เปิดรายละเอียดศาลฎีกาฯ
สั่ง “ทักษิณ” กลับเข้าคุก ชี้จำเลยรู้ตัวเองไม่ได้ป่วยหนักจริง
งานประชาสัมพันธ์
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับที่ ๑๗ วันอังคารที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๔
เผยแพร่ข่าวแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
วันนี้
เวลา ๑๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำสั่งคดี
หมายเลขดำที่ บุค๑/๒๕๖๘ กรณีศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนว่า การบังคับโทษพันตำรวจโทหรือนายทักษิณ
ชินวัตร จําเลย เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม ๔/๒๕๕๑
คดีหมายเลขแดงที่ อม ๕/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดง ที่ อม ๑๐/๒๕๕๒
ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือไม่ โดยให้โจทก์ จําเลย
ผู้บัญชาการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์
และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคําชี้แจงข้อเท็จจริง
โจทก์
จําเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์
และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาล ตำรวจ ยื่นคําชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลพร้อมเอกสารประกอบ
ศาลไต่สวนพยานรวม
๓๑ ปาก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า
ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจําเลย หรือไม่ เห็นว่า การไต่สวน
เพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่
มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ ในข้อกําหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๖๑ วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์
พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.
๒๕๖๓ แต่การนําตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอก เรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษา
ตัวนอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการ
เฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล ดังนั้น
หากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการ
บังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่มี
คําพิพากษาและออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า
การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จําเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำ
ต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.
๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้องหรือไม่
และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา ๘๙ หรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า
การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่ง
ของศาลที่ให้ยกคําร้องเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
หรือไม่ เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ ได้วินิจฉัย
ตามที่นายชาญชัยยื่นคําร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคําร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่
๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคําร้อง ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ว่า กรณีตามคําร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๖ หรือไม่ ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้
กำหนดประเด็นการไต่สวน ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลซึ่งยังไม่เคยมีคําวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน
ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคําร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคําร้องทั้งสองฉบับ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า
มีการบังคับโทษจําเลยเป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่
ในวันที่
๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจําเลยไว้ตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นํา
ตัวจําเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน ๗ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
โดยมีแพทย์ประจำทัณฑ สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ตรวจร่างกายจําเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจําเลยจากเวชระเบียนของ
โรงพยาบาลต่างประเทศ รวม ๑๐ โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง ๓ โรค
ที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เห็นว่าจําเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม
ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาล
ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง
และโรคไวรัสตับอักเสบบีเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ
จึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ
แต่อยู่ใน ภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน
สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก แพทยสภา แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่
๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ เวลา ๒๒ นาฬิกา จําเลยแจ้งว่ามีอาการ อ่อนเพลีย
ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง
วัดความดันโลหิตจําเลยได้ ๑๗๘/๙๘ มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น ๘๖ ครั้ง/นาที หายใจ ๒๔
ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว ๙๒ เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย ๓๖.๘ องศาเซลเซียส
พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจําเลยไป รักษาตัวนอกเรือนจำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ
โดยไม่ได้ส่งตัวจําเลย ไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าวและทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจาก
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง ๒๐๐ เมตร ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐
และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
กล่าวคือ
เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจ จากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตามมาตรา
๕๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ ๒ วรรคหนึ่ง หากแพทย์
เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์
พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำจึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอก
เรือนจำได้ การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์
พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.
๒๕๖๓ นอกจากนี้ การส่งตัวจําเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
แบบฉุกเฉินเนื่องจากจําเลยมีอาการแน่นหน้าอก
แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจําเลย
ไปถึงโรงพยาบาลตำรวจได้พาจําเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ ๑๔
ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ ๘๘ พรรษา (มมร.)
ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ
ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา
ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ
พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษาใน กรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ ๕.๓ ว่า
ในกรณีนอกเวลาราชการ
แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และกำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ
๖.๒ ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วย ที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา
ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ ๘) จะพิจารณา
อนุญาตเป็นอย่างอื่น
ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์และศาสตราจารย์นายแพทย์
ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจําเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความ
คืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.๒ แผ่นที่ ๑๔ และที่ ๑๕ พบว่าในวันที่ ๒๓ สิงหาคม
๒๕๖๖ ที่มีการส่งตัวจําเลยมาที่ โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น
ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน
โรคหัวใจมาดูอาการในทันที
เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจําเลยในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖
หรือหลังจาก ๒๔ ชั่วโมงไปแล้ว และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข
ผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น
และนายแพทย์พงศ์ภัค
ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวสจ สรุปได้ว่า
ที่ทัณฑสถานดรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจในวันที่
๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้
ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
จำเลยไม่ได้มีอากาศแน่นหน้าอก
แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
นอกจากนี้ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า
อาการของจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม
๒๕๖๖ เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้
ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้พันตำรวจเอกนายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า
อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖
จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ จึงเห็นได้ว่า
อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๗ นั้น แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่
๑๕ กันยายน ๒๕๖๖ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์
ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า ๓๐ วัน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน
โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน
ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ
ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ
และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ
และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อมแพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ
แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด
ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใด
จนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า
การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า
จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน
แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้
โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ
เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง
นอกจากนั้นยังได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์
โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท
แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา
ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป
จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ
โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนได้รับการปล่อยตัว
และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า
เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีพระบรมราชโองการพระราชทางพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไป
อีก ๑ ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก
๑ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่
เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น
กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย
และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้
จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก ๑ ปี ตามพระบรมราชโองการ
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #คดีชั้น14