วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2568

สส.ปชน. หนุนจัดตั้ง “เครือข่ายร่วมพัฒนาด้านการราชทัณฑ์” เปิดให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมปฏิรูประบบราชทัณฑ์ของไทยให้ได้มาตรฐานสากล

 


สส.ปชน. หนุนจัดตั้ง “เครือข่ายร่วมพัฒนาด้านการราชทัณฑ์” เปิดให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมปฏิรูประบบราชทัณฑ์ของไทยให้ได้มาตรฐานสากล


วันที่ 11 กันยายน 2568 ภัสริน รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ (บางซื่อ ดุสิต) พรรคประชาชน ในฐานะคณะทำงานในการจัดทำข้อเสนอการปฏิรูปเรือนจำ ภายใต้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา คณะทำงานฯ ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในกลไกตามกฎหมายราชทัณฑ์ โดยเสนอแนวคิด “เครือข่ายร่วมพัฒนาด้านการราชทัณฑ์” เพื่อเป็นกลไกใหม่ที่เปิดให้ประชาชน ภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบในการกำหนดนโยบาย ตรวจสอบ และพัฒนางานราชทัณฑ์ไทย


ภัสริน กล่าวว่า การปฏิรูประบบราชทัณฑ์ของไทยจำเป็นต้องก้าวให้ทันมาตรฐานสากลและหลักสิทธิมนุษยชน โดยอ้างอิง Mandela Rules, Bangkok Rules, CAT และ OPCAT แม้กรมราชทัณฑ์ได้กำหนดภารกิจพัฒนาเรือนจำต้นแบบ แต่ตลอดเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา การดำเนินงานยังล่าช้าและไม่จริงจัง ทั้งการแยกคุมขังผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีกับนักโทษเด็ดขาดที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ความแออัดต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ 1.6 ตารางเมตรต่อคน การจำกัดสิทธิในการพบทนายและใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง การขาดมาตรฐานสุขอนามัย และความไม่โปร่งใสของระบบแรงงานผู้ต้องขัง แนวทางแก้ไขจึงต้องเน้นการปรับกฎหมายเพื่อเปิดให้ภาคประชาสังคมและนักวิชาการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เสริมโครงสร้างกรรมการราชทัณฑ์ให้หลากหลาย และยอมรับเสียงของอดีตผู้ต้องขัง เพื่อผลักดันให้ระบบราชทัณฑ์ไทยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล


ด้าน ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี เขต 3 พรรคประชาชน ได้แบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับระเบียบราชทัณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันว่ายังคงเปิดช่องให้การละเมิดสิทธิของผู้ต้องขังดำเนินต่อไป ทั้งในมิติของสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรม ตัวอย่างชัดเจนคือมาตรการแรกรับผู้ต้องขัง ซึ่งควรเป็นกระบวนการที่คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานและช่วยประเมินสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังรายใหม่ แต่กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ผู้ต้องขังจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจร่างกายและการตรวจค้นที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การขาดการให้ข้อมูลสิทธิของตนเอง ตลอดจนการถูกกดดันด้วยบรรยากาศที่ตอกย้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจอย่างเข้มข้น ประสบการณ์ตรงจากอดีตผู้ต้องขังหลายคนสะท้อนตรงกันว่า “วันแรก” ในเรือนจำเป็นจุดที่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกทำลายคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบราชทัณฑ์ที่ยังยึดติดกับวัฒนธรรมการควบคุม มากกว่าการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน


สำหรับสาระสำคัญของ “เครือข่ายร่วมพัฒนาด้านการราชทัณฑ์” ภัสรินกล่าวว่า คือการเปิดโอกาสให้บุคคลธรรมดาหรือองค์กรเอกชนที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย และมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมโดยไม่แสวงหากำไร สามารถขอจดทะเบียนเป็นสมาชิกเครือข่ายได้ โดยกรมราชทัณฑ์จะพิจารณาเชิญสมาชิกเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ และสมาชิกมีสิทธิยื่นข้อเสนอโครงการเพื่อจัดกิจกรรมภายในเรือนจำ โดยจะได้รับการอำนวยความสะดวกจากกรมราชทัณฑ์ 


นอกจากนี้ สมาชิกยังมีสิทธิยื่นคำขอเข้าร่วมการตรวจเยี่ยมเรือนจำได้ รวมถึงสิทธิในการให้ความเห็นต่อกฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศ โดยกรมราชทัณฑ์ต้องชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน และความเห็นกับข้อชี้แจงต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ อีกทั้งสมาชิกยังสามารถเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการราชทัณฑ์ และกรมราชทัณฑ์จะเป็นผู้จัดเก็บข้อมูลการลงทะเบียนและการเข้าร่วมกิจกรรมของเครือข่าย เพื่อป้องกันหน่วยงานที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หากไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเกิน 2 ปี หรือองค์กรไม่มีความเคลื่อนไหว หรือมีคุณสมบัติต้องห้ามก็จะถูกนำรายชื่อออกจากฐานข้อมูล


ข้อเสนอการจัดตั้งเครือข่ายร่วมพัฒนาด้านการราชทัณฑ์และการปรับโครงสร้างคณะกรรมการราชทัณฑ์ครั้งนี้ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้ระบบราชทัณฑ์ไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทอย่างมีความหมาย และสร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน