“ชูศักดิ์”
กล่าวถึงอำนาจ “ภูมิธรรม” ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ทูลเกล้าฯ ยุบสภา
ได้หรือไม่
วันนี้ (4 กันยายน 2568) นายชูศักดิ์
ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี
ปัญหาว่าท่านรองนายกฯภูมิธรรม ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจที่จะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้หรือไม่ว่า
1.
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มิใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี
ดังที่ตั้งประเด็นกันว่า
“ผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่” ตามมาตรา 103
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรี มีแต่เพียงอำนาจถวายความเห็นโดยการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา
103 และมาตรา 175 เท่านั้น
2.
การตีความรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยควรตีความไปในทางที่สามารถใช้บังคับแก่เหตุการณ์ต่าง
ๆ ได้ มิใช่ก่อให้เกิดทางตัน ขณะเดียวกันก็ควรตีความโดยเคร่งครัด เช่น เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประสงค์จะจำกัดอำนาจหน้าที่ใดของบุคคลหรือองค์กรใด
ก็จะบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ดังเช่นการจำกัดอำนาจของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีภายหลังการยุบสภาแล้ว
ตามมาตรา 169
และบัญญัติว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำมิได้ภายหลังการเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะตามมาตรา
151 และการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุเดียวกันตาม มาตรา 103
โดยไม่มีบทบัญญัติอื่นใดจำกัดอำนาจนายกรัฐมนตรีในการถวายความเห็นให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา
175 ไว้ในมาตราใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่ออำนาจใดเป็นของนายกรัฐมนตรีแล้ว
อำนาจนั้นย่อมเป็นของรองนายกรัฐมนตรีที่รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น
เพราะไม่มีข้อจำกัดไว้ในที่ใด คำกล่าวที่ว่าอำนาจในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีเป็นการคิดเอาเองตามทฤษฎี เช่น
ถือว่านายกรัฐมนตรีได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร
จึงควรเป็นบุคคลเดียวที่เสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรได้
เป็นการนำทฤษฎีคนละเรื่องกันมาตีความนอกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ถ้ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประสงค์จะให้ตีความเช่นนั้น ก็คงบัญญัติไว้แล้ว
ดังเช่น บัญญัติไว้ในมาตรา 167 (1)
ว่ารัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
ที่เป็นเช่นนี้
เพราะแม้นายกรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุใดเหตุหนึ่งแต่เพราะนายกรัฐมนตรีมาจากความไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎร
รัฐมนตรีอื่นทั้งคณะจึงต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย
3.
ที่ว่าการตีความรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต้องตีความไปในทางที่ใช้บังคับได้
เพราะหากเกิดเหตุการณ์สำคัญที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งและยังคงมีรองนายกรัฐมนตรีรักษาการ
แต่เหตุการณ์นั้นรุนแรงจนสมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร
ก็จะหาทางออกด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ อันจะก่อให้เกิดผลอันตรายและเสียหายตามมา
อันจะเป็นทางตันไม่อาจแก้ปัญหาได้
4.
รองนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจในการนำความกราบบังคมทูล
พระกรุณาถวายร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้
ส่วนจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประการใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาด
ไม่อาจถูกทบทวนโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรใด ๆ ได้
5.
ข้อที่ว่าผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เคยทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมาก่อน
มิใช่เหตุผลที่จะตัดอำนาจดังกล่าว ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอดีต
จึงถือเป็นประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ได้
แท้จริงแล้วถ้าเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องหาทางออกจนได้ ดังเช่น กรณีนายสัญญา ธรรมศักดิ์
ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายความเห็นให้ทรงยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
เมื่อปีพุทธศักราช 2516 (หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516) ทั้งที่ ไม่เคยมีประเพณีให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการแต่งตั้ง
และครั้งนั้นก็เคยสงสัยกันว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจเช่นนั้นหรือไม่
แต่ก็มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรในที่สุด