พล.อ.ประยุทธ์
: ผมไม่ได้ป้าย
อมรัตน์
: นี่เอาเด็กไปเข้าคุกไม่ยอมปล่อยไม่ให้ประกัน
พล.อ.ประยุทธ์
: ผมไม่ได้ป้ายหรอกครับ
อมรัตน์
: อย่ามั่วค่ะ
พล.อ.ประยุทธ์
: ผมไม่ได้ไปยุ่งกับกระบวนการ
อมรัตน์
: ถอน ถอนคำพูดค่ะ
พล.อ.ประยุทธ์
: ผมไม่ถอนฮะ
อมรัตน์
: เมื่อวานก็ทำผิดกาลเทศะในสภา (โดนปิดไมค์อีก จากนั้นนายกฯ อภิปรายต่อ)
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ