วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

"ไผ่ดาวดิน-แอมมี่" รับทราบข้อกล่าวหาสน.พหลโยธิน กรณีชุมนุมซ้อมต้านรัฐประหารที่ห้าแยกลาดพร้าว ลั่นคดีความเยอะมาก แต่ไม่มีความกังวลใด ๆ

 


"ไผ่ ดาวดิน-แอมมี่" รับทราบข้อกล่าวหาสน.พหลโยธิน กรณีชุมนุมซ้อมต้านรัฐประหารที่ห้าแยกลาดพร้าว ลั่นคดีความเยอะมาก แต่ไม่มีความกังวลใด ๆ 


วันนี้ (3 ก.พ. 64) เวลา 10.30 น. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" และนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่ เดอะบอตทอมบูลส์" เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา กรณีร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ จากการชุมนุมปราศรัย "ม็อบซ้อมต้านรัฐประหาร" เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2563 ที่ห้าแยกลาดพร้าว


โดยบรรยากาศที่ สน.พหลโยธิน มีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน บก.น.2 มาวางกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยหน้าโรงพัก พร้อมประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจคัดกรองโรค


นายจตุภัทร์กล่าวว่า ได้รับหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องมาจากการจัดกิจกรรมชุมนุม "ซ้อมต้านรัฐประหาร" ซึ่งจะให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในกรอบเวลาที่กำหนดอีกครั้ง เพราะคดีนี้เป็นคดียุทธศาสตร์ จึงต้องต่อสู้ด้วยยุทธศาสตร์ ด้วยหลักคิดหลักกฎหมายต่าง ๆ ตอนนี้มีคดีความเยอะมากจนไม่ทราบว่าคดีไหนเป็นคดีไหน แต่ไม่มีความกังวลใจใด ๆ ในเมื่อเราโดนคดีเป็นกลุ่มก็จะสู้กันเป็นกลุ่ม ตนมองว่าการเคลื่อนไหวของราษฎรไม่ควรมาพบกับการใช้กฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก โดยสิ่งที่เราพูดถึงนั้นเป็นปัญหาที่อยู่ซุกอยู่ใต้พรมมาโดยตลอด ก็คือเรื่องการปฏิรูปสถาบัน


ด้าน ไชยอมร กล่าวว่า ตนยังได้รับหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาจาก สน.ชนะสงคราม ในวันนี้ กรณีการชุมนุมที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน 2563 ซึ่งได้ประสานเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาพบที่ สน.พหลโยธิน เนื่องจากเกรงว่าจะเดินทางไปไม่ทัน




ต่อมาเวลา 11.50 น. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" และนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่ เดอะบอตทอมบูลส์" ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน หลังเข้าพบพนักงานสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว 


จตุภัทร์ เผยเป็นเรื่องไร้สาระ ทำให้รู้สึกอัดอัด ว่าการดำเนินคดีแบบนี้ทำให้หน้าเบื่อ และทำให้พวกเราต้องเสียเวลาเยอะมากกับการที่ต้องเข้ามารายงานตัว


และกล่าวว่าการแจ้งข้อกล่าวหาก็เหมือนการฟังปราศรัยอีกรอบ เหมือนเป็นการถอดคำปราศรัยถอดประเด็นปัญหาของสังคมไทยให้มาอยู่ในสำนวน เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากเห็นปัญหาของสังคมไทย กรณีนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ทำให้เห็นว่า ทำไมต้องจัดชุมนุมซ้อมต้านรัฐประหาร ว่าการรัฐประหารมันไม่ดี สิ่งที่เราปราศรัยที่พูดอยู่บนเวที ก็มาปรากฎอยู่ในสำนวน 


จตุภัทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่านัยยะจริง ๆ แล้วพวกตนพูดถึงการปฎิรูปสถาบันฯ ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และการเซ็นต์รับรองรัฐประหาร พูดถึงเรื่องว่าถ้าเกิดการรัฐประหารเราจะออกมาต่อต้านอย่างไร แต่รัฐก็เอาเหตุอื่นมาขัดขวางสิทธิเสรีภาพในการพูดของพวกตน เช่นกรณีฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน หรือ พรก.อื่น ๆ 




ด้าน ไชยอมร เพิ่มเติมว่าชัดเจนว่าในสำนวนของตนมีข้อที่พูดถึงอย่างหนึ่งว่า การแสดงดนตรีในที่ชุมนุมเป็นเรื่องผิด เป็นการยุยงปลุกปั่นจึงมีการแจ้งข้อหาเพิ่มตน และน่าจะเป็นครั้งแรกที่แจ้งข้อกล่าวหาศิลปินบนเวทีคนอื่น ๆ ด้วย มันสะท้อนให้เห็นว่าการแสดงออก ทั้งในรูปแบบเชิงศิลปะ ดนตรี และการเรียกร้องในสิทธิเสรีภาพ เราถูกจำกัดสิทธิและถูกบังคับกำหนดว่าให้ทำไม่ได้ ไชยอมร ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงยุทธศาสตร์ฝ่ายรัฐ ณ ขณะนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด กับคดีที่แจ้งข้อกล่าวหามากมายเยอะมาก ทั้งคนที่อยู่และไม่อยู่ในสปอร์ตไลท์ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยติดตามสถานการณ์ไปด้วยกัน


จตุภัทร์ กล่าวอีกว่า ภายใต้สถานการณ์โควิดทำให้เคลื่อนไหวใหญ่ ๆ ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องช่วยกัน ไม่ว่าความอยุติธรรมนั่นเกิดขึ้นกับใคร อยากให้สังคมช่วยกันตั้งคำถาม การตีความว่าผิดกฏหมาย ไม่ผิดกฏหมาย นั้นต้องอย่างไร และใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐ ประชาชนควรถกปัญหาด้านสิทธิเสรีภาพ ผลพวงของรัฐประหาร การออกกฏหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ จะเห็นได้ว่าผลพวงการออกกฏหมายของ คสช.จะมาปรากฏในทุกคดี เพื่อปิดปากประชาชน


ช่วงท้าย จตุภัทร์ได้กล่าวว่า ณ วันนี้การเคลื่อนไหวใหญ่อาจจะยังไม่มี แต่ไม่ใช่ว่าการเคลื่อนไหวจะไม่มี การกดขี่ยังมี และแม้นบรรยากาศสังคมยังไม่เปิด ปัญหาโควิดประชาชนยังเดือดร้อน ปัญหาต่าง ๆ ยังมี และรัฐยังแก้ไขหรือช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ เพียงแค่พวกเรายังไม่สามารถมีเวทีพูด จึงฝากประชาชนติดตามปัญหาต่าง ๆ ไปด้วยกัน 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม็อบ27พฤศจิกา #ซ้อมต้านรัฐประหาร #ราษฎร #TheRatsadon