วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2567

“ไผ่ จตุภัทร์” หวังรัฐบาลใหม่ผลักดันกฎหมาย #นิรโทษกรรมประชาชน

กลุ่มแนวร่วมภาคประชาชน เดินรณรงค์ #นิรโทษกรรมประชาชน เชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อเพื่อผลักดัน พ.ร.บ.ร่างนิรโทษกรรมประชาชน เข้าสภา

 


กลุ่มแนวร่วมภาคประชาชน เดินรณรงค์ #นิรโทษกรรมประชาชน เชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อเพื่อผลักดัน พ.ร.บ.ร่างนิรโทษกรรมประชาชน เข้าสภา

.

วันนี้ (29 มกราคม 2567) กลุ่มแนวร่วมภาคประชาชน นำโดย กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย(DRG), คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน(ครช.), กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์ (Freedom of Kasetsart Group), ทะลุฟ้า, ทะลุแก๊ซ และเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน จัดกิจกรรมเดินรณรงค์ให้เกิดการตรานิรโทษกรรมประชาชนหรือนิรโทษกรรมการดำเนินคดีทางการเมืองตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 2549 โดยจะเริ่มรวมตัวเดินขบวนจากสี่แยกราชประสงค์ ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS สยาม ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นรถไฟฟ้า BTS จากสถานีสยามมุ่งหน้าไปยังสถานีหมอชิต ตั้งแต่เวลา 15.00 ที่ผ่านมา


ซึ่งกลุ่มผู้รณรงค์นั้น ต่างสวมเสื้อสีขาวปรากฏข้อความว่า "นิรโทษกรรมประชาชน" พร้อมชูป้ายข้อความสัญลักษณ์และแจกใบปลิวรณรงค์การนิรโทษกรรมประชาชน โดยเริ่มเดินขบวนจากสี่แยกราชประสงค์ แล้วเดินตามฟุตบาท ตลอดแนวถนนพระรามที่ 1 จากนั้นมีการหยุดแวะถ่ายรูปและชูป้ายเชิงสัญลักษณ์ บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลตำรวจ ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบริเวณใต้ BTS สถานีสยาม


ทั้งนี้ในระหว่างการเดินขบวน ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ลุมพินี และ สน.ปทุมวัน มาอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม กลุ่มรณรงค์กลุ่มนี้ไม่ได้จดแจ้งการชุมนุมตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ แต่กลุ่มรณรงค์มองว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้ไม่ใช่เป็นการชุมนุม แต่เป็นการเดินรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน จึงทำให้ พ.ต.อ.อาคม ชุมพรัตน์ ผกก.สน.ปทุมวัน ใช้อำนาจเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ประกาศให้ยุติการชุมนุม กลุ่มดังกล่าวจึงขึ้นรถไฟฟ้า BTS เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์บนรถไฟฟ้า ก่อนจะจัดกิจกรรมชูป้ายเชิงสัญลักษณ์ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิตต่อไป ซึ่งตลอดการจัดกิจกรรมไม่มีเหตุวุ่นวายหรือกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่และเกิดเหตุการณ์สร้างสถานการณ์ของมือที่สามแต่อย่างใด


ด้านนายกรกช แสงเย็นพันธ์ สมาชิกกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้ วัตถุประสงค์หลักคือ เป็นการประชาสัมพันธ์และรณรงค์ประชาชนให้รับรู้ถึงกระบวนการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนและกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมจากผู้มีอำนาจ จึงอยากจะเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้สู่รัฐสภา เพื่อให้เกิดการนิรโทษกรรมทางการเมืองแก่ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองหลังการรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา อันนำมาสู่ความปรองดองและคืนสู่ประชาธิปไตยที่มีนิติรัฐ นิติธรรม และประชาชนมีสิทธิเสรีภาพการแสดงออกทางการเมืองอย่างเต็มที่ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ หมายรวมถึงผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ด้วย แต่ไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะมองว่ามีอำนาจพิเศษในการละเว้นการถูกดำเนินคดี


นายกรกชกล่าวต่อไปว่า การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในวันนี้ ประชาชนค่อนข้างให้ความสนใจเป็นอย่างดี แต่อาจจะมีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจ จึงจำเป็นต้องรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน ก่อนที่จะเปิดให้ลงชื่อร่วมกันเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนผ่านออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1-14 กุมภาพันธ์ โดยตั้งเป้าหมายจากล่ารายชื่อให้ครบ 10,000 ชื่อขึ้นไปเพื่อ เพื่อนำรายชื่อดังกล่าวเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าไปยังรัฐสภาตามขั้นตอนต่อไป


จากนั้นกลุ่มผู้รณรงค์นิรโทษกรรมประชาชน ได้มาจัดกิจกรรมบริเวณป้ายรถเมล์ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ในเรื่องการนิรโทษกรรมประชาชนและแจกใบปลิวแก่ผู้สัญจรผ่านไปมา โดยจะมีการยุติการจัดกิจกรรมในเวลา 17:30 และจะนัดหมายจัดกิจกรรมกันใหม่ในช่วงงานเกษตรแฟร์ ซึ่งในระหว่างการจัดกิจกรรม บรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีความรุนแรงหรือการสร้างสถานการณ์แต่อย่างใด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางซื่อ มารักษาความปลอดภัยบริเวณการจัดกิจกรรม


สำหรับประชาชนที่สนใจร่วมลงชื่อออนไลน์และกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นประเด็น ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน สามารถเข้าไปชมรายละเอียดได้ระหว่างวันที่ 1-14 ก.พ. นี้ ที่ http://amnestypeople.com


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน





“ธรรมนัส” สั่งปลัดก.เกษตร สอบข้อเท็จจริง ปม “ศรีสุวรรณ” รีดไถอธิบดีกรมการข้าว พร้อมให้ดูกล้องวงจรปิดเข้าไปพบรมต.คนไหน ระบุ เป็นเรื่องเก่าที่กำลังปัดกวาดทำความสะอาดอยู่ เย้ยพาดพิงผู้ใหญ่ แค่ราคาคุย ฟุ้ง มีคลิปเด็ดมากกว่าสื่อ เตือน เล่นกับกษ. ยุคนี้ต้องระวัง มีนักกฎหมายร่วม 20 คน วางเบ็ดไว้รอบกระทรวง

 


“ธรรมนัส” สั่งปลัดก.เกษตร สอบข้อเท็จจริง ปม “ศรีสุวรรณ” รีดไถอธิบดีกรมการข้าว พร้อมให้ดูกล้องวงจรปิดเข้าไปพบรมต.คนไหน ระบุ เป็นเรื่องเก่าที่กำลังปัดกวาดทำความสะอาดอยู่ เย้ยพาดพิงผู้ใหญ่ แค่ราคาคุย ฟุ้ง มีคลิปเด็ดมากกว่าสื่อ เตือน เล่นกับกษ. ยุคนี้ต้องระวัง มีนักกฎหมายร่วม 20 คน วางเบ็ดไว้รอบกระทรวง


วันที่ 29 มกราคม 2567 เวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมกรณีข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว 1.5 ล้านบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนตรวจสอบโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าวว่า มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวมาที่ตนด้วยเช่นกัน โดยเป็นโครงการในปีงบประมาณ 65-66 ไม่เกี่ยวกับงบประมาณปี 67 ถือเป็นเรื่องเก่าที่เรากำลังปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน เรื่องใดที่ร้องมายังตน จะส่งเรื่องไปยังปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าส่อในทางทุจริตจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน เป็นเรื่องภายในกระทรวง

 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มีคนภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน ซึ่งได้สั่งให้ปลัดกระทรวงตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวกับข้าราชการอย่างไร และกรมที่เป็นประเด็นอยู่ ซึ่งตนได้มอบหมายให้ รมช.เกษตรและสหกรณ์เป็นผู้กำกับดูแล ก็สั่งการให้เข้าไปดูข้อเท็จจริงด้วยตนเอง รวมถึงให้ปลัดกระทรวงรับผิดชอบด้วย เรื่องนี้ตนได้ย้ำว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนสนใจ ได้ขอให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมา และทุกเรื่องที่ตนดำเนินการได้รายงานให้กับนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาทราบ  


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการแอบอ้างว่ามีรัฐมนตรีในกระทรวงสั่งการให้ตรวจสอบโครงการดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนกำลังสั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในกระทรวงว่าผู้ถูกกล่าวหาไปพบ รมช.เกษตรและสหกรณ์คนใด เราอย่าไปกล่าวหารัฐมนตรี เพราะถือเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องตรวจสอบก่อน ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ตนทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้มีแค่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ เพียงแต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีหน่วยงาน ตนมีที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายที่เป็นทนายความประมาณ 20 คน จะทำอะไรในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องระวัง


เมื่อถามย้ำว่า กรณีที่ถูกรีดไถมีแค่กรมเดียวใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า มีหลายกรม แต่ยังไม่เป็นประเด็น ส่วนกรณีคลิปเสียงพาดพิงกรมฝนหลวงและการบินเกษตรด้วยนั้น ตนได้รับรายงานจากอธิบดีทั้งสองกรม และได้ให้ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายเข้าไปให้คำแนะนำ ยืนยันว่ายุคตนต้องไม่มีเรื่องพวกนี้เด็ดขาด    


เมื่อถามว่า ในคลิปเสียง นายยศวริศมีผู้ใหญ่ให้มาเคลียร์ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “คลิปมีเยอะ ที่ผมได้รับมามากกว่าที่สื่อมวลชนได้รับ ผมกำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวน การที่ผู้ถูกกล่าวหาไปพาดพิงผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง หรือแม้แต่ผมก็ถูกพาดพิง ผู้หลักผู้ใหญ่มากกว่าผมก็มี สิ่งเหล่านี้ผมจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าคนที่ถูกพาดพิงเกี่ยวข้องมั้ย แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นมันน่าจะเป็นเรื่องของราคาคุย และผมขอฝากพี่น้องที่รักอาชีพจะเป็นนักสะท้อนสังคม ขอให้พึงระวัง จะคุยกับนักกฎหมายต้องระวัง เพราะนักกฎหมายไม่โง่”


รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้ได้มีการสั่งการไปที่ปลัดและรองปลัดให้รีบดำเนินการแล้ว ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด


“ฝากไปบอกด้วยว่ากระทรวงเกษตรฯ มีเบ็ดอยู่รอบกระทรวงเลย ใครจะเดินเข้าไประวังติดเบ็ด ซึ่งตรรกะง่าย ๆ ถ้าอธิบดีกรมการข้าวผิดจริงเขาคงไม่เปิดหน้าชกขนาดนี้ และได้มีการพูดคุยกันแล้วว่าหลักฐานที่มีอยู่ในมือค่อนข้างแน่น รายงานให้ผมทราบหมดแล้ว แต่ผมไม่อยากพูดถึง มีผู้อยู่เบื้องหลังอีกเยอะ คลิปเสียงที่เผยแพร่ออกมายังมียาวกว่านี้อีกเยอะ” ร.อ.ธรรมนัส ระบุ


เมื่อถามว่า หากอธิบดีกรมการข้าวไม่มั่นใจ ทำไมจึงออกมาตลบหลังนายศรีสุวรรณ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เขาไม่ได้ตลบ เขาถูกข่มขู่มั้ง ถ้าฟังเราต้องฟังให้หมด แต่ชอบเอามาตัดต่อตัดนิดตัดหน่อย ต้องเปิดฉบับเต็มไปเลย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศรีสุวรรณ #อธิบดีกรมการข้าว

ศาลสั่งจำคุก 3 ปี “ลลิตา” คดีม.112 กรณีโพสต์คลิป TikTok วิจารณ์นโยบายจัดการโควิด-19 การใช้ภาษีประชาชน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

 


ศาลสั่งจำคุก 3 ปี “ลลิตา” คดีม.112 กรณีโพสต์คลิป TikTok วิจารณ์นโยบายจัดการโควิด-19 การใช้ภาษีประชาชน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

 

วันนี้ (29 มกราคม 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่าน X ระบุว่า ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เวลาประมาณ 10.00 น. ศาลอาญาพิพากษา จำคุก 3 ปี กับ “ลลิตา มีสุข” ในคดีมาตรา 112

 

ในคดีนี้ ลลิตาให้การรับสารภาพ กรณีถูกฟ้องว่าโพสต์คลิป TikTok วิจารณ์นโยบายจัดการโควิด-19 การใช้ภาษีประชาชน และถูกกล่าวหาว่ามีการพาดพิงถึงกษัตริย์

 

อย่างไรก็ตาม โทษจำคุก 3 ปีดังกล่าวศาลให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากเห็นว่าได้สำนึกในการกระทำแล้ว

 

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ลลิตา มีสุข ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐาน “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) มาตรา 14 (3) โดยลลิตา มีสุข ประชาชนชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ถูกอภิวัฒน์ ขันทอง ในฐานะประธาน คตส.ตามคำสั่งนายกฯ เข้าแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีในฐานความผิด “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ​ กรณีโพสต์คลิปวิดีโอสั้นใน TikTok วิจารณ์การใช้ภาษีประชาชน เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2564 ซึ่งเธอยืนยันว่า มีเจตนาเพียงวิจารณ์รัฐบาลเท่านั้น

 

โดยหลังจากอัยการยื่นฟ้อง โดยไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว ศาลได้รับฟ้องและอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในชั้นพิจารณา โดยให้วางหลักทรัพย์ประกันเป็นเงิน 200,000 บาท เป็นเงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ ศาลยังได้กำหนดเงื่อนไข “ห้ามจำเลยกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเดียวกันกับที่ถูกฟ้อง ห้ามโพสต์ข้อความหรือกระทำการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หรือเป็นการเสื่อมเสีย ด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล”

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะถึงวันฟังคำพิพากษาวันนี้ ลลิตาได้ไปร่วมพูดคุยวงสนทนา Stand Together 4 เดินหน้านิรโทษกรรม ยุติการดำเนินคดีทางการเมืองกับประชาชน ที่จัดโดย iLaw โดยช่วงหนึ่งของการเสวนา ลลิตาเล่าว่า เธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาตั้งแต่เด็กจนทำให้ได้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างสองแห่ง แม้คนในกรุงเทพฯ จะรู้สึกว่าหลายสิ่งในเมืองมีปัญหาแต่ก็ยังห่างไกลจากความเหลื่อมล้ำที่เธอพบเจอมาจากต่างจังหวัด ความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ทำให้ลลิตาพยายามสื่อสารมาตลอดตั้งแต่ยังเรียนอยู่มัธยมศึกษา โดยเฉพาะในช่วงความขัดแย้งระหว่างชุมนุมเสื้อสีในกรุงเทพฯ

 

โดยลลิตา ได้กล่าวว่า การทำคลิปวิจารณ์ตอบโต้การออกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้านประชานิยมในโครงการประชารัฐ โดยในคลิปดังกล่าวมีการใช้คำราชาศัพท์ทั้งสิ้นหนึ่งคำจึงถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีมาตรา 112 แม้ว่าเนื้อหาคลิปจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใดก็ตาม เรื่องนี้ลลิตามองว่าเป็นความพยายาม “บิด” ให้การกระทำของเธอผิดตามมาตราดังกล่าวให้ได้ ซึ่งยิ่งสะท้อนปัญหาของการบังคับใช้มาตรา 112

 

ลลิตากล่าวถึง การเลือกที่รับสารภาพในคดีนี้ว่าแต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน การรับสารภาพในคดีมาตรา 112 ไม่ได้เป็นการยอมรับว่ากระทำสิ่งผิดแต่เป็นสภาวะจำยอมที่ต้องทำ อย่างลลิตามองว่าคุณแม่ของเธอกำลังจะหายจากการป่วยอยู่แล้ว หากเธอต้องสู้คดีไปจนสุดทางกระทั่งเข้าเรือนจำนั้นจะเป็นผลเสียมากกว่าดี อีกทั้งการอยู่นอกเรือนจำยังทำให้สามารถส่งเสียงเรียกร้องและต่อสู้ทางการเมืองต่อไปได้เรื่อย ๆ อีกด้วย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม112

ศาลเเขวงพระนครเหนือยกฟ้อง “ไอซ์ รักชนก” พ้นผิดหมิ่นประมาท 2 พิธีกร “เจ๊ปอง-กนก” ชี้เป็นการติชมโดยสุจริต เจ้าตัวไม่คิดฟ้องกลับ อยากให้คำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานสามารถวิจารณ์สื่อโดยสุจริตได้

 


ศาลเเขวงพระนครเหนือยกฟ้อง “ไอซ์ รักชนก” พ้นผิดหมิ่นประมาท 2 พิธีกร “เจ๊ปอง-กนก” ชี้เป็นการติชมโดยสุจริต เจ้าตัวไม่คิดฟ้องกลับ อยากให้คำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานสามารถวิจารณ์สื่อโดยสุจริตได้


วันที่ 29 มกราคม 2567 เวลา 09.00 น. ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศูนย์ราชการ ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านฟังคำพิพากษาคดีที่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก (อดีตพิธีกรข่าวช่องท็อปนิวส์) และ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรข่าวช่องท็อปนิวส์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.เขตบางบอน-หนองแขม พรรคก้าวไกล เป็นจำเลยในความผิดฐาน “หมิ่นประมาท” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท


โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564 ขณะที่จำเลยร่วมทำกิจกรรมในการชุมนุมทางการเมืองบริเวณหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก จำเลยได้พูดใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อบุคคลที่สาม ด้วยการตะโกนพูดกับผู้สื่อข่าวที่กำลังรายงานสดการชุมนุมถ่ายทอดออกอากาศ ซึ่งหมายถึงโจทก์ทั้งสอง ทำนองว่าเป็นพิธีกร ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดกันเอง นำเสนอเฟคนิวส์ (ข่าวเป็นเท็จ) ทุกอย่าง ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง จาการปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชน ในม็อบ 6 มีนาคม2564 ของกลุ่มรีเด็ม ขอให้ลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย


โดยในวันนี้ “ไอซ์ รักชนก” เดินทางมาฟังคำพิพากษา และต่อมาในเวลา 09.00 น.เศษ น.ส.รักชนกให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำพิพากษาว่า วันนี้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยศาลเห็นว่าคำพูดอาจจะมีความหยาบคายอยู่บ้างแต่ว่าได้พิเคราะห์พิจารณาแล้วว่าเป็นการติชมโดยสุจริต ซึ่งคดีนี้โจทก์ทั้ง 2 ได้เรียกค่าเสียหายคนละ10 ล้านบาท ศาลก็พิพากษาว่า เมื่อไม่มีความผิดทางอาญาก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายทางแพ่ง


ผู้สื่อข่าวถามว่า เสื่อมเสียชื่อเสียงจากคดีนี้หรือไม่ “รักชนก” กล่าวว่า มองว่าเป็นการปิดปากมากกว่า ก่อนหน้านั้นที่ยังไม่ได้เป็นสส. เป็นประชาชน รู้สึกว่าก็พูดในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เรียกร้องให้สื่อทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพราะ สื่อคือตัวกลางสำคัญในการส่งต่อไปให้ประชาชน สื่อมีความสำคัญต่อระบบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก ถ้าสื่อไม่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่นำเสนอตรงไปตรงมาแล้วทำตัวเป็นสิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้รัฐ สามารถใช้ความรุนแรงให้กับประชาชนได้ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ปี 53 หรือว่าเหตุการณ์ปี 63-64 ที่ผ่านมาถ้าสื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตำรวจ สามารถใช้ความรุนแรงกับประชาชนได้ คือประเทศนี้ประชาชนก็ไม่รู้จะไปพึ่งพาใครแล้ว ถ้าสื่อไม่ทำหน้าที่นี้


รักชนก กล่าวต่อว่า ดังนั้นเราก็รู้สึกว่าในวันที่เราพูดไปแล้วก็ยืนยันว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต วันนี้ผลคำพิพากษาก็ออกมาตามนั้น อยากให้คำพิพากษาในคดีนี้ได้ใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิพากษาคดีอื่น ๆ ที่ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์สื่อออกไป เพราะตนคิดว่าเมื่อสื่อมีพื้นที่มากมายในการที่นำเสนอข่าวและวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์บุคคลอย่างตรงไปตรงมา ก็ควรที่จะถูกตั้งคำถามแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตได้เช่นเดียวกัน ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้สื่อมวลชนทุกคนที่ทำหน้าที่นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและขอให้ในอนาคต "เรามีสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมีเสรีภาพสื่อที่เรียกว่าเป็นเสรีภาพสื่อจริง ๆ ในด้านแรงงานภาคสื่อมวลชนทุกคนอยากให้ได้รับสวัสดิการที่มันดีขึ้นตรงไปตรงมา มีกฎหมายที่คุ้มครองรองรับในวันที่เรียกว่าเราบาดเจ็บหรือว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น" น.ส.รักชนกกล่าว


เมื่อถามว่าอย่างเรื่องของเสรีภาพสื่อจะมีการไปเสนอญัตติอะไรในที่ประชุมสภาหรือไม่ น.ส.รักชนก กล่าวว่า เราพยายามผลักดันเรื่องนี้ก็คงกลับไปวางแผนกันว่าเอาคดีนี้สามารถไปต่อยอดให้เป็นแนวทางของคดีอื่น ๆ หรือสามารถเอาไปเป็นวัตถุดิบที่เอาไปทำไรได้บ้าง ส่วนเรื่องฟ้องกลับ จริง ๆ แล้วตั้งแต่เป็นสส.ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ฟ้องประชาชน ไม่ฟ้องสื่อ ไม่อยากใช้วิธีการปิดปากที่รัฐทำกับประชาชน เราคงไม่อยากเข้ามามีอำนาจแล้วก็ไปฟ้อง นอกจากคดีนี้กับคู่กรณีคดีอื่นก็ไม่มีเเล้ว


ที่ศาลยกฟ้องในวันนี้ก็ไม่กังวลแล้วค่ะ รู้สึกแล้วว่าโล่งอก เรารู้สึกว่าการมีคดีความต่าง ๆ ที่เป็นคดีฟ้องปิดปาก มันเป็นเหมือนแมลงหวี่ที่สร้างความรบกวนทำให้เราพลาดภาระงานมาเพื่อมานั่งฟังคำพิพากษา ก็รู้สึกโล่งใจก็ดีแล้วที่จะไม่ต้องมาศาลบ่อย ๆ


คดีความตอนนี้ก็เหลือแค่การยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ขอบคุณศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนมาก ๆ ที่ให้การดูแลตลอดรวมถึงกองทุนราษฎรฯที่เสนอจะมาประกันตัวให้ถ้าสมมติว่ามีคำพิพากษาออกมาไม่เป็นคุณก็ขอบคุณทนายทุกคนที่อยู่ในศูนย์ทนายสิทธิ์ที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ แล้วก็ทำให้ประชาชนคนหนึ่งที่วันนั้นเราไม่ได้มีตำแหน่งไม่ได้มีหน้าที่ไม่มีทุนทรัพย์ในการต่อสู้คดีทำให้เราได้รับความยุติธรรมได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นความยุติธรรมที่ล่าช้าแต่ว่าก็ขอบคุณทนายจริงๆที่อยู่กับเรามาตลอดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชนที่ไม่มีทางสู้มาตลอดคดีนี้สู้กันมาตั้งเเต่ปี 63


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ไอซ์รักชนก

“ภูมิธรรม” ย้ำ รัฐบาลรับฟังทุกความเห็นที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลวอลเล็ต หลังนิด้าโพลเผยผลสำรวจประชาชนไม่โกรธหากรัฐบาลคว่ำโครงการ บอกไม่ต้องรอความเห็น ป.ป.ช. เพราะเป็นแค่ข้อสังเกต ไม่ใช่ข้อปฏิบัติ


“ภูมิธรรม” ย้ำ รัฐบาลรับฟังทุกความเห็นที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลวอลเล็ต หลังนิด้าโพลเผยผลสำรวจประชาชนไม่โกรธหากรัฐบาลคว่ำโครงการ บอกไม่ต้องรอความเห็น ป.ป.ช. เพราะเป็นแค่ข้อสังเกต ไม่ใช่ข้อปฏิบัติ


วันที่ 29 มกราคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลโพลของนิด้าโพลที่ระบุว่าประชาชน 60% ไม่โกรธ หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่เกิดขึ้นจริง ว่า เวลานี้มีความคิดเห็นที่หลากหลาย สำคัญที่สุดคือรัฐบาลจะต้องรวบรวมความคิดเห็นและผลโพลต่าง ๆ ส่วนเรื่องความความคิดเห็นในการสนับสนุน ตนอยากให้ดูเจตนารมย์ของโครงการนี้ เพราะรัฐบาลจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนแต่รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะขยายกว้างขึ้น หัวใจสำคัญคือนโยบายรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และดำเนินโดยเจตนารมย์ที่ทำต่อประชาชน ยืนยันว่ารับฟังความคิดเห็นทุกส่วน


“นโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเป็นสัญญาผูกพันที่แจ้งต่อตัวแทนประชาชนที่ต้องดำเนินการ ส่วนจะดำเนินการอย่างไรก็อยู่กับความคิดเห็นที่เสนอมา โดยเฉพาะหน่วยราชการมีหน้าที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล แต่ความคิดเห็นของที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการก็จะต้องนำไปทบทวนพิจารณาว่านโยบายต่าง ๆ จะดำเนินการได้อย่างไร”


นายภูมิธรรม เปิดเผยด้วยว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างจะต้องพิจารณา วิธีการไหนดีที่สุด ที่ไม่กระทบกับส่วนที่ได้เสนอออกไปเราก็จะดำเนินวิธีการนั้น จะใช้ พรบ.หรือ พรก. ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อม


ส่วนที่ได้ทวีต x ว่า หากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจจะคล้ายกับปี 40 นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีนักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งมองว่า จากการดูชีพจรทางเศรษฐกิจและตัวเลขที่ผ่านมา อาการขณะนี้คล้ายกับวิกฤตปี 40 แต่นักวิชาการบางคนก็มองว่าไม่วิกฤตเลยก็มี


“แต่เวลานี้สิ่งที่รัฐบาลทำ รัฐบาลพยายามคิดอะไรออกไปให้ไกลขึ้น โดยอิงข้อมูลทางวิชาการ และความคิดเห็นของประชาชน ยึดหลักว่าหากยังคิดอะไรแบบเดิม ชีวิตก็จะเป็นแบบเดิม“ นายภูมิธรรม กล่าว


ที่ผ่านมาไม่ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือส่วนที่เกี่ยวข้อง คิดในแนวทางที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งก็มาถึงจุดนี้ที่ประเทศหยุดการเดินหน้ามากกว่า 10 ปี ทำให้เป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกาย หากคิดแบบเดิมก็จะได้แบบเดิม หากคิดแบบใหม่และพยายามทำให้รอบคอบก็จะได้อะไรใหม่ ๆ นายภูมิธรรม กล่าว


ส่วนจะมีการนัดประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตเมื่อใด นายภูมิธรรม เผยว่า จะนัดประชุมโดยเร็วที่สุด ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแค่มาประชุมในวงแล้วจบ


“ส่วนจะต้องรอความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่ ตนมองเป็นเพียงข้อคิดเห็น เป็นเพียงจินตนาการว่าหากเป็นอย่างนี้จะมีปัญหาอย่างนั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นความคิดเห็นที่ดีเป็นข้อเตือนใจ เป็นเพียงข้อสังวรไม่ใช่ข้อปฏิบัติ” นายภูมิธรรม กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ดิจิทัลวอลเล็ต

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567

สส. - ส.ก. ก้าวไกล แท็กทีมภาคประชาสังคม ตรวจงานทางเท้า กทม. หลังนำร่องโซนอุดมสุขดันเป็นอารยสถาปัตย์ พบปัญหาต้องแก้เพียบ

 


สส. - ส.ก. ก้าวไกล แท็กทีมภาคประชาสังคม ตรวจงานทางเท้า กทม. หลังนำร่องโซนอุดมสุขดันเป็นอารยสถาปัตย์ พบปัญหาต้องแก้เพียบ

 

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2567 สส. และ ส.ก. พรรคก้าวไกล นำโดย ปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพฯ (เขตบางนา พระโขนง) ฉัตรชัย หมอดี ส.ก.เขตบางนา สราวุธ อนันต์ชล ส.ก.เขตพระโขนง พร้อมด้วย มานิตย์ อินทร์พิมพ์ หรือ “ซาบะ” ผู้ใช้วีลแชร์และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนพิการ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก Accessibility is Freedom ร่วมตรวจงานทางเท้ากทม. บริเวณถนนอุดมสุขทั้งฝั่งซ้าย (เลขคี่) และฝั่งขวา (เลขคู่) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เขตบางนาและเขตพระโขนง เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2567 โดยคณะได้เดินตรวจงานตั้งแต่ต้นซอยอุดมสุขฝั่งเลขคี่ จนถึงบริเวณก่อนถึงคลองเค็ด ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีการปูทำทางเท้าใกล้แล้วเสร็จ เหลือเพียงการเก็บรายละเอียดงานเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ทางเท้าซอยอุดมสุขฝั่งเลขคู่ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

 

ปิยรัฐ กล่าวว่า วันนี้มาตรวจสอบทางเท้าร่วมกับ ส.ก. ทั้ง 2 เขต หลังจาก กทม. มีการของบประมาณเพื่อนำมาปรับปรุงทางเท้าให้เป็นอารยสถาปัตย์ ออกแบบเพื่อผู้พิการ ผู้สูงอายุ และประชาชนได้ใช้งานได้ร่วมกัน จึงได้เชิญคุณซาบะมาทดสอบและแสดงความเห็นติชม ในฐานะผู้ใช้วีลแชร์ของเขตนี้

 

ด้านมานิตย์หรือซาบะกล่าวว่า วันนี้มาทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการพัฒนาทางเท้าอุดมสุข ซึ่งตนกังวลถึงเรื่องมาตรฐาน เพราะโครงการนี้จะเริ่มสร้างทั่วกรุงเทพฯ จึงอยากให้มีมาตรฐานที่เท่ากันและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยมีข้อสังเกตเช่น เจ้าหน้าที่เขตควรเดินสำรวจโครงการก่อสร้างที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อจะได้เห็นปัญหาและจุดที่ต้องแก้ไข เพราะระหว่างการสำรวจพบฝาท่อที่มีลักษณะนูนขึ้นมาเหนือพื้นดิน ตู้สื่อสารที่ขวางเส้นทางการใช้วีลแชร์ เสาไฟฟ้ากลางทางเท้า ร้านอาหารที่รุกล้ำทางเท้า นอกจากนี้ มีข้อที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับคนพิการ เนื่องจากคนพิการมีหลายกลุ่ม นอกจากกลุ่มผู้ใช้วีลแชร์ ยังมีกลุ่มผู้พิการทางสายตา แต่ตามเส้นทางยังมีหลายจุดที่มีปัญหา ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งกีดขวางบนทางเท้าที่ช่วยในการสัญจรของผู้พิการทางสายตา

 

"จริงๆ เริ่มต้นมองว่านโยบายปรับปรุงทางเท้าเป็นนโยบายที่ดีอยู่แล้ว แต่พอมาตรวจสอบหน้างาน จะเห็นว่ามีจุดตำหนิ (defect) ที่ต้องแก้ไขเยอะมาก เช่น การจัดโซนนิ่ง ต้นไม้ เสาไฟฟ้า ตู้สื่อสาร ทุกอย่างที่อยู่บนทางเท้าต้องมีการจัดพื้นที่ และเห็นว่ามีการรุกล้ำทางเท้า ทางเท้าสกปรก ทั้งๆ ที่เพิ่งสร้างได้ไม่นาน” นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนพิการกล่าว

 

ซาบะกล่าวด้วยว่า จุดที่เป็นปัญหาที่สุดของตนคือเสาไฟฟ้าและเรื่องโซนนิ่ง รวมถึงความปลอดภัยระหว่างจุดเชื่อมต่อ ทางเดินทางเท้าต้องเป็น 0 องศา และต้องคำนึงถึงกลุ่มคนที่มีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ด้วย เช่น ผู้ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ

 

ด้านฉัตรชัย กล่าวว่า ทุกคนมาร่วมตรวจสอบในฐานะ Third Party ที่ผ่านมาการออกแบบสิ่งต่างๆ มักมองข้ามกลุ่มคนพิการ จึงได้เชิญภาคประชาสังคมที่ทำงานประเด็นดังกล่าวมาร่วมตรวจงานในวันนี้ด้วย ทำให้เห็นปัญหาและอุปสรรคในการใช้ทางเท้าของคนพิการ ระยะทางตลอด 4 กิโลเมตรวันนี้มีหลายเรื่องต้องแก้ไข ตนและ ส.ก.ก้าวไกล ไม่นิ่งนอนใจแน่นอน จะร่วมผลักดันทางเท้าทั่ว กทม. ให้มีลักษณะเป็นอารยสถาปัตย์ หรือ universal design เพื่อประชาชนทุกคนทุกกลุ่ม สามารถเดินทางได้โดยสะดวก

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #อุดมสุข