ความเหมือนและความต่างของกองทัพพม่า-ไทย
โดย
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ 29 ก.ค. 65
ขณะที่กองทัพพม่าเชิดชู
: สหภาพ เอกภาพ อธิปไตย
กองทัพไทยเชิดชู
: ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ดูเหมือนมีความต่างกันที่
“คำขวัญและอุดมการณ์” แต่มีความเหมือนกันมากในความพยายามที่จะครองอำนาจเหนือประชาชน
โดยใช้กำลังกองทัพ พร้อมปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่าง
และใช้อาวุธทางกฎหมายลงโทษ จับกุมคุมขัง กระทั่งประหารชีวิต
มีการลุกขึ้นสู้และการเลือกตั้งสำหรับประเทศพม่า ผลการเลือกตั้ง พรรค NLD ของ
อองซานซูจี ก็ชนะทุกครั้ง แม้กองทัพจะเขียนกติกา เขียนรัฐธรรมนูญให้ได้เปรียบ
มีทหารเข้าไปเป็นส.ส. อย่างน้อย 25% และจองตำแหน่งรัฐมนตรี
เช่น กลาโหม, กระทรวงกิจการชายแดน, กระทรวงกิจการการเมือง เป็นของกองทัพเท่านั้น
และมีความต่างกันอีกอย่างคือ
รัฐธรรมนูญถูกอ้างให้ทำรัฐประหารได้โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ กระนั้นก็ล้มเหลวในการเลือกตั้งล่าสุดอีก
ต้องทำรัฐประหาร ยึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนประชาชนลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธไปแล้วในปัจจุบัน
กล่าวได้ว่าจากที่
พลเอก เนวิน ทำรัฐประหาร (ไล่เลี่ยกับจอมพล สฤษดิ์) จนปัจจุบัน
ทหารพม่าครองอำนาจมาตลอด ดูแล้วคงผลัดกันศึกษาซึ่งกันและกัน ระหว่างกองทัพพม่า-ไทย
เอาอย่างกันเพื่อหาวิธีให้ครองอำนาจนำตลอดไป
ความต่างที่หนักหน่วงคือ
พม่ามีหลายชาติพันธุ์ ที่มีประชากร มีพื้นที่ และวัฒนธรรมที่แน่นอน
และมีกองทัพของตนเอง มีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราชร่วมกัน
และเรียกร้องความเป็นรัฐอิสระตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 “สนธิสัญญาปางโหลง” ที่สัญญาจะให้อิสระแต่ละรัฐหลังรับเอกราชจากอังกฤษ
10 ปีแล้ว แต่นายพลอองซานถูกฆ่าตายพร้อมผู้นำรัฐต่าง ๆ ดังนั้นเป็นความขัดแย้งที่กองทัพพม่าถือชาติพันธุ์พม่าเป็นใหญ่
ไม่อนุญาตให้รัฐต่าง ๆ ของชนชาติอื่น แยกตัวออกไป และความเชื่อทางอุดมการณ์ “สหภาพ-เอกราช-อธิปไตย”
เต็มที่ โดยมีเผ่าพันธุ์พม่าเป็นผู้ปกครอง
ที่มีความเป็นเอกภาพและมีอธิปไตยเหนือดินแดนสหภาพทั้งหมด
ส่วนกองทัพไทย
อาจไม่เผชิญปัญหาชาติพันธุ์ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แค่ 3 จังหวัดภาคใต้
ก็มีวิธีคิดแบบเดียวกันนั่นแหละ และกองทัพไทยยังมีอุดมการณ์แบบดั้งเดิมในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ยึด “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งทั้งสองกองทัพมีอุดมการณ์ขัดแย้งกับแนวคิดสิทธิมนุษยชน
เสรีภาพ และความเสมอภาค ซึ่งเป็นเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยแบบสากล กองทัพทั้งสองประเทศจึงมีความเหมือนกันในเชิงอุดมการณ์ที่ล้าหลัง
ไม่อาจยอมรับสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพได้ จึงทำให้เข้าใจได้ว่า
ทำไมต้องใช้ความรุนแรงในการจัดการกับประชาชน
ก็เพื่อรักษาอำนาจของกองทัพที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนชนชั้นนำและกลุ่มเครือข่ายที่ได้ประโยชน์จากการครองอำนาจแบบเผด็จการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจเผด็จการของกองทัพ
ทำให้ผู้ยึดอำนาจมั่งคั่งทางเศรษฐกิจด้วย จนมิอาจปล่อยมือไปได้ เพราะถ้าปล่อยให้อำนาจหลุดมือ
อาจถูกเช็คบิลทั้งคดีความและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงในการปราบปราม
จับกุมคุมขัง จึงเป็นหนทางเดียวของกองทัพพม่ากับกองทัพไทย ที่มีกลุ่มคนและสถาบันล้าหลังต่าง
ๆ สนับสนุน
อย่าได้ร้องขอความปราณีจากเผด็จการทหารพม่าที่อาจฆ่าอีก 41
คน
ถ้าเช่นนั้นก็คงเหมือนกับประเทศไทยที่ว่า
อย่าร้องขอความปราณี ความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม จากรัฐเผด็จการจารีตนิยมไทยเช่นกัน
ใช่หรือไม่?
หรือประเทศไทยจะเป็นมิคสัญญีอย่างพม่า!
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ